ช่องเขาขาด พิพิธภัณฑ์สถานแห่งความทรงจำ เที่ยวกาญจนบุรีตอนจบ(9/2559-บล๊อกที่ 149)
"ช่องเขาขาด" หรือ "ช่องไฟนรก" (Hellfire Pass) เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟสายไทย-พม่า (เส้นทางรถไฟสายมรณะ)
หลังจากที่เราจากลาเมืองสังขละบุรี เกือบจะครึ่งวันเข้าไปแล้ว ตอนนี้เรารีบบึ่งกันเลยค่ะ ไม่อยากถึงบ้านเย็นมากนัก เราบึ่งรถกันมาจนถึงที่นี่ค่ะ ซึ่งเราจะแวะตั้งแต่ขาไปแล้ว แต่คนขับ ขับรถเลยค่ะ เราเลยบอกว่า ไว้แวะขากลับแล้วกัน ยังงัยก้อทางผ่าน ขากลับทำเวลา ใกล้ถึง บอกคนขับ ขับช้าๆหน่อยเดี่ยวจะเลยอีก พอถึงเราบอกให้เลี้ยวเข้าไปเลย ต้องข้ามฝั่งไปค่ะ ใน สำนักงานทหารพัฒนา คนขับไม่เชื่อ ยังจะขับเลยอีก บอกว่าอยู่ในนี้เนี่ยะนะ ใช่แล้วจ้า ช่องเขาขาด ตั้งอยู่ภายในกองการเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานทหารพัฒนา หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา บริเวณกิโลเมตรที่ 64–65 บนทางหลวงหมายเลข 323 (กาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ)
เราต้องจอดรถติดต่อเจ้าหน้าที่ตรงนี้ เพื่อแลกบัตรก่อนเข้าไป
แล้วเราก็ตรงไปที่นี่กันเลยค่ะ “ช่องเขาขาด พิพิธภัณฑ์สถานแห่งความทรงจำ”
พิพิธภัณฑ์นี้เป็นสถานที่เก็บรวบรวมเนื้อหาและภาพต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ของช่องเขาขาด โดยการก่อสร้างเกิดจากการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลออสเตรเลีย
จากผลการโหวตของนักท่องเที่ยว “นับล้านคน” จากทั่วโลก พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาดได้คะแนนมากเป็นอันดับ 4 ในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจจะด้วยเพราะพิพิธภัณฑ์นี้จัดไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม ภายในบริเวณมีเส้นทาง เดินศึกษาธรรมชาติไปยังช่องเขาขาด ทำให้ตรึงใจนักท่องเที่ยวได้มหาศาล
เข้ามาด้านใน ก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ เกี่ยวกับเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสถานที่เก็บรวบรวมภาพถ่าย ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
แบบจำลองสามมิติของสะพานข้ามแม่น้ำแคว สะพานนี้ พังไปสามครั้ง ระหว่างการสร้าง
พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำแห่งนี้ยังมี Mini Theatre สำหรับการฉายภาพยนตร์เงียบแบบขาว-ดำ ซึ่งถ่ายทำจากเหตุการณ์จริง ในระหว่างการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะ ความยาว 7 นาที ที่ประกอบไปด้วยเรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ ของการสร้างทางรถไฟสายมรณะ รวมถึงปากคำ ของเหล่าบรรดาเชลยศึกชาวออสเตรเลียต่อสภาพความโหดร้ายที่ประสบในระหว่างเป็นแรงงานการก่อสร้างทางรถไฟ
เครื่องมือชิ้นสำคัญ ที่ใช้ในการเจาะภูเขาหินทั้งลูก ให้เป็นช่องทางผ่านของรถไฟ
ภาพของ เชลยศึกที่อยู่กันแบบแออัด ใช้แรงงานอย่างหนัก อาหารไม่เพียงพอ ร่างกายผ่ายผอม แทบไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่ม
ทิวทัศน์ก่อนที่จะลงไปด้านล่าง ยังเห็นเขียวๆอยู่บ้าง ในหน้าแล้งนี้
จุดแรก
ทางรถไฟสายมรณะ
