Group Blog
 
 
เมษายน 2549
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
10 เมษายน 2549
 
All Blogs
 
บทที่2-พบพาน


“นี่ท่านเมฆา...ท่านจะเอาจริงรึ” กาละถามขึ้นด้วยนำเสียงที่แสดงความวิตกกังวลว่ากำลังจะมีเรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นอีกแล้ว
“แน่นอน ข้าอุตส่าห์ได้เจอนางในฝันของข้าทั้งที” เมฆาตอบกลับ “จำเรื่องที่ข้าเคยเล่าเกี่ยวกับนางสวรรค์องค์น้อยที่ข้าเคยพบเมื่อตอนที่ข้าออกมาฝึกวิชาดาบกับอาจารย์ในป่าที่ห่างไกลจากเมืองเมื่อวัยเด็กได้ไหม
“จำได้ แต่ว่าที่ท่านเห็นตอนนี้มันแค่ภาพวาดนะ ท่านแน่ใจหรือว่านางผู้นี้จะมีตัวตนอยู่จริง”
“แน่ใจสิ หรือเจ้าจะบอกว่าภาพนี้มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเช่นนั้นหรือไง คนที่วาดภาพนี้ขึ้นมาต้องอาศัยตัวนางมาเป็นแบบให้แน่นอน เพราะฉะนั้น นางต้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณนี้แน่ๆ อาจจะเป็นสาวที่อยู่ในเผ่าใดเผ่าหนึ่งในสามเผ่าที่อาศัยอยู่ริมน้ำนี่ก็ได้”
“ให้ตายเถอะ ถ้าหากนางเป็นสาวตามชนเผ่าบ้านนอกเช่นนี้จริง ท่านยังคิดจะเอานางมาเป็นเมียอีกรึนี่”
“แล้วทำไม ข้าทำไม่ได้รึไง”
“ท่านก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้วนะว่าสถานะของท่านไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ท่านแม่ของท่านจัดหาหญิงสาวที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉม ฐานะ และความเป็นกุลสตรีมาให้มากมาย ท่านยังไม่เอาสักคน แต่กลับจะมาเลือกแม่นางที่อาศัยอยู่ในป่าเขาเช่นนี้ หากทางบ้านของท่านรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ จะส่งผลอะไรตามมาบ้าง ท่านเองก็น่าจะรู้ดีนะ”
เมฆารู้ดีว่ากาละเตือนเขาด้วยความหวังดี แต่จะให้ทำเช่นไรได้ ในเมื่อตอนนี้หัวใจของเขาถูกหญิงสาวในภาพวาดขโมยเอาไปแล้ว
“ถึงอย่างไรก็เถอะ ข้าจะต้องหานางให้พบให้ได้ และข้าก็มั่นใจว่าอีกไม่นานข้าจะต้องได้พบกับนางแน่...ลางสังหรณ์มันบอก ข้ามั่นใจ”
กาละถอนใจ เจ้านายของเขาคนนี้แม้ภายนอกจะดูเป็นคนเรื่อยเปื่อย แต่หากเขาคิดจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก็ ต่อให้ข้างหน้าเป็นหุบเหวลึก เขาก็จะหาทางฝ่าข้ามมันไปให้ได้
“เอาเถอะๆ ข้าตามใจท่าน จะตามหานางในฝันอะไรของท่านก็ทำไป แต่ท่านต้องไม่ลืมนะว่าจุดประสงค์หลักที่พวกเราบุกป่าฝ่าดงมาถึงที่นี่พร้อมกับทหารหลายสิบคนก็คือการมาสืบหาถึงข่าวลือที่ว่าเผ่าทมิฬมีการเคลื่อนไหวที่ไม่ชอบมาพากลในดินแดนแถบนี้”
“ข้ารู้แล้วน่า เรื่องหน้าที่ในฐานะหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนพิเศษนั่นข้าจำได้เสมอ เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นเจ้ากลับไปบอกให้พวกเราที่นั่งรอกันอยู่ให้เตรียมตัวให้พร้อม เราจะออกเดินทางต่อในอีกไม่กี่เพลาข้างหน้านี้”

.........................................
ฉึก!!!
