|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
8 มิถุนายน 2552
|
|
|
|
ไทยรบพม่า ตอนที่ 3 สงครามช้างเผือก
สงครามครั้งที่ 3 สงครามช้างเผือก
ต่อจากตอนที่แล้วที่พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้เลิกทัพกลับไป กรุงศรีอยุธยาก็ว่างเว้นจากศึกเป็นเวลาถึง 15 ปี จากบทเรียนที่ผ่านมาทำให้พระมหาจักรพรรดินั้นไม่ทรงนิ่งนอนใจ ท่านได้ปรับปรุงกรุงศรีหลายอย่างด้วยกัน เริ่มจากทำการสร้างกำแพงเมืองใหม่โดยการก่ออิฐ จากเดิมที่ใช้ไม้เพนียดปักบนเชิงเทินดินเหนียวเพราะท่านเห็นว่าสงครามในอนาคตต้องใช้ปืนใหญ่เป็นอาวุธหลัก กำแพงแบบเดิมไม่สามารถต้านทานได้
รวมทั้งขุดคลองมหานาคทางด้านเหนือของพระนครเพื่อเป็นแนวป้องกันข้าศึก และรื้อกำแพงเมืองสุพรรณบุรี ลพบุรี และนครนายกออก เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถต้านทางข้าศึกได้ด้วยทั้งสามเมืองเป็นเมืองขนาดเล็ก ซ้ำแล้วยังกลายเป็นที่มั่นข้าศึกเสียอีก รวมทั้งมีการสำรวจสำเนาประชากรได้ชายฉกรรจ์เพิ่มอีกประมาณ 100,000 เศษ และตั้งเมืองใหม่ 3 เมืองคือ เมืองนนทบุรี เมืองสาคร และนครชัยศรี เพื่อใช้เป็นจุดรวมพลเนื่องจากสามารถเดินทัพมาช่วยกรุงศรีได้ภายใน 1 วัน และเพิ่มแสงยานุภาพของทัพเรือโดยการแปลงเรือแซเป็นเรือไชย ที่สามารถแล่นรวดเร็วและบรรทุกพลปืนคาบนกสับได้หลายนาย ทรงออกฝึกการรบในบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ ทรงคล้องช้างได้มาเป็นพาหะนะมากมาย และที่สำคัญคือได้ช้างเผือกมา 7 ช้าง ในสมัยนั้นพระเจ้าอยู่หัวที่มีช้างเผือกในครอบครองแค่เชือกเดียวก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
ในขณะเดียวกันที่เมืองหงสาวดีของพม่าก็มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้น หลังกลับจากรบกับไทย พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ก็เอาแต่ดื่มสุราจนสติฟั่นเฟืองไม่สามารถว่าราชการได้ ต้องให้เป็นหน้าที่ของอุปราชอย่างบุเรงนองเป็นคนจัดการ เมื่อมอญเห็นว่าพม่าผู้นำอ่อนแอ ทั้งเคยแพ้ไทยมาเมื่อครั้งที่แล้ว (จริงๆแพ้แต่โชคดีที่จับตัวพระราเมศวรกับพระมหาธรรมราชา จึงเอาตัวรอดมาได้) ก็เลยเกิดกระด้างกระเดื่อง ตั้งตนเป็นใหญ่ตามหัวเมืองต่างๆที่พม่าเคยยึดครองอยู่ บุเรงนองจำเป็นต้องยกทัพยกทัพออกไปปราบปรามกบฐสมิงธอรามที่เมืองเมาะตะมะ ที่เมืองหงสาวดีนั้นสมิงสอดวุตซึ่งเป็นขุนนางเชื้อสายมอญเห็นได้ทีเลยลวงเอาพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ไปฆ่า