ทางรถไฟสายมรณะมีความยาวจากหนองปลาดุกถึงสถานีทันบูซายัดรวม 415 กิโลเมตร เป็นทางรถไฟอยู่ในเขตประเทศไทยประมาณ 303.95 กิโลเมตร และอยู่ในเขตพม่า 111.05 กิโลเมตร มีสถานีจำนวน 37 สถานี การก่อสร้างใช้เวลาในการสร้างเสร็จเพียง 1 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2485 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง การรถไฟแห่งประเทศไทย ก็ได้รื้อทางรถไฟบางส่วนออก ทางรถไฟสายมรณะในปัจจุบันจึงเหลือเพียงแค่ตั้งแต่สถานีหนองปลาดุก ถึงสถานีน้ำตกเท่านั้น (ถ้าเป็นขบวนรถนำเที่ยวจะสุดทางที่สถานีน้ำตกไทรโยคน้อย)
ทำไมจึงเรียกขานกันว่าเป็นทางรถไฟสายมรณะ
ฉันได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับทางรถไฟสายมรณะสายนี้ มาตั้งแต่สมัยฉันยังเด็กๆ ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้าง ทางรถไฟสายนี้ จึงได้รู้ว่า ทำไมทางรถไฟสายนี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นทางรถไฟสายมรณะ ฟังดูชื่อน่ากลัวนะ เหมือนรถไฟสายนี้จะพาไปมรณะหรืออย่างไรกัน แต่ความจริงแล้วคือ...
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดาและนิวซีแลนด์ ประมาณ 61,700 คนและกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู พม่า อินเดีย อีกจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า เพื่อลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งกำลังพล เพื่อจะไปโจมตีพม่าและอินเดียต่อไป ทางรถไฟสายนี้เริ่มต้นจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ผ่านจังหวัดกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงปลายทางที่เมืองทันบูซายัด ประเทศพม่า
การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้ เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ไม่มีเครื่องมือทุ่นแรงใดๆ เลย มีหลายจุดที่มีเนินหิน ภูเขา หน้าผา หรือหุบเหว ขวางอยู่ ซึ่งแรงงานแต่ละกะ ต้องทำงานถึง 18 ชั่วโมง โดยงานส่วนใหญ่ล้วนใช้แรงคนทั้งสิ้น เช่นการสกัดภูเขาด้วยมือ จึงต้องขุดให้เป็นช่อง เพื่อที่รถไฟสามารถวิ่งผ่านไปได้ ซึ่งที่ช่องเขาขาด เป็นจุดที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นทางนี้ การขุดเจาะช่องเขาขาดเริ่มในเดือนเมษายนปีพ.ศ. 2486 ปรากฏว่างานล่าช้ากว่ากำหนดจึงมีช่วงที่เร่งงาน ซึ่งเป็นการทำงานที่ทารุณยิ่ง เนื่องจากต้องปีนลงไปสกัดในช่องเขาซึ่งบางช่วงสูงถึง 11 เมตร จนแทบไม่มีอากาศหายใจ ทั้งยังต้องทำงานท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว ในช่วงเดือนมีนาคม ในภาวะขาดแคลนน้ำและอาหาร เมื่อเจ็บป่วยแพทย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ก็ไม่เพียงพอต่อการพยาบาล ต้องดูแลกันตามมีตามเกิด เชลยศึกและกรรมกรที่ช่องเขาขาด ต้องทำงานตอนกลางคืนด้วยแสงไฟจากคบเพลิง และกองเพลิงทำให้สะท้อนเห็นเงา ของเชลยศึกและผู้คุมวูบวาบบนผนัง ทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามว่า "ช่องไฟนรก" หรือ Hellfire Pass ในภาษาอังกฤษ
ภาพไม้หมอนอันแรก 1ไม้หมอน เปรียบเท่ากับ 1 ชีวิต
อนุเสาวรีย์ระลึกถึงผู้เสียชีวิต
บริเวณสถานที่ทำพิธี รำลึก โดยในวันที่ 25 เมษายน ของทุกปี เป็นวัน Anzac Day (Australian and New Zealand Army Corps) หรือวันอนุสรณ์ทหารผ่านศึก ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ มีการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงเหล่าทหารที่เสียชีวิตในสงคราม
ช่องเขาขาด
ทางเดินด้านข้างก่อนจะไปถึงบริเวณช่องเขาขาด
ห้องน้ำ คงเพิ่งทำใหม่ ยังไม่เปิดใช้
|