ลูกศรที่จากัวยิงออกไปพุ่งเข้าปักที่กลางตัวของหุ่นฟางอย่างแม่นยำ
“ฝีมือยังไม่ตกเลยนะ” อารยันเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม จะไม่ให้เขาชื่นชมได้อย่างไร ในเมื่อจากัวนั้นปิดตายิงธนู แต่ก็ยังคงยิงได้อย่างแม่นยำ
“มันไม่ยากหรอก เพราะฉันรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเป้ามันอยู่ตรงไหน” จากัวลืมตาขึ้นแล้วยื่นคันศรคืนให้เขา “เมื่อสามารถจำตำแหน่งของเป้าหมายได้ การจะยิงให้ถูกมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะเป้าที่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เช่นนี้ หากจะนับว่ามีฝีมือยอดจริงๆล่ะก็ ต้องสามารถปิดตายิงเป้าที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ได้ต่างหาก”
อารยันรับคันศรคืนมาแล้วถอนใจเบาๆ “กว่าจะฝึกถึงขั้นนั้นได้ คงต้องใช้เวลาอีกยาวนาน”
จากัวยิ้มเล็กน้อย “ถ้ามีความตั้งใจจริง ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน มนุษย์เราย่อมทำได้ทั้งนั้น เอ้า...” พูดจบเขาก็ยื่นลูกธนูสามดอกให้อารยัน
เขายักไหล่เล็กน้อยแล้วรับลูกศรทั้งสามดอกมา จากนั้นเขาก็เอาลูกศรขึ้นพาดสายพร้อมกันทั้งสามดอกและง้างสายธนูจนสุดแรง ทันทีที่อารยันปล่อยมือ ลูกศรทั้งสามดอกก็วิ่งตรงไปยังเป้าหมาย และเสียบเข้าที่ตัวหุ่นฟางพร้อมกันทั้งสามดอกอย่างแม่นยำ ดอกแรกเสียบที่ศีรษะ ดอกที่สองเสียบที่กลางอก ส่วนดอกที่สามเสียบที่ลำตัว
“วิชาของนักรบผู้ได้ฉายาว่าธนูเทวดา...” จากัวที่ยืนดูอยู่ห่างๆเผยอยิ้มออกมา “เมื่อหลายร้อยปีก่อน อาณาจักรจีนที่อยู่เหนือขึ้นไปจากดินแดนแห่งนี้ มีนักรบชราผู้หนึ่งชื่อว่า “ฮองตง” เขาเป็นผู้ที่มีพละกำลังมหาศาลจนเป็นที่เลื่องลือ และยังสำเร็จวิชาการยิงธนูจนเก่งกาจดุจเทวดา หลังจากที่เขาตายลงวิชานี้ก็ได้รับการสืบทอดและปรับปรุงต่อมาเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้เจ้าก็ได้สำเร็จวิชานี้ไปได้ครึ่งทางแล้วนะ”
อารยันถอนใจเบาๆ “เพราะได้คำชี้แนะจากจากัวแท้ๆเชียว”
“ไม่หรอก เพราะหนึ่งในวิชาของธนูเทวดา “ยิงสามเข้าเป้า” แม้แต่ข้าเองก็ยังทำไม่ได้ และข้าก็เพียงแต่นำเอาวิชาที่บันทึกไว้ในตำรามาถ่ายทอดให้เจ้าฟังเท่านั้น แต่ข้าไม่นึกเลยจริงๆว่าเจ้าจะสามารถทำได้สำเร็จหลังจากที่ใช้เวลาฝึกไม่นาน แสดงว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในเรื่องการยิงธนูนะ” ปากว่าเช่นนั้น แต่ในใจของจากัวคิดว่าพรสวรรค์ที่แท้ของอารยันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการยิงธนู แต่เป็นความสามารถในการเรียนรู้เรื่องต่างๆได้รวดเร็วกว่าคนทั่วไป และสามารถนำเอามาประยุกต์ใช้ได้อย่างง่ายดาย
“นี่ เริ่มเย็นมากแล้วนะ ข้าว่าเรากลับกันได้แล้ว” ไลยาที่นั่งดูการซ้อมยิงธนูของทั้งสองอยู่ห่างตะโกนบอก
“อืม ข้าก็ว่าเช่นนั้น พวกเจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ” จากัวพูด
อารยันยังอยากอยู่ต่อ แต่ก็ไม่อยากขัดใจไลยา เขาและไลยาจึงขอลากลับพร้อมกัน
จากัวยืนส่งชายหญิงทั้งสองจนลับตาแล้วจึงกลับเข้าไปในกระท่อมของตนเอง และหยิบเอาของชิ้นหนึ่งที่ซ่อนไว้ในหีบเก่าๆที่อยู่ในสุดออกมาปัดฝุ่นเล็กน้อย
เขาจ้องมองของสิ่งนั้นสักพักก่อนจะตัดใจนำมันกลับไปวางในหีบอีกครั้ง
“...ในที่สุดข้าก็เจอกับผู้ที่เหมาะสมกับของสิ่งนี้แล้ว แต่ว่า...ไม่ได้...ถ้ามอบของนี่ให้ไปแล้วล่ะก็....” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ

..........................................
