สุดยอด
ผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน (Inception, The Prestige และ
หนังไตรภาค The Dark Knight) กลับมาอีกครั้งในหนังดราม่าไซ-ไฟฟอร์มยักษ์เรื่องใหม่ พร้อมควบตำแหน่งเขียนบทร่วมกับน้องชาย
โจนาธาน โนแลน เหมือนเดิม โดยยังคงได้ทัพนักแสดงชื่อดังมาร่วมแสดงนำอย่างคับคั่ง อาทิ
แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์, แอน แฮทธาเวย์, เจสสิกา แชสเทน, ไมเคิล เคน, จอห์น ลิทโกว์, เคซี่ แอฟเฟล็ค, เดวิด เจซี, เวส เบนท์ลี่, แม็คเคนซี ฟอย, ทิโมธี ชาลาเมท, โทเฟอร์ เกรซ, เอลเลน เบอร์สตีน และ
แมตต์ เดมอนว่าด้วยเรื่องราวในอนาคตที่โลกเรากำลังจะตายด้วยวิกฤตพายุฝุ่น ทีมนักสำรวจต้องรับภารกิจที่สำคัญสุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยการเดินทางสู่กาแล็คซี่อันไกลโพ้น เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ว่าในอนาคตเหล่ามนุษยชาติจะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนดาวดวงอื่นได้หรือไม่?
จะว่าอย่างไรดี?! คือ..มันเป็นหนังดีที่ดูสนุกนะ แต่แค่ว่าในหนังมันดันเต็มไปด้วยศัพท์แสงและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์(เน้นฟิสิกส์) มากไปหน่อย ทั้งไบแนรี่, การ์แกนทัวร์, อีเวนท์ ฮอไรซัน, ซิงกูลาริตี้, เอ็นดูแรนซ์, รูหนอน, หลุมดำ, รหัสมอร์ส, ทฤษฏีสัมพัทธภาพ ฯลฯ ขนาดว่าบางเรื่องนี่ก็พอจะรู้จักมาบ้างนะ แต่ด้วยความที่หนังมันมาแบบฟิสิกส์จ๋าเอามากๆ ไอ้พวกที่จบสายศิลป์มาและดันอ่อนวิทย์อย่างผมก็เลยเกิดอาการมึนตึบ+งงแตกเท่านั้นเอง
ซึ่งตรงนี้ถ้าเป็นพวกชอบวิทย์และเก่งฟิสิกส์ เขาก็อาจจะฟินมากกว่าผมก็เป็นได้..
แล้วยิ่งตัวหนังเล่าเรื่องแบบตัดสลับฉากในอวกาศกับบนโลกด้วยแล้ว ถ้าหากใครตามไม่ทันละก็จะยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่!!
แต่ถ้าหากมองถึงความดีงามของตัวหนังและวิจารณ์แบบชาวบ้านๆแล้วล่ะก็
ช่วงอารมณ์ดราม่าความรักของพ่อ-ลูกนี่คือแบบว่าโดนใจใช่เลย ชอบมากกับลูกเล่นการตั้งชื่อของลูกพระเอก เมิร์ฟ ที่เอามาจาก กฎของเมอร์ฟี่ (สิ่งใดก็ตามหากผิดพลาดได้ มันก็จะผิดพลาด) ที่ย้อนแยงและเข้ากันกับเรื่องราวได้เป็นอย่างดี กับเรื่องราวที่มีโดยรวมนี่ก็ถือว่าดูสนุก มีหลายฉากที่ทำออกมาได้ตื่นเต้นและลุ้นระทึกมากๆ (แม้อาจจะมีงงๆบ้างก็ตาม) กับงานด้านภาพก็มาแบบอลังกาลงานสร้างสุดๆ (โดยเฉพาะฉากในอวกาศทั้งหลาย) แต่อาจจะมีขัดใจอยู่นิดกับตอนจบที่กั๊กๆ แบบว่าไม่ยอมจบไปแต่แรก แต่ดันเลือกจบแบบโลกสวยมีก๊อกสองก๊อกสามตามมาแบบนี้..
ด้านการแสดงนั้นแม็คคอนนาเฮย์ถือว่าเอาอยู่ เขาสามารถแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้ (ทั้งในโลกและนอกโลก) ส่วน 3 สาว แฮทธาเวย์, แชสเทน และฟอยนั้น ต่างฝ่ายก็มีดีเป็นของตัวเอง (โดยเฉพาะสาวน้อยคนหลังแสดงได้ดีมาก)
แต่ที่ขโมยซีนที่สุดคงต้องยกให้กับ 2 หุ่นยนต์ในเรื่อง ทาร์สกับเคส ที่แบบว่าได้ใจไปเต็มๆ
สรุป Interstellar เป็นหนังดราม่าไซ-ไฟแนววิทยาศาสตร์รักลูก-รักโลกที่ดูสนุกแอบชวนงงแบบว่าต้องดูซ้ำรอบสอง ไม่ใช่เพราะว่ามันสนุกโดนใจมาก แต่แค่ต้องการเก็บรายละเอียดที่พลาดไปอีกครั้งก็แค่นั้น!!
ปล.ขอบคุณที่ไปช่วยน้องซีทำมาหากินนะคะ 5555