"ประกายไฟน้อยๆ ลามทุ่งได้"

 
มิถุนายน 2549
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
6 มิถุนายน 2549
 

คู่แข่งของเงินสด

ดุลยทัศน์ พืชมงคล



ตลาดบัตรชำระเงินของประเทศไทยเราในตอนนี้ วีซ่า ถือเป็นผู้ให้บริการที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด โดยมีบัตรเครดิตและเดบิตอยู่ในท้องตลาดมากถึง 5.7 ล้านใบ และ 11.4 ล้านใบ ตามลำดับ

ซึ่งนับได้เป็นจำนวนที่มากเอาการสำหรับการพิจารณาส่วนแบ่งตลาดจากมุมมองของบุคคลทั่วๆไป

แต่ในมุมของผลิตภัณ์ระดับโลกและผู้นำตลาดอย่างวีซ่าย่อมไม่ได้หยุดอยู่ที่ความพึงพอใจกับตัวเลขดังกล่าวนี้ แม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ทิ้งห่างคู่แข่งอยู่หลายช่วงตัวแล้วก็ตาม

เพราะจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารของวีซ่าที่สะท้อนผ่านสื่อสารมวลชนในแวดวงธุรกิจและการเงินนั้น ชี้ชัดถึงมุมมองทางการตลาดว่า วีซ่าไม่ได้มีมุมมองทางธุรกิจแค่การแข่งขันกับกับผู้ให้บริการรายอื่นๆเท่านั้น แต่ได้ทอดสายตาไปถึงเป้าหมายและภารกิจที่ท้าทายยิ่งไปกว่านั้นแล้วก็คือ การเข้าไปแทนที่การใช้เงินสดหรือพฤติกรรมการใช้เงินสดของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

กล่าวง่ายๆก็คือสนามการแข่งขันกับคู่แข่งขันที่เป็นผู้ให้บริการบัตรชำระเงินแบรนด์อื่นก็ว่ากันไป แต่เป้าหมายการเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนให้มาร่วมเล่นเกมเดียวกันนี้ให้มากที่สุด ก็เป็นอีกภาระกิจสำคัญที่วีซ่ากำหนดเป็นวิสัยทัศน์ไว้อย่างชัดเจนแล้วในระยะยาว ภายใต้มุมมองทางการตลาดที่เจาะจงลงไปในเรื่องของจำนวนบัตรในตลาดและพฤติกรรมหรือมูลค่าการใช้

ในแง่ของจำนวนบัตรอาจกล่าวได้ว่า ปัจจุบันยังมีตลาดหรือกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายอยู่อีกเป็นจำนวนมากที่รองรับกับการขยายตัวของธุรกิจบัตรชำระเงินต่างๆ เพราะเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในประเทศที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสามารถมีบัตรชำระเงินประเภทใดประเภทหนึ่งกับจำนวนผู้มีบัตรแล้วในปัจจุบัน ยังถือว่ามีโอกาสทางการตลาดอยู่อีกมหาศาล โดยเฉพาะกับผลสำรวจที่ชี้ชัดว่า ผู้ถือบัตรโดยส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะมีบัตรอยู่ต่อคนเป็นจำนวนประมาณ 3 ใบ ซึ่งเท่ากับว่ายอดบัตรที่มีอยู่ในตลาดทั้งหมด ถ้าหากจะคำนวณคร่าวๆออกมาเป็นจำนวนคนที่เป็นเจ้าของบัตรที่แท้จริงแล้ว จะต้องถูกหารลงไปอีกถึง 3 เท่าตัวเลยทีเดียว

นั่นคือในด้านของจำนวนบัตร แต่สำหรับในแง่ของพฤติกรรมหรือมูลค่าการใช้จ่าย ก็ชี้ชัดอีกเช่นเดียวกันว่า ยังมีโอกาสอีกมากมายในการที่จะเข้ามากระตุ้นให้เกิดมูลค่าการใช้บัตรให้เพิ่มสูงขึ้นได้