อารยันเดินนำหน้าไลยาผ่านเข้ามาในป่าเรื่อยๆ อีกไม่กี่อึดใจก็จะกลับถึงหมู่บ้านแล้ว แต่ตัวเขารู้สึกใจเต้นระรัว
“...เอ่อ นี่ ไลยา”
“อะไรรึ” ไลยาตอบรับ เมื่อหญิงสาวหันมาจ้องหน้าใส่ เขาก็ได้แต่อึกอัก “เปล่าๆ...ไม่มีอะไร”
“พิลึกคนจริงเจ้านี่ มีอะไรก็พูดมาสิ ทำอ้ำๆอึ้งๆเช่นนี้ไม่สมกับเป็นเจ้าเลยนะ”
อารยันหยุดเดินกะทันหันแล้วหันมาเผชิญหน้ากับไลยา สายตาของเขาที่จ้องมองมาอย่างไม่กะพริบนั้นทำให้เธอรู้สึกประหม่าเล็กน้อย “จะพูดอะไรก็พูดสิ...” เธอพูดอย่างตะกุกตะกัก
“อ่า คือว่า” อารยันเริ่มหน้าแดงเล็กน้อย “ตัวข้านี่ก็อายุได้ 16 ปี อีกไม่กี่เดือนก็จะอายุครบ 17 แล้ว...ข้าก็เลย...อยากจะให้ไอ้นี่กับเจ้าไว้ก่อนเพื่อเป็นหลักประกัน” พูดจบเขาก็ยื่นแหวนที่ถักขึ้นจากใบหญ้าให้แก่เธอ
“มันไม่ใช่ของดีอะไร...แต่มันก็เป็นสิ่งแสดงความจริงใจที่ข้า...อยากจะให้เจ้าได้เก็บไว้...” พูดจบอารยันก็หันหลังให้เธอแล้วเดินนำออกไปโดยไม่สนใจ
ไลยาอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็แอบหัวเราะเบาๆ แล้วเธอก็เอาแหวนหญ้าวงนั้นใส่ไว้ที่นิ้วนางมือซ้ายแล้ววิ่งตามเขาไป
แต่แล้วเมื่อพ้นป่าออกมาและเข้าบริเวณหน้าหมู่บ้าน ทั้งสองก็ได้แต่ยืนตาค้าง
“นี่มันอะไรกัน” อารยันเอ่ยขึ้นเบาๆ ในขณะที่ไลยายื่นมือมากุมมือเขาแน่น เพราะสภาพของหมู่บ้านที่ทั้งคู่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้ ช่างแตกต่างจากหมู่บ้านอันสงบสุขที่ทั้งคู่เดินจากมาเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนัก
หมู่บ้านของพวกเขากำลังถูกเปลวไฟเผาผลาญ เด็กเล็กๆต่างพากันนั่งร้องไห้โดยมีพวกผู้หญิงช่วยกันนั่งปลอบอยู่ข้างๆ คนแก่ชราพากันนั่งทอดอาลัยอยู่ข้างๆบ้านและกระท่อมที่ถูกรื้อถอนจนไม่เหลือสภาพ ในขณะที่เหล่าชายหนุ่มหลายสิบคนกลายสภาพเป็นศพนอนอยู่เกลื่อนกลาดท่ามกลางเลือดที่ไหลนองพื้น บ้านเกือบทุกหลังถูกรื้อถอนไม่ก็ถูกเผาทำลาย เช่นเดียวกับพืชผักไร่นาที่ถูกเหยียบย่ำและเผาจนไม่มีชิ้นดี
“...ผู้ใดกันที่มาทำกับหมู่บ้านของเราเช่นนี้” อารยันยืนตัวสั่น เขากัดฟันจนเลือดไหลออกมาด้วยความเจ็บใจ
“นั่น...พ่อ” ไลยาร้องขึ้นเมื่อเห็นพ่อของเธอกำลังเดินโซเซมาทางนี้ด้วยร่างที่โชกไปด้วยเลือด ทั้งสองคนจึงรีบวิ่งไปประคองเขาเอาไว้
“ใครเป็นคนทำเรื่องแบบนี้กัน บอกข้ามาสิ ซากัน...” อารยันถามด้วยความโกรธเกรี้ยว
“...พวกมัน...” ซากันพยายามฝืนตอบทั้งที่ตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผลที่เกิดรอยการฟันของดาบและลูกธนูที่ปักอยู่คาหลัง “พวกเจ้าสู้มันไม่ได้หรอก...หนีไปซะ...” ว่าแล้วเขาก็ดึงอารยันเข้ามาใกล้ๆ “พาไลยาหนีไป ดูแลนางด้วย...”
“แต่ว่า พ่อคะ...” ไลยาร้อง
ทันใดนั้นเองมีธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามายังพวกเขาและปักลงพื้นที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับชาวเผ่าทมิฬหลายสิบคนถืออาวุธครบมือแห่กันออกมาจากในพุ่มไม้
พวกมันบางคนลากเอาผู้หญิงสาวในเผ่าของเขาออกมาจากในพุ่มไม้ด้วยพร้อมกับหัวเราะร่วน ซึ่งสภาพของพวกเธอนั้นราวกับเพิ่งผ่านนรกมาก็ไม่ปาน แล้วพวกมันก็จ้องมองไลยาที่ยืนอยู่กับเขาด้วยสายตาหื่นกระหาย
อารยันโกรธสุดขีด หน้าของเขาแดงจัด บัดนี้ไม่มีอะไรจะมาห้ามเขาได้อีกแล้ว เพราะสิ่งที่พวกมันกระทำลงไปกับหมู่บ้านของเขาช่างชั่วช้าเลวทรามยิ่งนัก เขารีบบอกให้ไลยาพาซากันไปหาที่หลบ แล้วตัวเองก็รีบวิ่งไปหยิบเอาคันธนูที่ตกอยู่บริเวณนั้นขึ้นมาพร้อมกับเอาธนูดอกที่พวกมันยิงมาทางเขาเมื่อครู่นี้ขึ้นพาดสายสุดแรง โดยที่พวกมันยังคงยืนมองเขาและหัวเราะเยาะอย่างดูถูก แต่ทันทีที่ลูกธนูพุ่งออกจากคันศร ก็ทำให้พวกมันต้องเงียบกริบเมื่อมันพุ่งเข้าปักกลางศีรษะของพวกมันคนหนึ่งเข้าอย่างแม่นยำ
“หนอย...ไอ้หนู” พวกมันตะโกนและขู่คำรามใส่เขาเมื่อเห็นพวกเดียวกันถูกฆ่าอย่างง่ายดายเช่นนั้น
อารยันมิได้เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนและชี้หน้าพวกมัน “หมู่บ้านนี้เป็นที่อยู่ของพวกข้า...ดังนั้นข้าจะไม่มีวันให้อภัยพวกเจ้าเด็ดขาด...พวกเจ้าทั้งหมดต้องชดใช้ด้วยชีวิต!!!”
