"ประกายไฟน้อยๆ ลามทุ่งได้"

<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
28 ธันวาคม 2550
 

ตุ่มน้ำที่ว่างเปล่า

หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้ว ผมก็บ่ายหน้ามาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งย่านถนนวิภาวดีรังสิต

ผมกับหนุ่ย เพื่อนที่สนิทสนมกันตั้งแต่สมัยมัธยม เลือกที่จะมาสอบที่มหาลัยเปิดแห่งนี้ด้วยกัน และก็สอบเข้ามาได้อย่างลำบากยากเย็นสมกับความเกียจคร้านที่เราร่วมกระทำกันมาตลอดระยะเวลาหลายต่อหลายปี

ส่วนเจ้าเพื่อนซี้อีกสามรายของผม คือ พี เอก และหมึก เลือกที่จะสมัครสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนอีกแห่ง

สาเหตุที่พวกเราทั้งห้าคนไม่ได้ร่วมเรียนพร้อมหน้าพร้อมตากันก็เพราะเหตุผลง่ายๆที่ว่า ส่วนตัวผมเป็นคนที่เบื่อหน่ายการเดินทางไปเรียนไกลๆเต็มทน ก็เลยตัดสินใจเลือกไปสอบกับสถาบันที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก

ส่วนเจ้าหนุ่ยนั้นผมอาศัยลมปากหว่านล้อมแกมหลอกลวง กระทั่งสามารถชักชวนมันเลือกมาสมัครสอบที่เดียวกับผมจนได้

เราสอบติดด้วยกันทั้งคู่ โดยผมสอบติดภาคปกติ ในขณะที่หนุ่ยพลิกโผไปสอบติดเอาภาคค่ำ ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดว่าจะเรียนในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะในขณะนั้นเราต่างเข้าใจกันแต่เพียงว่า เวลากลางคืน นอกจากการแสวงหาความบันเทิงเริงใจหรือการนอนอุตุอยู่ในผ้าห่มแล้ว ก็หาควรทำประโยชน์อื่นแก่ตนเองและสังคมแต่อย่างใดไม่

หลังจากสืบสาวราวเรื่องก็พบว่า สาเหตุที่หนุ่ยสอบติดภาคค่ำก็เพราะตอนกรอกใบสมัครมันดันไปเลือกผิดช่อง โดยแทนที่จะกากบาทลงไปในช่องที่ระบุว่า “ภาคปกติ” ชะตาชีวิตก็ดลบันดาลให้หนุ่ยออกอาการผิดคิวไปกาเอาที่ช่อง “ภาคค่ำ” ได้อย่างเหลือเชื่อ

ท้ายที่สุดหนุ่ยก็เลยต้องเปลี่ยนใจไปสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเอกชนอีกแห่งหนึ่งแทนชนิดที่ทันกันในวินาทีสุดท้าย

..................................................................................

ความจริงก่อนหน้านั้นพวกเราทั้งห้าคนพร้อมใจกันไปสมัครสอบเอ็นทรานส์ด้วยกันมาแล้วรอบหนึ่ง ผมยังจดจำบรรยากาศอันสนุกสนานของพวกเรา แต่ย่ำแย่สำหรับผู้ปกครองในช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี

เราไปสอบวิชาแรกซึ่งเป็นวิชาอะไรผมก็สุดที่จะจดจำได้ จำได้แต่เพียงว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนเข้าห้องสอบซึ่งใช้อาคารสถานที่ของคณะวิชาหนึ่งในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น

ผมและเพื่อนๆเกิดอาการพร้อมใจกันเบื่อหน่ายกับการนั่งอยู่ว่างๆ จึงตัดสินใจเข้าไปขอเตะฟุตบอลกับกลุ่มนักศึกษาที่กำลังยืนล้อมวงเดาะลูกหนังอยู่ในสนามหญ้าใกล้ๆ

พวกเราเตะฟุตบอลกันจนเนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในขณะที่นักเรียนส่วนใหญที่รอเวลาเข้าห้องสอบกำลังคร่ำเคร่งอ่านหนังสืออยู่ตามระเบียงอาคาร หรือไม่ก็บนพื้นสนามหญ้าหรือโต๊ะม้าหินรอบๆบริเวณนั้น