บุเรงนองยังยกพลไปไม่ทันถึงเมาะตะมะ พอทราบข่าวก็ตกใจรีบยกกลับมาแต่ในขณะนั้นมอญรุกฮือไม่สามารถกลับหงสาได้จึงยกพลไปอยู่ที่เมืองตองอู มอญตอนนั้นก็เรียกได้ว่าตั้งตนเป็นใหญ่เหนือพม่าโดยแตกอกเป็นหลายส่วน แต่หลังจากได้เมืองคืนจากพม่าแล้วมอญเกิดทะเลาะกันเองเพราะต้องการเป็นใหญ่จนบ้านเมืองเกิดจลาจล บุเรงนองเห็นเช่นนั้นจึงรวบรวมพลและยึดเมืองกลับคืนมาเป็นของพม่าได้ทั้งหมดรวมทั้งขยายอาณาเขตไปจนถึงเมืองเงี้ยวของไทยใหญ่และเชียงใหม่เลย และได้ย้ายเมืองหลวงกลับมาอยู่ที่กรุงหงสาวดีดังเดิมในฐานะพระเจ้าหงสาวดี เมื่อบุเรงนองประเมินดูแล้วกำลังพลของพม่าตอนนี้กลับมีมากกว่าครั้งพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ยกไปตีไทยครั้งที่แล้ว จึงต้องการจะยกไปตีไทยอีกครั้ง
บุเรงนองได้ยินเกียรติศัพท์ว่าพระมหาจักรพรรดิมีช้าเผือกถึง 7 ช้างจึง เขียนสาส์นถึงพระมหาจักรพรรดิมีใจความว่า
เลืองลือไปถึงกรุงหงสาวดีว่า สมเด็จพระเชษฐา (พระมหาจักรพรรดิ) มีบุญญาธิการมาก มีช้างเผือกคู่บารมีถึงเจ็ดช้าง กรุงหงสาวดียังไม่มีช้างเผือกสำหรับพระนครไม่ ขอให้สมเด็จพระเชษฐาเห็นแก่ไมตรี ขอประทานช้างเผือกให้ข้าพเจ้าผู้เป็นอนุชาไว้เป็นศรีนครสักสองช้าง พระราชไมตรีทั้งสองพระนครจะได้เจริญวัฒนาการสืบไป อ้างอิงจาก พงศาวดารเรื่องไทยรบพม่า
เมื่อพระมหาจักรพรรดิได้รับสาส์นก็เรียกประชุมในทันที ในที่ประชุมแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งซึ่งประกอบด้วยขุนนางต่างๆ เห็นว่าควรให้ช้างเผือกแก่พม่าไปเพื่อเลี่ยงสงคราม ส่วนอีกกลุ่มประอบด้วยพระราชวงศ์ พระยาจักรี เห็นว่าถ้าให้ไปก็จะแสดงว่าเกรงตัวต่อพม่า และตามประเพณีแล้วประเทศราชเท่านั้นที่จะให้ช้างเผือกกับเจ้าอาณาจักรที่ปกครองอยู่ ถ้าไทยให้ช้างเผือกพม่าก็ถือว่าไทยเป็นประเทศราชของพม่ากลายๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นพม่าจะได้ใจ ไม่ช้าไม่นานพม่าก็ต้องยกเข้ามาตีกรุงศรีเอากรุงศรีเป็นเมืองเชลยอยู่ดี พระมหาจักรพรรดิเห็นด้วยว่าไม่ควรให้ช้างเผือกแก่พม่า จึงเขียนสาส์นตอบกลับไปยังบุเรงนองว่า
ช้างเผือกย่อมเกิดสำหรับบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินผู้ เมื่อพระเจ้าหงสาวดีได้ทรงบำเพ็ญพระราชธรรมให้ไพบูลย์ ก็คงจะได้ช้างเผือกมาสู่บารมีเป็นมั่งคง อย่าได้ทรงวิตกเลย อ้างอิงจาก พงศาวดารเรื่องไทยรบพม่า