พูดจบเขาก็หยิบเอาลูกธนูอีกดอกหนึ่งขึ้นมาแล้วเงื้อศรยิงออกไปถูกเข้าที่กลางศีรษะของพวกมันอีกคนอย่างแม่นยำ พวกมันเห็นเช่นนั้นจึงพากันยิงตอบโต้ใส่เขาบ้าง
ลูกธนูของพวกมันพุ่งมาทางเขามากมายหลายดอก เขารีบวิ่งหลบออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว แล้วหันกลับมาหยิบเอาลูกธนูที่พวกมันยิงมาเมื่อครู่จนปักอยู่ตามพื้นขึ้นมา พาดสายพร้อมกันถึง 3 ดอกแล้วยิงกลับไปที่พวกมันอย่างแม่นยำจนพวกมันร่วงลงไปตามๆกัน จนพวกมันที่เหลือต่างตกตะลึงกับฝีมือการยิงธนูที่รวดเร็วและแม่นยำราวกับเทพแห่งศาสตรา
“วิชาธนูอะไรกัน...ยิงพร้อมกันสามดอกแบบนี้ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน” พวกมันคนหนึ่งร้องขึ้น
“แน่นอน อย่างพวกเจ้าไม่รู้จักหรอก!!!” พูดจบเขาก็ขึ้นสายธนูอีกครั้ง แต่ชั่วพริบตานั้นเองก็มีมีดเล่มหนึ่งบินเข้ามาปักที่หัวไหล่ของเขาจนเลือดพุ่งออกมา
“อ๊ากกกก!!!” เขาร้องลั่น แล้วทรุดตัวลงกับพื้น
“จะร้ายกาจเกินไปแล้วนะ ไอ้หนุ่ม” ชายร่างยักษ์ในชุดหนังเสือซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่เป็น 3-4 เท่าของอารยันและดูเหมือนเป็นหัวหน้าของพวกทมิฬกลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้นและเดินตรงมาที่เขา ในมือของมันนั้นถือมีดเล่มยักษ์ขนาดใหญ่เท่าตัวคนเอาไว้ ในขณะที่พวกมันที่เหลือพากันโห่ร้องอย่างสะใจ
“ชื่อของข้าคือปาตู บุตรชายคนโตของจ้าวแห่งเผ่าทมิฬ” ชายร่างยักษ์ประกาศชื่อของตนออกมา
อารยันจ้องมองเขาอย่างเคียดแค้นแล้วชักเอามีดที่ซ่อนไว้ขว้างใส่ แต่ปาตูกลับแสยะยิ้มและปัดป้องออกไปอย่างง่ายดาย
“หลอกล่อรึ ไม่เลว” ปาตูพูดขึ้น เพราะเสี้ยววินาทีที่อารยันขว้างมีดใส่ เขาก็กระโจนเข้าใส่พร้อมกันและสามารถเอาลูกธนูดอกหนึ่งเข้าจ่อที่คอหอยของปาตูได้
“สั่งให้พวกลูกน้องของแกออกไปจากหมู่บ้านซะ ไม่เช่นนั้นข้าแทงทะลุคอหอยแกแน่!!!” อารยันตะโกนใส่ แต่ปาตูกลับเผยอยิ้มออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ของแค่นี้...” ว่าแล้วปาตูก็ยื่นคอออกไปให้ลูกธนูทิ่มเข้าไปในคอของตน แต่แทนที่มันจะแทงทะลุเข้าคอหอยของเขา มันกลับแตกกระจายอย่างไม่มีชิ้นดี “ลูกธนูเล็กๆแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” พูดจบก็ฟาดหลังมือใส่อารยันเต็มแรงจนร่างของเขาพุ่งออกไปราวลูกธนู
“อั่ก...” อารยันนอนกระอักเลือดออกมาเต็มพื้น เขาไม่คาดคิดเลยว่าเรี่ยวแรงของปาตูจะมากมายมหาศาลขนาดนี้ ราวกับยักษ์ไม่มีผิด
“ข้าสามารถฆ่าเสือได้ด้วยมือเปล่า ดังนั้นลูกธนูแค่นี้ไม่ระคายผิวข้าหรอก” พูดจบปาตูก็ตบที่คอหอยของตนเอง “คิดจะฆ่าข้า มันต้องออกแรงและใช้คนให้มากกว่านี้...แต่ข้าก็ขอชมเชยเจ้านะที่พยายามสู้ไม่ถอย”
ไลยาที่นั่งประคองซากันอยู่ห่างๆเห็นท่าไม่ดี ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้อารยันและทุกคนในหมู่บ้านคงต้องตายกันหมด ส่วนพวกผู้หญิงก็คงไม่พ้นมือพวกมันแน่ คิดได้เช่นนั้นเธอจึงเงื้อหยิบเอาดาบของพวกทมิฬที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา
“อย่า...” ซากันพยายามห้ามลูกสาวของตน แต่ไม่ได้ผล เธอค่อยๆลุกขึ้น สองมือจับดาบมั่น
ปาตูกำลังค่อยๆเดินเข้าหาอารยันพร้อมกับมีดเล่มยักษ์ในมือ ในขณะที่พวกมันคนอื่นๆก็กำลังเฝ้าจดจ่อว่าเมื่อไหร่นายของตนจะลงมือฆ่าเจ้าหนุ่มอวดดีคนนั้นโดยที่ไม่ได้สนใจตัวเธอเลย