การสอบเริ่มไปได้เกือบสิบนาที เกมลูกหนังของเราก็จบลงพร้อมกับบรรยากาศที่เงียบสงบจนน่าใจหาย เนื่องจากพวกนักเรียนต่างทยอยกันเข้าห้องสอบเพื่อเตรียมเนื้อเตรียมตัวและใช้เวลาที่มีอยู่ในห้องสอบให้เกิดประโยชน์สูงสุดและนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

พวกเรารีบเหน็บชายเสื้อที่เปียกชุ่มเข้าในกางเกง พร้อมไปกับการวิ่งเหยาะๆเข้าห้องสอบด้วยเสียงลากรองเท้าที่สวมง่ายๆด้วยการเหยียบส้นเข้ามารับกระดาษข้อสอบเป็นห้าที่นั่งสุดท้าย

แม้จะมาถึงที่หลัง แต่พวกเราก็แก้ตัวได้อย่างรวดเร็วด้วยการส่งกระดาษคำตอบและเดินออกจากห้องสอบนี้ไปเป็นกลุ่มคนแรกๆอย่างไม่น่าให้อภัย

และอย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลยกับผลลัพท์ของการสอบเอ็นทรานส์ของพวกเราในครั้งนั้น


........................................................................................

ช่วงที่มหาวิทยาลัยเปิดเทอมแรกๆ ผมไปเรียนหนังสือน้อยมาก เนื่องจากยังไม่ค่อยสนิทคุ้นเคยกับใคร จึงได้แต่ออกตระเวนไปตามสถาบันการศึกษาต่างๆที่เพื่อนฝูงร่ำเรียนกันอยู่เป็นเนืองนิตย์

จนกระทั่งเมื่อมาได้นั่งร่วมวงสังสรรเฮฮาตามคำชวนของเพื่อนใหม่ร่วมชั้นในช่วงกลางเทอมแรกแล้วนั่นแหละ ผมถึงได้ใช้เวลาอยู่ในสถานที่เรียนของผมเองเป็นเรื่องเป็นราวอย่างคนอื่นๆเขาเสียที

ผมเรียนบ้างโดดบ้างจนเวลาย่างใกล้วันสอบเข้ามาทุกที และสุดท้ายมันก็มาถึงโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว

คืนหนึ่งก่อนวันสอบไม่นาน ไอ้หนุ่ยก็โทรศัพท์มาหาผมพร้อมกับใช้น้ำเสียงนุ่มทุ้มและจริงจังผิดสังเกตกล่าวว่า

“เฮ้ยโชติ เป็นยังไงบ้างวะมึง”

“กูเหรอ ก็สบายดี”

ผมทักทายกับมันตามประสา จากนั้นก็คุยเรื่อยๆ เปื่อยๆสักพัก กระทั่งใกล้จะวางสายหนุ่ยก็พูดว่า

“นี่ที่กูโทรมานี่ก็ไม่มีอะไร ก็แค่จะบอกมึงว่าใกล้สอบแล้ว มึงต้องหัดอ่านหนังสือหนังหาบ้างนะเว้ย จะทำตัวเป็นเด็กๆไม่ใส่ใจเหมือนก่อนไม่ได้แล้ว นี่กูเป็นห่วงเลยโทรหามึง และก็จะพยายามโทรหาพวกเราทุกคนด้วย”

ผมได้แต่รับฟังและรับคำอย่างกระอักกระอ่วนด้วยความตื้นตันในน้ำใจที่แสนงามของเพื่อน แต่ก็ปนเปไปด้วยความงุนงงในพฤติกรรมของมันที่ขัดกันเหลือเกินกับที่เคยรู้จักกันมานมนาน

อย่างไรก็ดีความรู้สึกสำนึกผิดของผมก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด จนทำให้ผมต้องย้อนถามตัวเองในใจว่า ไอ้เรามันชักจะทำตัวเหลวไหลไม่รู้จักโตจนเกินไปแล้วหรือเปล่านี่?