เพราะที่ผ่านมาแม้จะดูเหมือนว่าในแต่ละปี คนไทยมีการใช้บัตรรวมกันเป็นมูลค่าที่สูงนับแสนล้านบาทซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่มากโขนั้น ในข้อเท็จจริงมีการประมาณการกันว่า ปัจจุบันคนไทยมีการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันรวมกันปีละประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท แต่ก็เป็นการใช้จ่ายผ่านบัตรของ Visa ทดแทนเงินสดอยู่เพียงแค่ประมาณ 4% จากยอดการใช้จ่ายทั้งหมดเท่านั้นเอง

ย้อนกลับไปที่ข้อมูลจำนวนผู้ถือบัตรที่กล่าวในข้างต้น เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้บัตรเดบิตจะเป็นบริการที่เข้าสู่ตลาดหลังบัตรประเภทเครดิตอยู่นานหลายปี แต่ในปัจจุบันตลาดบัตรชำระเงินในประเทศไทยกลับมีปริมาณผู้ถือบัตรเดบิตในจำนวนที่มากกว่าบัตรเครดิตเกินกว่าเท่าตัว

เหตุผลสำคัญที่ปริมาณการถือบัตรเดบิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นน่าจะสืบเนื่องมาจากขนาดของตลาดผู้ใช้บัตรเดบิตมีที่ใหญ่โตกว่าและมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเป็นผู้ถือบัตรเดบิตที่ง่ายกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการสมัครเป็นผู้ถือบัตรเครดิต

อย่างไรก็ดี แม้จะมีปริมาณผู้ถือบัตรที่มาก แต่ที่ผ่านมายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตของคนไทยยังมีมูลค่ารวมที่ต่ำอยู่มากโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในภาพรวม โดยในปีที่ผ่านมายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต Visa มีมูลค่าเพียง 1.6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ของยอดการใช้บัตรรวมทั้งหมดของ Visa

ในประเด็นนี้จึงเป็นสิ่งที่วีซ่ามองในเชิงสร้างสรรว่าเป็นโอกาสที่ดีและเปิดกว้างอยู่อีกมากมายมหาศาลสำหรับการขยายอัตราการใช้บัตรเดบิตในตลาดประเทศไทยต่อไปในอนาคต

ผู้บริหารของวีซ่าเคยกล่าวว่า จากบทเรียนความสำเร็จของ Visa ทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่าความสามารถที่จะเข้าไปแทนที่การใช้เงินสดและเช็คของผู้บริโภค เป็นปัจจัยของการเติบโตและความสำเร็จของวีซ่า

ดังนั้นที่ผ่านมารวมถึงต่อเนื่องจากนี้ไป จึงจังหวะก้าวและความพยายามที่ต่อเนื่องของวีซ่าในการที่จะส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาดอย่างจริงจังอีกครั้งด้วยแนวทางการตลาดที่มุ่งเน้นการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้บริโภคในเรื่องของการใช้จ่ายบัตรชำระเงินประเภทต่างๆของวีซ่าในชีวิตประจำวัน

ที่ผ่านมาผู้บริโภคเองก็เริ่มมีความเข้าใจถึงข้อแตกต่างของบัตรเดบิตกับบัตรเครดิตกันมากขึ้น เช่นความเข้าใจที่ชัดเจนแล้วว่า บัตรเดบิตนั้นเจ้าของบัตรสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรได้ตามยอดเงินในบัญชีที่ตนเองมีอยู่กับธนาคารเจ้าของบัตรเท่านั้น ส่วนบัตรเครดิตสามารถใช้จ่ายได้เกินกว่ายอดที่มีในบัญชีตามแต่วงเงินที่ได้รับหรือเครดิตของแต่ละบุคคล

รวมถึงข้อดีของบัตรเดบิตที่มีความสะดวกในการใช้ที่เพิ่มมากขึ้นกว่าการเป็นแค่บัตรเอทีเอ็มเพียงอย่างเดียว โดยผู้ใช้สามารถใช้บัตรชำระค่าสินค้าได้โดยไม่จำเป็นต้องวิ่งหาตู้เอทีเอ็มเพื่อกดเงินในเวลาที่เร่งรีบหรือจำเป็น