เธอรู้ดีว่านั่นคือโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว ขณะที่สายตาทุกคู่จับจ้องที่อารยันและปาตู เธอซึ่งยืนอยู่ห่างจากทั้งสองไม่กี่ช่วงคนเป็นคนเดียวที่จะลงมือได้ แต่ต้องอาศัยความรวดเร็วและแม่นยำ
โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ถ้าจะจู่โจมจะต้องลงมือที่จุดสำคัญที่สุดและจะพลาดไม่ได้ ต้องลงมือด้วยความรวดเร็วและแม่นยำโดยไม่มีการลังเล นั่นคือหัวใจหลักของสิ่งที่เรียกว่ายุทธวิธี ”โจมตีในครั้งเดียว” ที่จากัวเคยพูดถึง
ความจริงมันคือหลักการล่าสัตว์ ที่ผู้ล่าต้องจัดการกับเหยื่อในจุดที่อ่อนแอที่สุดโดยไม่มีการลังเล และต้องรวดเร็วแม่นยำ เพียงแต่จากัวเป็นผู้ที่นำมันมาอธิบายเป็นคำพูด และยังเป็นหลักการซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นๆได้
สมาธิต้องแน่นิ่ง สองมือของเธอที่สั่นจนถึงเมื่อครู่นี้หยุดสนิท สายตาจับจ้องไปที่จุดตายของปาตูโดยไม่กะพริบ พลางคำนวณระยะทางที่ห่างกันอย่างรวดเร็ว
หก...ไม่...ห้าก้าว สำหรับการพุ่งตัวเข้าไป ต้องพุ่งให้สุดแรง ไม่ใช่การวิ่ง ไม่ใช่การกระโดด แต่เป็นการเขย่งก้าวกระโดด เพื่อเพิ่มความเร็วและความแรงซึ่งจะมีผลในการโจมตี
แล้วถ้าพลาดล่ะ...ไม่ อย่าไปคิดว่าจะพลาด หากคิดว่าพลาดมันก็จะพลาด ต้องไม่คิดอะไร สิ่งที่อยู่ในสายตา ในความคิดมีเพียงอย่างเดียวคือ จุดตาย...
ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที...
อาจเพราะปาตูเป็นนักรบที่ผ่านประสบการณ์ยาวนาน จึงสามารถรับรู้ถึงจิตมุ่งร้ายและหันมารับมือได้ทัน แต่กระนั้นดาบเหล็กของไลยาก็ได้เสียบเข้าไปที่ข้างเอวของเขาจนเลือดพุ่งกระฉูด ในขณะที่ร่างของไลยานั้นถูกแขนอันทรงพลังของปาตูเหวี่ยงจนลงไปกระแทกกับพื้น
อันที่จริงไลยาเล็งที่หลังคอของปาตู ซึ่งนั่นเป็นทั้งจุดตายและจุดอับในการป้องกันของมนุษย์ แต่เนื่องจากปาตูมีร่างกายที่สูงใหญ่ และจังหวะที่ไลยาพุ่งเข้ามานั้นเขาสามารถเหวี่ยงแขนใส่เธอได้พอดี เธอจึงทำได้เพียงปักดาบใส่ข้างเอวของเขาเท่านั้น
ปาตูพยายามฝืนทนความเจ็บปวด แต่ในที่สุดก็ไม่อาจทนได้และต้องทรุดลงกับพื้น พวกทมิฬที่เหลือถึงกับโห่ร้องด้วยความตกใจ
ปาตูหันไปมองไลยาที่นอนกุมท้องตัวเองอยู่กับพื้นด้วยความรู้สึกเคียดแค้น พิศวง งงงวย และระคนไปด้วยความสงสัย เขารบพุ่งกับเผ่าต่างๆมามากมาย สามารถล้มเสือได้ด้วยมือเปล่า ชั่วชีวิตไม่เคยต้องอาวุธใดๆจนบาดเจ็บขนาดนี้ แต่นี่ กลับถูกผู้หญิงตัวเล็กๆของชนเผ่าธรรมดาๆเผ่าหนึ่ง...คิดได้ดังนั้น...แทนที่จะเกิดความแค้น เขากลับเกิดความรู้สึกทึ่ง...ความอยากรู้ และความต้องการ
“หญิงคนแรกที่สามารถทำให้ร่างของข้าเกิดแผลได้งั้นรึ หึๆๆ ฮ่าๆๆๆ” ปาตูหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ถ้าได้หญิงเช่นนี้มาเป็นเมียคงดีไม่ใช่น้อย”
“เจ้า...พูดบ้าอะไร ข้าไม่ยอมหรอก!!!” อารยันตะโกนลั่นพลางยันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ปาตูเองก็ลุกขึ้นได้เช่นกัน
“หญิงเช่นนี้แม้ในเผ่าของเราก็หาได้ยากยิ่งนัก...ข้าจะเอามาเป็นเมียของข้า” พูดจบปาตูก็พุ่งเข้าไปหาไลยาที่ยังคงนอนจุกโดยไม่อาจป้องกันตัวเองหรือหนีไปได้
“ฉัวะ!!!”