ก่อนวางสายไอ้หนุ่ยยังทิ้งกำลังใจเล็กๆไว้ให้ผมด้วยว่า

“อ่านหนังสือไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร อย่างกูอ่านมาเรื่อยๆไม่กี่วันก็อ่านจบแล้ว พยายามเข้าโว้ย”

พูดจบก็วางโทรศัพท์ เหลือไว้แต่เพียงกลิ่นอายของความเชื่อมั่นอันเปี่ยมล้นที่ยังคงลอยอบอวลอยู่ในสาย

เหลือเชื่อที่วินาทีนั้นผมพลันเกิดพลังใจขึ้นมาประหนึ่งหัวไม้ขีดที่ถูกตวัดจุดเปลวไฟให้ครุโชนขึ้น

แต่อนิจจา แสงสว่างและความร้อนจากก้านไม้ขีดไฟนั้นแสนสั้นนัก เพราะหลังจากนั้น ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือไปไม่ถึงไหนก็เลิกล้มความพยายาม และท้ายที่สุดก็ย่างก้าวเข้าห้องสอบด้วยความมึนงงตลอดหลายวิชาจนกระทั่งการสอบเสร็จสิ้นลง

...............................................................................

ภายหลังผลสอบออกมาผมได้เกรดเฉลี่ยในเทอมแรกเพียง 1.25 เป็นผลคะแนนที่ทำให้ผมผิดหวังไม่น้อย เพราะมันเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอามากๆต่อการจะได้สิทธิเรียนต่อไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งในวันข้างหน้า

ขณะที่หนุ่ยเพื่อนคนดีของผมได้เกรดเท่าใดไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆคือย่ำแย่เอาการจนต้องโบกมือลาจากสถาบันที่เรียนอยู่ ไปสู่สถาบันใหม่อีกแห่งหนึ่งในอีกหนึ่งเทอมถัดมา และเหตุการณ์เรื่องที่มันต้องเปลี่ยนที่เรียนก่อนเวลาอันควร ทั้งที่เที่ยวตั้งตนเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตักเตือนชาวบ้านเขาไปทั่วนี้ ก็กลายเป็นเรื่องขำขันตลอดกาลเรื่องหนึ่งในหมู่เพื่อนฝูงมากกว่าจะเป็นเรื่องเศร้าอย่างที่มันควรจะเป็น

ผมเดาเอาเองว่าหนุ่ยคงขยันอ่านหนังสืออย่างที่หนุ่ยว่าจริงๆ แต่ด้วยความที่หนุ่ยรวมทั้งผมและพวกเราที่เหลือต่างมีพื้นฐานไม่แน่น จะเปรียบก็เหมือนตุ่มน้ำที่แห้งขอดมานาน น้ำที่ใส่เพิ่มเติมลงไปในเวลาสั้นๆจึงยังห่างไกลกันมากกับการที่จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์เป็นเรื่องเป็นราวได้

ภายหลังนิยามเรื่องตุ่มแห้งนี่เองที่ทำให้หนุ่ยและพวกเรากลับมาสู่เส้นทางของการเรียนที่สำเร็จได้ โดยการมองในมุมกลับที่ว่า เพราะตุ่มที่ว่างเปล่านี่เอง จึงมีโอกาสเติมน้ำได้อย่างเต็มที่ และแม้จะใช้ประโยชน์ได้อย่างเชื่องช้าเพราะไม่ชำนาญในการตักน้ำใส่ตุ่มเท่าไหร่นัก แต่หากเราเริ่มต้นและเพียรที่จะเติมน้ำใส่ลงไปทุกวันๆ ไม่นานเราก็จะมีน้ำใช้ในการดำรงชีวิตต่อไป


.......................................................................................