เมื่อบุเรงนองได้รับสาส์นแล้วก็ไม่รอช้าตระเตรียมทัพเพื่อยกมาตีไทยทันที พม่ายกทัพออกจากหงสาในปีกุน พ.ศ. 2106 ยกทัพมาครั้งนั้นแบ่งออกเป็น 5 ทัพ รวมไพร่พลได้ 500,000 นาย ทหารรับจ้างโปรตุเกสที่ชำนาญการยิงปืนใหญ่ 400 นาย เข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ แล้วให้เจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นกองส่งเสบียงจากทางเหนือ
เมื่อกรุงศรีรู้ข่าวก็ตระเตรียมปืนใหญ่ขึ้นเชิงเทินไว้ต้อนรับ แล้วให้พระยาจักรีคุมพล 15,000 นายไปตั้งรับที่ทุ่งลุมพลีทางด้านเหนือ พระยามหาเสนาคุมพล 10,000 นายตั้งรับที่ทุ่งดอกไม้หันตราทางด้านตะวันออก พระคลังคุมพล 10,000 นายคุมทางใต้ พระยาสุนทรสงครามคุม 10,000 นาย ตั้งรับที่ค่ายจำปาทางด้านตะวันตก
เนื่องจากกองทัพมีขนาดใหญ่มากๆ พม่าสามารถตีเมืองกำแพงเพชรได้โดยง่าย หลังจากนั้นได้แบ่งทัพออกเป็นสามส่วนคือ ส่วนแรก ให้พระเจ้าตองอูกับอังวะยกไปตีเมืองพิษณุโลกสองแควก่อน ส่วนที่สองคือพระมหาอุปราชกับพระเจ้าแปรยกไปตีเมืองสุโขทัย สวรรคโลกและพิชัย โดยให้ทัพที่สองยกไปรวมกันแล้วล้อมเมืองพิษณุโลกไว้ ส่วนทัพสามคือทัพชองบุเรงนองจะตั้งรอที่เมืองกำแพงเพชร
พระมหาอุปราชกับพระเจ้าแปรเมื่อยกไปถึงสุโขทัยก็รบพุ่งกันกันกับเจ้าเมืองสุโขทัยอย่างหนัก แต่ด้วยกำลังไทยน้อยกว่าจึงแพ้ เจ้าเมืองสุโขทัยโดนจับเป็นเชลย เมืองสวรรคโลกและพิชัยเห็นเช่นนั้นจึงยอมอ่อนน้อมต่อพม่า เมื่อตีสุโขทัยและเมืองใกล้เคืองราบคาบแล้ว ก็ไปรวมกับทัพแรกเพื่อล้อมเมืองพิษณุโลกไว้ ฝ่ายพระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองพิษณุโลกไม่ยอมแพ้ง่ายๆต่อสู้อย่ากล้าหาญา กองทัพพม่าล้อมอยู่นานก็ไม่สามารถหักเอาเมืองได้ แต่ด้วยกำลังที่น้อยกว่ามากและโดนพม่าล้อมไว้นานจนหมดเสบียง อีกทั้งเกิดโรคไข้ทรพิษระบาดในเมือง จึงจำเป็นต้องยอมอ่อนน้อมต่อพม่าในที่สุด บุเรงนองนับถือในความสามารถของพระมหาธรรมราชามาก บุเรงนองจึงให้พระมหาธรรมราชาอ่อนน้อมถือน้ำกระทำสัตย์เพื่อหวังจะสานสัมพันธ์ไว้ในภายภาคหน้า แล้วให้เป็นเจ้าเมืองพิษณุโลกตามเดิม
เมื่อได้เมืองทางเหนือแล้วพม่าก็ยกลงมาหวังตีกรุงศรีให้ได้ ในขณะเดียวกันไทยได้ส่งกองทัพนำโดยพระราเมศวรมาตั้งรับที่ชัยนาท ไทยใช้กลยุทธ์โดยนำเอาเรือไชยและเรือใหญ่ที่เตรียมไว้ยิงพวกพม่าจนล้อมตายไปมาก และไม่สามารถเดินทัพต่อไปได้สะดวก พม่าต้องรวมกองทัพหลวงและของพระเจ้าแปรเข้าด้วยกันและโจมตีไทยทั้งทางบกทางน้ำพร้อมกันจนกองทัพพระราเมศวรต้านไม่ไหวต้องยกทัพหนีกลับมาที่พระนคร พม่ายกทัพเข้าใกล้กรุงศรีมากขึ้นและเข้ารบพุ่งกับกองทัพไทยที่ทุ่งลุมพลี, ป้อมจำปาและทุ่งหันตรา จนทัพไทยเสียหายอย่างหนักเรือรบโดนยิงจมไปมาก จึงตัดสินใจถอยเข้าพระนคร