พริบตานั้นเองปาตูก็เห็นแขนข้างหนึ่งของตัวเองลอยขึ้นบนฟ้าและร่วงลงมา
“อะไร...” เขาตกตะลึงจากนั้นความเจ็บปวดก็แล่นไปทั่วร่าง เขารีบเอามืออีกข้างกุมเลือดที่กำลังพุ่งออกมาไม่หยุดแล้วหันไปมองดูวัตถุที่บินมาตัดเอาแขนอันทรงพลังของเขาไปและกำลังร่อนลงมาปักอยู่บนพื้น
มันคือดาบสีเงินที่ตัวดาบส่องแสงสะท้อนออก ที่ด้ามดาบมีหยกสีมรกตฝังไว้
“ดาบนั่น...” ปาตูตะลึงงัน เขาเคยได้ยินจากพ่อว่าในแผ่นดินนี้มีดาบลักษณะแบบนี้อยู่สองเล่ม ซึ่งเล่มหนึ่งนั้นหายสาบสูญไป ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอยู่ที่ไหน ส่วนอีกเล่มนั้นอยู่กับพ่อขุนแห่งอาณาจักรศรีโพธิ์และเป็นสิ่งที่จะถูกมอบให้แก่นักดาบที่เก่งที่สุด ชื่อของมันคือดาบเหนือนภา
เมฆาผู้ขว้างดาบมาเมื่อครู่นี้ ควบม้านำเหล่าทหารหลายสิบคนตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำเอาพวกทมิฬแตกตื่นกันยกใหญ่
“พวกทมิฬเดรัจฉาน ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าแน่!!!” สิ้นเสียงตะโกนเขาก็ควบม้าตรงเข้ามาดึงดาบของตนที่ปักพื้นออกแล้วตรงดิ่งเข้ามาหาปาตูที่กำลังค่อยลุกขึ้นยืน
“จะจัดการข้า มันไม่ง่ายหรอก!!!” ว่าแล้วปาตูก็กัดฟันทนต่อความเจ็บปวดเหวี่ยงแขนข้างที่ยังไม่ขาดนั้นกวาดไปกับพื้น เป้าหมายเพื่อจัดการกับขาม้าของเมฆาที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา
เมฆารู้ทันจึงบังคับม้าให้กระโดดขึ้นเพื่อหลบการโจมตีจากแขนอันใหญ่โตมหึมานั่น พร้อมกับถีบตัวเองลงจากหลังม้าและเงื้อดาบเพื่อเข้าโจมตีใส่ปาตู
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนแทบไม่มีใครมองทัน เมฆาฟาดฟันดาบลงมาหมายจะผ่าเข้ากลางศีรษะของปาตู แต่บุตรชายของจ้าวแห่งทมิฬผู้ผ่านศึกมานับไม่ถ้วนก็ไวทายาดผิดกับร่างกายอันใหญ่โต รีบหยิบเอาแขนข้างที่ขาดของตัวเองขึ้นเหนือศีรษะเพื่อใช้รับดาบของเมฆา
แต่เสี้ยววินาทีนั้นเองปาตูเพิ่งจะนึกถึงคำพูดของบิดาเกี่ยวกับดาบเหนือนภาขึ้นได้ ว่าดาบเล่มนี้สามารถฟาดฟันทุกสิ่งทุกอย่างให้ขาดสะบั้นลงราวกับฟันเชือกกล้วย
ฉัวะ!!!
ดาบเหนือนภาของเมฆาผ่าทะลุกลางศีรษะของปาตูจนมาถึงลำตัว เลือดสีแดงของนักรบยักษ์พุ่งกระฉูดขึ้นมา จนตัวของเมฆาเปรอะเปื้อนไปแทบทั้งร่าง แต่เขาไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลยและชักดาบกลับออกมาด้วยสีหน้าอันเยือกเย็น
ทุกคนที่ได้เห็นต่างตะลึงงัน แต่เมฆาไม่หยุดแค่นั้น เขาตะโกนสั่งพวกลูกน้องของตนเอง “หัวหน้าของมันตายแล้ว จัดการพวกมันที่เหลือให้หมด!!!”