เวลาผ่านไปไวดังโกหกเหมือนที่กับใครหลายคนเคยว่าไว้ ผมก้าวสู่การเป็นรุ่นพี่ปีสองด้วยผลการเรียนที่กระท่อนกระแท่นเต็มที แต่แม้การเดินทางจะมาไกลถึงตรงนี้แล้วผมก็ยังไม่ได้คิดที่จะปรับปรุงการเรียนให้ดีขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไหร่นัก

เพราะตอนนี้ผมคุ้นเคยกับสถาบันและเพื่อนใหม่มากขึ้นแล้ว ผมเริ่มที่จะเที่ยวเล่นหาความสำราญใจอย่างเต็มที่ให้สมกับความมีอิสระที่ได้รับจากการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ที่สำคัญถึงตรงนี้ผมได้ก้าวมาเป็นรุ่นพี่ที่กำลังจะเริ่มมีรุ่นน้องหน้าใหม่ๆมากหน้าหลายตาเข้ามาสร้างความแปลกใหม่ให้กับชีวิตกับเขาแล้วด้วย

จำได้ว่าเวลานั้นเป็นช่วงเดียวกันกับที่เหล่าเพื่อนสนิทของผมคือเอกและพีเปลี่ยนใจกระทันหันจับเครื่องบินไปเรียนต่อเมืองนอกด้วยกันทั้งคู่ เอกไปอเมริกา ส่วนพีไปออสเตรเลีย ขณะที่หมึกเรียนอยู่ที่เดิมแต่หน่วยกิตที่เก็บได้ก็ยังคงไม่ค่อยจะคืบหน้าไปสักเท่าไหร่นัก

................................................................................

หลังจบภาคเรียนฤดูร้อนแล้ววันเปิดภาคการศึกษาใหม่ก็มาถึง เช้าวันแรกที่นักศึกษาใหม่เข้ามารายงานตัว ผมและเหล่าพลพรรคต่างตื่นเต้นกันจนเนื้อตัวสั่น ได้เวลาก็จับกลุ่มตั้งก๊วนกันไปรอชมดูรุ่นน้อง โดยหมายจะมองหาช้างเผือกสักคนหรือสองคนเอาไว้เป็นขวัญตาขวัญใจให้รุ่นพี่อย่างพวกเราได้เฝ้าติดตามพะเน้าพะนอกันไปตลอดทั้งเทอมให้จงได้

การเป็นไปดังคาดจริงๆ ผมและเพื่อนเห็นรุ่นน้องที่สะดุดตาอยู่ด้วยกันสองสามคน แต่ด้วยความที่ยังไม่รู้ว่าเมื่อสะดุดแล้วจะต้องทำอย่างไรต่อจึงได้แต่มาคอยด้อมๆมองๆเป็นครั้งเป็นคราว ในยามที่รุ่นน้องปีหนึ่งรวมกลุ่มมาซ้อมเชียร์กันในช่วงที่ไม่มีชั่วโมงเรียน


.............................................................................

ผ่านไปอีกราวเกือบๆเดือน และแล้วงานรับน้องที่จังหวัดเพชรบุรีของสาขาที่ผมเรียนก็มาถึง ผมและเพื่อนๆราวสิบคนเดินทางล่วงหน้าไปยังสถานที่พักกันก่อนคืนหนึ่ง

เหตุที่ไปก่อนไม่ได้หมายความว่าผมกับเพื่อนที่สนิทสนมกันอีกสามสี่คนได้ไปช่วยคนที่เหลือจัดเตรียมงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแต่อย่างใด เพราะส่วนมากแล้วผมก็ได้แต่หยิบโน่นนิดหยิบนี่หน่อยผสมไปกับการร้องรำทำเพลงและดื่มของมึนเมากันไปตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

รุ่งขึ้นรุ่นน้องและเพื่อนๆทั้งหลายก็มาถึง กิจกรรมการรับน้องที่สนุกสนานก็เริ่มต้นขึ้นและดำเนินไปตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติสืบกันมา ตกค่ำก็มีพิธีบายสีโดยให้รุ่นพี่เอาด้ายสีขาวผูกข้อมือให้รุ่นน้องทุกคน

ผมก็ไม่รู้หรอกว่าการบายสีนั้นมันสลักสำคัญอะไร ก็ได้แต่ทำๆไปเพราะเห็นว่าก็สนุกสนานดีอยู่เหมือนกัน

แต่ขณะที่กำลังผูกข้อมือให้น้องๆไปที่ละคนๆสายตาผมก็พลันเหลือบไปเห็นน้องผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นน้องคนเดียวที่ผมจดจำชื่อของเธอได้อย่างแม่นยำเข้า