เมื่อทัพไทยสู้ไม่ไหวถอยเข้ากรุงหมดแล้ว พม่าก็เข้าล้อมกรุงทุกด้าน ทัพไทยไม่สามารถออกมารบพุ่งกับพม่าโดยตรงได้เพราะทัพพม่ามีมากกว่าหลายเท่า พระมหาจักรพรรดิจึงใช้วิธีลอบโจมตีพม่าทางเรือ เมื่อนานเข้าเรือรบของไทยก็โดยจมจนไม่มีเรือรบออกมายิงพม่าได้อีก พม่าเห็นว่าไทยไม่มีเรือรบแล้วจึงเอาปืนใหญ่มาตั้งจ่อบนเนินเหนือกำแพงเมืองแล้วยิงข้าไปในเมืองจนบ้านเมืองวัดวาอารามเสียหาย ทำให้ขุนนาง รวมทั้งประชาชนขอร้องพระมหาจักรพรรดิให้ยอมแพ้พม่า พระองค์จึงอ่อนน้อมต่อพม่าเพื่อขอสงบศึกในที่สุด หลังจากความพ่ายแพ้ครั้งนั้นพระมหาจักรพรรดิได้พลับลาที่วัดหัสดาวาสหรือวัดช้าง เพื่อเชิญพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมาพูดคุยทำข้อตกลง บุเรงนองขอช้างเผือกเพิ่มจาก 2 เป็น 4 ช้าง ขอพระราเมศวรและพระยาจักรีไปเป็นตัวจำนำ เพราะเป็นต้นคิดให้ไทยรบพม่าในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังขอให้ไทยส่งส่วยช้างให้หงสาปีละ 30 เชือก เงินปีละ 300 ชั่ง และสิทธิในการเก็บภาษีที่เมืองมะริดซึ่งเป็นเมืองท่าในสมัยนั้น เมื่อได้ตามต้องการแล้วบุเรงนองก็ยกทัพกลับไปกรุงหงสาวดี
Create Date : 08 มิถุนายน 2552 |
Last Update : 14 มิถุนายน 2552 20:43:19 น. |
|
10 comments
|
Counter : 6388 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: เสียงซึง วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:5:27:21 น. |
|
|
|
โดย: ใครก้อได้ IP: 125.26.180.198 วันที่: 9 ธันวาคม 2552 เวลา:11:27:40 น. |
|
|
|
โดย: YAYA IP: 118.173.43.7 วันที่: 1 มกราคม 2553 เวลา:8:53:51 น. |
|
|
|
โดย: TOMO IP: 118.173.43.7 วันที่: 1 มกราคม 2553 เวลา:8:56:17 น. |
|
|
|
โดย: da IP: 124.122.247.144 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:22:26:46 น. |
|
|
|
โดย: เเอ IP: 125.27.140.195 วันที่: 20 สิงหาคม 2553 เวลา:2:11:37 น. |
|
|
|
โดย: น้ำ IP: 202.29.16.253 วันที่: 8 มีนาคม 2554 เวลา:14:12:39 น. |
|
|
|
โดย: ครูแอ๊บสอนเลข IP: 125.25.229.5 วันที่: 10 ตุลาคม 2554 เวลา:14:25:11 น. |
|
|
|
โดย: จอนนี่ ณ๊ ดอนเมือง ต้องการชุดพลังงานอย่างเร่งด่วน เข้าร่วมเกมแล้วส่งให้เขาเร็ว IP: 115.87.1.128 วันที่: 15 ตุลาคม 2554 เวลา:21:15:20 น. |
|
|
|
| |
|
|
สวนิต |
|
|
|
|