สิ้นเสียง กาละในฐานะนายทหารมือขวาก็นำพาเหล่าทหารหลายสิบคนเข้ารุมจัดการพวกทมิฬที่เหลืออยู่ และในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ พวกทมิฬที่เหลือก็ถูกเหล่าทหารของเมฆาสังหารสิ้น
จากนั้น...เมื่อทุกคนช่วยกันนำเอาซากศพของชาวเผ่าโอสะที่ถูกฆ่ามาวางรายเรียงกันเพื่อเตรียมทำพิธีศพแล้ว ซากันในฐานะของหัวหน้าเผ่าก็รีบเข้ามาขอบคุณเมฆาและเหล่าทหารของอาณาจักรศรีโพธิ์เป็นการใหญ่
“ในฐานะหัวหน้าเผ่าและตัวแทนของชาวเผ่าโอสะ ข้าขอขอบคุณพวกท่านแทนทุกคนจริงๆ หากไม่ได้พวกท่านล่ะก็ พวกเราคงจะ...” ซากันพูดพลางน้ำตาคลอเบ้าด้วยความซาบซึ้งใจ
“ในฐานะของทหารแล้ว การกระทำเยี่ยงสัตว์ป่าของพวกมันสมควรถูกลงโทษ ท่านหัวหน้าเผ่าอย่าเกรงใจไปเลย” เมฆาตอบกลับด้วยรอยยิ้มแล้วมองไปที่อารยันซึ่งกำลังนั่งให้ไลยาทำบาดแผลให้อยู่ห่างๆ
“ฝีมือการยิงธนูของเจ้าช่างแปลกตาและร้ายกาจจริงๆ ข้าได้ทันเห็นเพียงแวบเดียวแต่ก็อดทึ่งไม่ได้” เมฆาเอ่ยชม แต่อารยันไม่ได้รู้สึกยินดีในคำชมเลยสักนิด เพราะแม้มันจะเป็นวิชาที่เยี่ยมยอด แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะปาตูได้ และตัวเขาเองก็ยังเกือบตายด้วย ที่สำคัญที่สุดคือ...เขาไม่อาจปกป้องไลยาได้ด้วยตัวเอง
ไลยาเห็นอารยันนั่งนิ่งไม่พูดจาอะไร จึงเป็นฝ่ายตอบรับคำของเมฆาแทน “ขอบคุณค่ะที่ช่วยพวกเราไว้ บุญคุณครั้งนี้เราจะไม่ลืมเลย”
เมฆายืนนิ่งอึ้งเมื่อได้เผชิญหน้ากับไลยาแบบตรงๆ ตอนแรกที่เขาเห็นเธอจากระยะไกลระหว่างที่สู้กับปาตูเมื่อครู่นั้น เขายังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่บัดนี้ เมื่ออีกฝ่ายมายืนอยู่ตรงหน้าเขาก็มั่นใจแล้วว่าภาพของนางสวรรค์ที่เขาพบนั้นก็คือเธอคนนี้นี่เอง
เมฆากำหมัดแน่น ในใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนจะรวมพลังพูดกลับไป “ไม่เป็นไร...ข้าเพียงทำในสิ่งที่ลูกผู้ชายทุกคนพึงทำ เจ้าอย่าได้ใส่ใจนักเลย”
ไลยายิ้มรับพลางพิศดูใบหน้าของเมฆา ชายหนุ่มคนนี้มีเค้าหน้า ผิวกาย ลักษณะท่าทางและการพูดจาผิดไปจากผู้ชายที่เธอเคยพบมาทั้งหมดไม่ว่าจะจากในเผ่าของเธอเองหรือจากเผ่าอื่นๆ
“ใบหน้าข้ามีอะไรผิดแผกรึ” เมฆารีบถามเมื่อเห็นหญิงสาวจ้องมองใบหน้าของตนเช่นนั้น
“เปล่าๆ ข้าขอโทษ ไม่มีอะไรหรอก” ไลยารีบพูดในขณะที่อารยันซึ่งนั่งดูอยู่ใกล้ๆเริ่มชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
เมฆาเองก็สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มไม่ค่อยจะพอใจตนนัก จึงหันไปพูดคุยกับหัวหน้าเผ่าซากันแทน “จริงสิ ท่านหัวหน้า ข้าคิดว่าพวกทมิฬมันคงไม่เลิกราแค่นี้แน่นอน ถ้าอย่างไรข้าอยากให้พวกท่านเตรียมตัวรับศึกให้พร้อมจะดีกว่า เพราะปาตูที่ตายไปนั้นเป็นถึงบุตรชายของมหาบรรณภพผู้เป็นจ้าวแห่งทมิฬที่รบชนะศึกมานับไม่ถ้วน ดังนั้นมันต้องยกกองทัพมาแก้แค้นแน่”
พวกชาวบ้านต่างพากันแตกตื่น และร้องเอะอะโวยวายเมื่อได้ยินเมฆาบอกเช่นนั้น แต่ซากันพยายามปรามทุกคนให้สงบใจไว้