เธอรูปร่างบอบบางแต่ไม่ถึงกับผ่ายผอม มีผิวกายที่ขาวสะอาดตาตัดกับเส้นผมที่ดำขลับ ดวงตากลมโตของเธอเป็นประกาย ฉายแววของบุคลิภาพที่ร่าเริงแจ่มใสและเป็นกันเองออกมา

ตอนที่ผมเห็นนั้นเธอกำลังให้เพื่อนผมที่นั่งอยู่ก่อนหน้าไปสามสี่คนผูกข้อมือให้เธออยู่ ตอนนั้นที่หาดทรายมีเสียงคลื่นซัดเข้าสู่ฝั่งเป็นระยะ สายลมเย็นสบายที่พัดผ่านมายังผืนทรายที่รายล้อมไปด้วยหนุ่มสาวและแสงดาวระยิบระยับ เป็นบรรยากาศที่ยากจะลืมเลือน

ก่อนหน้านั้นผมรู้สึกมึนเวียนศรีษะจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่รับเข้ามาตั้งแต่เมื่อวาน ต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงค่ำวันนี้ แต่ถึงตอนนี้หัวจิตหัวใจของผมกลับเริ่มพร่ามัวตามไปด้วยอีกส่วนหนึ่ง

ทันใดนั้นเวลาก็พาเธอมาถึงที่ตรงหน้า เธอมองมาที่ผมพร้อมกับยื่นข้อมือเรียวยาวมายังด้านหน้า ผมแทบจะลืมบรรดาสิ่งแวดล้อมรอบตัวไปเสียดื้อๆ ยื่นมือออกไปพร้อมกับด้ายสีขาวสะอาดตาเส้นหนึ่ง ค่อยๆบรรจงผูกข้อมือให้กับเธอช้าๆ พิถีพิถันราวกับว่าด้ายเส้นนี้จะมัดเธอไว้กับผมตลอดไป ปากก็พลันเอื่อนเอ่ยวาจาว่า

“น้องชื่อเจี๊ยบใช่มั้ยครับ?”

เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับช้อนสายตาที่คงจะหวานมาตั้งแต่ปางก่อนของเธอมองมาที่ผม เลิกคิ้วเหมือนกับจะบอกว่าแปลกใจที่ผมรู้จักชื่อเธอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยสมทนากันเลยแม้แต่ครั้งเดียว

โชคดีที่เธอยังเมตตาเผยยิ้มเล็กๆ พร้อมกับก้มศรีษะแล้วตอบว่า

“ใช่คะ”

ยังจำได้ว่าน้ำหนักเสียงที่เธอใช้ในตอนนั้นเบามาก ถ้าคนไม่ตั้งใจฟังคงยากที่จะได้ยินแม้สักคำเดียว แต่สำหรับผมเสียงนั้นชัดเจนมากเสียจนบางครั้งยังแว่วดังมาจนถึงทุกวันนี้

ถึงตอนนี้รุ่นน้องที่ยืนลำดับต่อจากเธอก็รับการผูกข้อมือจากเพื่อนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าผมเสร็จแล้วและกำลังยืนรออยู่ใกล้ๆเพื่อที่จะให้ผมผูกข้อมือให้กับเธอต่อ

ด้วยสุดวิสัยที่จะฉุดรั้งเวลาเอาไว้ได้ ผมจึงรีบปิดบทสนทนาอันแสนสั้นในค่ำคืนนั้นไปว่า

“ผมจำชื่อน้องคนได้เดียวครับ”

ผมไม่รู้ว่าเพื่อนข้างๆและน้องที่กำลังรออยู่ได้ยินหรือไม่ แต่เธอได้ยินชัดเจนแน่เพราะนอกจากจะให้รอยยิ้มที่สดชื่นสมบุคลิกที่ร่าเริงของเธอไว้อีกครั้งหนึ่งแล้ว เธอยังตอบด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมด้วยว่า

“ขอบคุณคะ”

พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปหารุ่นพี่ที่นั่งอยู่ในลำดับถัดไป

น่าแปลกที่ผมพบว่าแสงแดดตลอดบ่ายวันนี้ทำให้ใบหน้าของเธอแดงซ่านขึ้นกว่าเดิม

หลังจากเลิกงาน ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพูดคุยหรือร้องรำทำเพลงกันเป็นกลุ่มๆกันที่ริมชายหาด ผมยังคงมองเห็นเธอนั่งคุยเล่นอยู่กับกลุ่มเพื่อนข้างกองไฟไม่ไกลกันมากนัก บรรยากาศสนุกสนานยังคงดำเนินต่อไป แต่ผมไม่ได้พูดคุยกับเธออีก จนกระทั่งกลับมาถึงกรุงเทพฯ


......................................................................