หรือการใช้บัตรเดบิตยังช่วยให้เจ้าของบัตร สามารถควบคุมการใช้จ่ายเงินของตนเองได้ดีและอยู่ในขอบเขตที่แน่นอน เพราะไม่สามารถใช้จ่ายได้เกินกว่ายอดเงินในบัญชี และต้องคอยตรวจสอบอยู่เสมอว่าเงินในบัญชีคงเหลืออยู่จำนวนเท่าไหร่ เป็นต้น

เชื่อว่าจากนี้ไปผู้บริโภคคงจะมีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการใช้งานบัตรชำระเงินของวีซ่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการใช้บัตรเดบิตในชีวิตประจำวันกันมากยิ่งขึ้นในรูปแบบและวิธีการต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจของผู้บริโภคเพื่อนำไปสู่พฤติกรรมและประสบการณ์การใช้ ตลอดจนความคุ้นเคยซึ่งเป็นเป้าหมายในระยาวสู่การทดแทนการใช้เงินสดนั่นเอง

ในแง่ของผู้บริโภค แน่นอนว่าย่อมจะได้รับความสะดวกและสิทธิประโยชน์ส่วนเพิ่มต่างๆที่มีแนวโน้มจะมีแต่มากขึ้น แต่อย่างไรก็ดีการวางแผนการใช้บัตรชำระเงินก็ควรที่จะต้องพิจารณาความสัมพันธ์ของมูลค่าและความถี่ในการใช้ให้รอบคอบในระดับหนึ่ง เพราะทั้งสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเงินที่กำลังล่องลอยออกจากกระเป๋าของตัวเองโดยตรง
เช่นหากเป็นผู้บริโภคที่มีทั้งบัตรเครดิตและบัตรเดบิตอยู่ในมือ การเลือกชำระค่าสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าหรือราคาที่ค่อนข้างสูง ก็ควรจะเลือกใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้านั้นๆ เนื่องจากการชำระเงินในจำนวนที่มีมูลค่าสูงด้วยบัตรเครดิต ช่วยให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องถ่ายเทเงินก้อนโตออกไปจากบัญชีในทันทีทันใด เพราะการใช้เครดิตผู้ให้บริการจะให้เครดิตแก่ผู้ใช้ในมูลค่าและระยะเวลาหนึ่งๆ ซึ่งมีผลให้เงินจำนวนนี้ยังจะอยู่กับผู้ใช้บัตรได้อุ่นใจกับสภาพคล่องทางการเงินที่มีอยู่ กระทั่งหลังจากพร้อมและจัดการทุกอย่างไว้ตามเวลาหรือเครดิตแล้วตามความเหมาะสม จึงค่อยจ่ายเงินจำนวนนี้ออกไป

ในอีกด้านหนึ่ง ในกรณีที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องจับจ่ายในรายการจิปาถะในชีวิตประจำวันที่มีมูลค่าไม่สูงนัก แต่มีความถี่บ่อย เช่นเข้าซุปเปอร์มาเก็ต ซื้อตั๋วภาพยนตร์ หรือดินเนอร์กับคนรู้ใจ การใช้บัตรเดบิตนับเป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากความสะดวกสบายแล้ว การใช้บัตรเดบิตอยู่เป็นประจำจะช่วยให้ผู้ใช้บัตรสามารถควบคุมการใช้จ่ายให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพการณ์ปัจจุบันที่มีเครื่องมือทางการเงินที่ล่อใจเป็นจำนวนมากมายที่รอให้เลือกใช้ ซึ่งหากใครเผลอไผลไปกับความสะดวกสบายของมันก็อาจกลายเป็นผู้มียอดหนี้สินและภาระดอกเบี้ยก้อนใหญ่โดยไม่ทันตั้งตัวอย่างที่เกิดขึ้นมากันแล้วนับครั้งไม่ถ้วนและยังคงเกิดขึ้นอยู่ทุกวี่วัน.


Create Date : 06 มิถุนายน 2549
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2550 20:41:11 น. 1 comments
Counter : 390 Pageviews.  
 
 
 
 
เยอะ
 
 

โดย: กำ IP: 202.29.83.66 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:14:07 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

อาบูหะซัน
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add อาบูหะซัน's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com