เมฆากวาดตามองดูสภาพของหมู่บ้านแล้วก็รู้วิตก ที่เผ่าแห่งนี้แม้จะมีคนหนุ่มอยู่มาก แต่พวกเขาก็เป็นเพียงชาวนา ไม่ก็นายพรานธรรมดาๆ ไม่อาจจะเป็นคู่ต่อกรกับนักรบของเผ่าทมิฬที่ทั้งแข็งแรง ดุร้ายและผ่านศึกมามากมายได้เลย หากพวกมันบุกมาจริงๆ เผ่านี้คงถึงกาลอวสาน แต่หากจะพาพวกเขาซึ่งมีหลายร้อยชีวิตให้อพยพหนีไปจากสถานที่อันเป็นภูมิลำเนามากว่าร้อยปีก็เห็นจะยากและถึงจะทำได้กว่าจะหนีเข้าไปยังเขตที่ปลอดภัยก็คงจะไม่ทันแน่ และ...ถึงตรงนี้เขาแอบเหลือบไปมองไลยาที่ยืนอยู่ด้านหลัง
เมฆากำหมัดแน่นแล้วจึงตัดสินใจได้ “...พวกท่านไม่ต้องห่วงหรอกนะ ข้าเมฆาจะขออาสานำหน่วยลาดตระเวนแห่งราชอาณาจักรศรีโพธิ์อยู่ช่วยพวกท่านรับศึกกับพวกทมิฬเอง”
เหล่าชาวบ้านต่างพากันยินดีที่ได้ยินเช่นนั้น ในขณะที่กาละซึ่งยืนอยู่ข้างๆกับเมฆาก็รีบกระซิบที่ข้างหู “จะเอาจริงรึ...นี่หมายถึงสงครามนะ พวกเรามีกันแค่ 30 คน ถึงจะรวมพวกชาวบ้านเข้าไป แต่ที่พอจะสู้ก็มีไม่ถึงร้อยคน แต่พวกทมิฬที่อาจจะบุกเข้ามานั่นอาจจะมี 200-300 คนเชียวนะ”
“จำนวนมันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก ที่สำคัญมันอยู่ที่ตรงนี้และตรงนี้” เมฆาพูดพลางเอานิ้วชี้ไปที่ศีรษะแล้วตบไปที่อกซ้ายตาม “ข้าเองก็อยากจะรู้นักว่าชื่อของมหาบรรณภพจ้าวแห่งทมิฬที่ทำเอาผู้คนในศรีโพธิ์และเมืองข้างเคียงพากันกลัวจนตัวสั่นนั้นจะร้ายกาจสักแค่ไหน”
กาละถอนใจเบาๆ “เอาเถอะ ท่านเป็นนายนี่นะ ท่านจะว่าไงข้าก็มีหน้าที่ต้องว่าตาม”
“ขอบใจ” เมฆาตอบ
“ไม่ต้องมาขอบใจเลย มันเป็นกรรมของข้าเองที่ต้องมีเจ้านายหัวรั้นเช่นท่าน”
เมฆาหัวเราะเบาๆ แล้วหันมาพูดกับซากัน “ด้วยเหตุนี้ข้าและพรรคพวกอยากจะขอความร่วมมือจากท่านสักหน่อย ข้าอยากให้ท่านช่วยรวบรวมกิ่งไม้และม้าจำนวนมากให้สักหน่อย แล้วก็....” เมฆาเหลือบมองดูป่าที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งมีทางเดินตรงเข้ามาเพียงสายเดียว
“ทางเดินที่ไม่ต้องฝ่าเข้าไปในป่าในดงนั้นมีแค่เส้นเดียวใช่ไหม” เขาถามซากัน
“ใช่ครับ หากเดินจากตรงนี้ไป...” ซากันพูดพลางชี้ให้เมฆาดูยังเส้นทางนั้น “เมื่อตรงไปเรื่อยๆก็จะทะลุพ้นเขตป่าและเป็นทุ่งราบ”
“หากพวกทมิฬจะหยุดตั้งทัพก็คงจะหยุดที่นั่น...” เมฆาพูดเบาๆ พลางมองดูความกว้างของเส้นทางซึ่งจะว่าไปแล้วค่อนข้างแคบ หากให้คนเดินเรียงแถวหน้ากระดานก็คงจะเดินได้เพียง 5-6 คนเท่านั้น
“บางที...เราอาจจะสามารถเอาชนะพวกทมิฬได้” เมฆาพูดเบาๆ
“จริงรึท่าน” ซากันร้อง ไลยาซึ่งยืนฟังอยู่ก็พลอยแปลกใจไปด้วย “มีวิธีแล้วรึคะ”
อารยันซึ่งนังฟังอย่างเงียบๆค่อยๆลุกขึ้นแล้วจ้องมองเมฆาอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก แต่เมฆาเพียงแค่ยิ้มให้พวกเขาเท่านั้น แล้วพูดขึ้นอย่างมั่นใจ “ข้าจะแสดงให้พวกท่านเห็นเอง ถึงการผสมผสานของกลยุทธ์ที่ชื่อว่า “จริงคือเท็จ” และ “ปิดประตูตีแมว” รับรองว่าต้องสามารถไล่พวกมันกลับไปได้แน่นอน”



Create Date : 10 เมษายน 2549
Last Update : 10 เมษายน 2549 16:39:28 น. 0 comments
Counter : 286 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อินทรีสามก๊ก
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




นักท่องกาลเวลา....
Friends' blogs
[Add อินทรีสามก๊ก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.