จากนั้นทุกวันไม่ว่ามีชั่วโมงหรือไม่มีชั่วโมงเรียนผมก็มานั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินซึ่งเป็นที่นั่งประจำของนักศึกษาสาขาวิชาของพวกเรา โดยหวังว่าจะได้มาเจอกับเธออย่างน้อยวันละครั้งได้ทักทายกันวันละนิดวันละหน่อยก็ยังดี

แล้วเวลาก็ทำให้เรามีโอกาสใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากการที่พวกเพื่อนๆผมที่มานอนคลุกอยู่บ้านเดียวกันทุกวี่วันคงไม่รู้จะทำอะไรที่จะรื่นเริงบันเทิงใจไปกว่าการหมุนโทรศัพท์ไปคุยกับรุ่นน้องคนนั้นคนนี้

เรื่องที่คุยก็ไม่มีสาระอันใด เพราะมักจะมีแต่เรื่องขำขันเฮฮาหรือไม่ก็สอบถามสารทุกข์สุกดิบกันทั่วๆไป กับเธอไอ้เจ้าพวกเพื่อนผมก็ถือเอาว่าเป็นอีกหนึ่งรายการที่จะต้องโทรศัพท์เข้าไปคุยเล่นด้วยบ้างเหมือนกัน แต่ถึงจะโทรไปคุยเล่นหัวกันบ่อยขึ้นผมก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้คุยกับเธอเลยสักครั้ง เวลาที่เพื่อนทำท่าจะส่งหูโทรศัพท์มาให้ผมก็ได้แต่ปฎิเสธและเขยิบออกห่างเพราะไม่รู้จะคุยอย่างไรดี จึงได้แต่ฟังเพื่อนคุยแล้วหัวเราะไปตามประสาอยู่อย่างนั้นนับเป็นเดือนๆ

จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งก็มีเหตุที่ทำให้ผมได้พูดคุยกับเธอทางโทรศัพท์เป็นครั้งแรก เหตุที่ว่านี้เป็นเรื่องอะไรผมก็สุดจะนึกออกได้ จำได้แต่เพียงว่าหลังจากที่ได้เริ่มต้นคุยกันแล้วเราก็คุยกันไปจนดึกดื่น แรกๆเพื่อนก็รอฟังอยู่ว่าคุยอะไรกัน แต่พอนานเข้าก็เลิกที่จะรอ และหลังจากคืนนั้นรูปแบบการสนทนาก็ค่อยๆกลับกลายเป็นว่าผมแทบจะเหมาคุยกับเธออยู่คนเดียวทุกคืน และแต่ละครั้งก็คุยกันยาวนานเหมือนกับคนที่มีเรื่องที่จะบอกเล่าต่อกันไม่มีวันหมด จากนั้นเวลาพบกันที่มหาวิทยาลัยเราก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆเป็นลำดับ และก็นำมาสู่การคบหากันเป็นเรื่องเป็นราวในที่สุด

ตลอดเวลาที่คบหากันผมพบว่าเธอเป็นผู้หญิงที่น่าทนุถนอมมากกว่าที่คิด ดูผิวเผินเธออาจเป็นคนที่มีความมั่นใจสูง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอต้องการการเอาใจใส่ดูแลและกำลังใจอยู่เสมอ แน่นอนช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและน่าจดจำ แต่ด้วยปัจจัยที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเยาว์วัยที่ไม่ประสีประสาในการผ่อนหนักผ่อนเบา ก็ส่งผลให้การคบหาของเรามีช่วงเวลาแห่งความสุขที่สั้นเกินกว่าที่มันควรจะเป็น

.......................................................................................

ปีสองเทอมปลาย อยู่ดีๆผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเข้าเรียนในวิชาหนึ่งที่ผมและใครๆต่างก็คิดว่ายากเย็นอย่างเป็นจริงเป็นจัง ผมไม่เคยขาดเรียนวิชานี้เลยตลอดทั้งเทอม ในห้องเรียนผมมักจะเลือกที่นั่งข้างหน้า ตั้งใจฟังอย่างเต็มที่โดยไม่ใส่ใจกับเรื่องที่ตัวเองไม่มีพื้นฐานความรู้ในเรื่องที่เรียนนี้มาก่อน

ผมตั้งใจทำสมองตัวเองเหมือนตุ่มที่ว่างอยู่พักใหญ่ ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาก็ขยายเพิ่มพูลมากขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกแปลกใจที่พบว่าเรื่องที่กำลังเรียนรู้อยู่นั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างที่เคยคิดไว้ ผมเริ่มสนุกกับการเรียน เริ่มเข้าใจวิธีการเรียน และเริ่มมั่นใจว่าผมสามารถเรียนไปด้วยเล่นไปด้วยได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

กระทั่งวันสอบผมก็ทำข้อสอบเสร็จอย่างรวดเร็วอีกเช่นเคย แต่ต่างกันตรงที่ว่าครั้งนี้ที่เร็วเพราะผมทำข้อสอบได้ มันไม่ถึงกับได้อย่างไม่มีที่ติ แต่ก็ถือว่าทำได้เกือบทั้งหมด ผลสอบออกมาผมได้เกรดวิชานี้ซึ่งเป็นวิชาที่ยากที่สุดของเทอมที่ บีบวก ผลคะแนนเฉลี่ยทุกวิชาของเทอมก็ออกมาดีจนน่าใจหาย และผมก็เริ่มรู้ว่าควรเรียนหนังสืออย่างไรให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อออกแบบและวางแผนการเรียนล่วงหน้าเสร็จสรรพ จากนั้นผมก็ตัดปัญหาเรื่องผลการเรียนไปได้อย่างถาวร

ผมเรียนเต็มที่และก็เที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูงเต็มที่เช่นเดียวกัน ผมมีกิจกรรมที่ต้องสังสรรค์เฮฮาอยู่ทุกค่ำคืน เรียกได้ว่าออกจะเหลวไหลในสายตาของผู้ใหญ่และสายตาของผู้หญิงที่ใกล้ชิด เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาก็เริ่มเกิด ความไม่เข้าใจเขาและไม่เข้าใจตัวเองเติบใหญ่ขยายตัวขึ้นเหมือนฝูงปลวกที่หมั่นเพียรกัดกินโครงสร้างที่อ่อนแอของบ้านหลังหนึ่งอยู่ทุกวี่วัน จนสุดท้ายมันก็ล้มครืนลง

....................................................................................

มีคนเคยกล่าวว่า ความรักเกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา มีแต่มิตรภาพจึงต้องสั่งสม

ผมกับเธอแม้จะไม่ได้เริ่มต้นในชั่วพริบตา แต่ก็อาจบ่มเพาะมิตรภาพตลอดจนความเข้าใจน้อยจนเกินไป เพียงระยะเวลาสั้นๆไม่ถึงปีเราก็เริ่มห่างจากกัน และที่สุดก็ร้างลากันไปในลักษณะที่ ณ ตอนนั้น กระทั่งถึงทุกวันนี้ ยังหาข้อสรุปอันใดไม่ได้.



Create Date : 28 ธันวาคม 2550
Last Update : 28 ธันวาคม 2550 12:17:52 น. 2 comments
Counter : 694 Pageviews.  
 
 
 
 
Merry X’mas & Happy New Year 2008

มีลูกโป่งให้จิ้มนับถอยหลังเล่นๆ รอรอยยิ้มวันฉลองความสุข

 
 

โดย: =Lord Gary= วันที่: 28 ธันวาคม 2550 เวลา:12:35:13 น.  

 
 
 
 
 

โดย: นายแจม วันที่: 28 มกราคม 2551 เวลา:8:05:48 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

อาบูหะซัน
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add อาบูหะซัน's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com