With all your imperfections, you can do anything.
Group Blog
 
<<
กันยายน 2558
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
18 กันยายน 2558
 
All Blogs
 

ประสบการณ์เดินเที่ยวแบบสุดโหด


เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2558 กลับจากใต้ เดินทางโดยรถทัวร์ถึงขนส่งสายใต้เวลา 4:30 น. จะนั่งรถตู้กลับไปหอพักทีเดียวเลย ก็ต้องรอเวลาให้ถึงตี 5 ครึ่ง ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยเดินไปที่ท่ารถเมล์ เห็นรถเมล์สาย 511 นึกอยู่ในใจว่า เช้าๆ แบบนี้วิวที่แม่น้ำเจ้าพระยาน่าจะสวย ไปถ่ายรูปที่สะพานดีไหม พอดีถึงเวลารถคันแรกออก กลุ่มคนที่นั่งรอ เดินไปขึ้นรถกัน เราก็เลยเดินตามไปด้วยซะงั้น ไม่ทันได้มีเวลาตัดสินใจอะไร สรุปว่านั่งรถเมล์สาย 511 ไปลงที่ป้ายใกล้ท่าน้ำสะพานพระปกเกล้า

ถึงท่าน้ำ ประมาณตี 5 ยังไม่สว่างเลย จะขึ้นไปยืนรับลมบนสะพาน ก็เห็นว่าที่ตีนสะพานมีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง ทำอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ มีคนถือไฟฉายส่องด้วย ไอ้เราก็คิดว่าอาจเป็นมิจฉาชีพ จึงไม่กล้าเดินขึ้นสะพาน นั่งรอเวลาตรงท่าน้ำแทน เพราะมีไฟส่องสว่างอยู่

ท่าเรือตรงสะพานพระปกเกล้าออกแบบสวยงาม ติดป้ายว่าเป็นท่าเรือต้นแบบเสียด้วย มีคุณลุงคนหนึ่งออกมากวาดขยะบริเวณโดยรอบ เตรียมพร้อมแล้ว แถวนั้นมีป้ายแผนที่ท่องเที่ยว มีจุดที่ผมยังไม่เคยไป ก็คือวัดบวร หรือว่าเราควรจะไปเที่ยวที่นั่นดี ไหนๆ ก็ผ่านมากรุงเทพแล้ว อย่าให้เสียค่ารถเปล่าเลย

ผมหันไปมองดูตรงตีนสะพานอีกที เห็นว่ามีพนักงานกวาดขยะไปกวาดขยะตรงกลุ่มคน เริ่มอุ่นใจ จึงเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าทีมุงดูกันอยู่หน่ะ เป็นร้านขายของแบกะดิน เอาของเก่าจิปาถะมาขาย ไม่มีไฟอะไรจากร้านค้า อาศัยไฟจากเสาไฟข้างทาง คนซื้อต้องเอาไฟฉายมาส่องดูของ ร้านที่ขายของใหม่ก็มีนะ อยู่ถัดไป มีอยู่สองสามร้าน คาดว่าน่าจะขายมาตลอดทั้งคืน ขายจนถึงเช้ากันเลย มันแปลกตรงนี้นี่แหละ

เดินขึ้นไปบนสะพานพระปกเกล้า มีแสงอาทิตย์ส่องผ่านเมฆมานิดหน่อย ผมเอามือถือถ่ายไว้ 1 รูป แล้วเห็นเงาตัวเองบนสะพาน ถ่ายเล่นไป 1 รูป แต่ด้วยผลกรรมที่ทำไว้ เมื่อคืนผมเปิดมือถือฟังเพลงจนแบตมือถือเกือบหมด ทำให้แบตหมดพอดีตอนที่ถ่ายรูปเล่น สมน้ำหน้าตัวเองจริงๆ ภาพแสงอาทิตย์ที่ถ่ายไว้เป็นภาพแรก ก็ปรากฏว่าภาพแตกไม่สวยเสียอีก

ผมยืนดูวิวอยู่บนสะพานพระปกเกล้าอยู่นานมาก เพื่อรอดูแสงอาทิตย์ที่เริ่มเปิดฉากระบายสีสันบนท้องฟ้า ถือว่าเป็นการฆ่าเวลาไปด้วย เพราะจะเดินไปวัดบวรเลย มันก็เช้าเกินไป วิวมันก็สวยนะ แต่เสียวมาก เพราะรถใหญ่วิ่งมาที สะพานมันก็สั่นทีหนึ่ง

น่าแปลกที่นกที่บินบนท้องฟ้าเป็นกาส่วนใหญ่ มันบินข้ามแม่น้ำมาเป็นระยะ ทีละสามสี่ตัว

พอเห็นว่าบรรยากาศรอบข้างสว่างดีแล้ว ผมก็เดินลงไปอีกฝั่ง เลี้ยวไปทางถนนพระอาทิตย์ แถวนี้มีสถานที่สำคัญเยอะ อย่างเช่นพวกสำนักงานต่างๆ ของ UN ระหว่างทางมีป้ายบอกประวัติว่าที่นี่เคยเป็นอะไร ส่วนใหญ่เป็นวังเก่า ดูหรูหรา ขลังดี นอกจากนี้ก็มีโรงแรม ภัตตาคารหรูๆ ก็แน่อยู่ล่ะ ถนนเส้นนี้เลียบแม่น้ำเจ้าพระยานี่

แถวนี้ไม่ค่อยเห็นหมาจรจัดนะ มีแต่แมว เล่นด้วยไม่กลัวคนเลย ผมเดินไปจนถึงสวนสันติชัยปราการ เป็นสวนที่มีป้อมปืนโบราณ (ป้อมพระสุเมรุ) ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีต้นลำพูอยู่ริมน้ำกลุ่มหนึ่ง ผมนั่งพักเหนื่อยอยู่ตรงที่นั่งหินอ่อนริมน้ำ มองไปฝั่งตรงข้ามเห็นสะพานพระราม 8 ชัดเจน สวนแห่งนี้มีคนมาวิ่งออกกำลังกาย แล้วก็มีคุณป้าคุณยายมารำมวยจีน เปิดเสียงเพลงประกอบจังหวะกันกระหึ่มเลย สิ่งที่น่าชื่นชมของสวนแห่งนี้ก็คือ ห้องน้ำไม่เก็บเงิน นี่ขนาดกรุงเทพนะเนี่ย

ข้างๆ สวนสันติ เป็นพิพิธบางลำพู เขียนไว้ว่าเปิดตอน 10 โมง แบตมือถือผมหมด แล้วก็เป็นคนที่ไม่ใส่นาฬิกาด้วย จึงทำให้ไม่รู้เวลา เอาเป็นว่าเดินไปเที่ยววัดบวรก่อนดีกว่า แล้วค่อยย้อนกลับมาอีกที 

ผมเดินเลี้ยวไปตามถนนพระสุเมรุ ระหว่างทางเห็นศาลเจ้าพ่อหนูอยู่อีกซอย เล็งไว้ก่อนเดี๋ยวจะกลับมาแวะ ถึงวัดบวร มีการกางเต็นท์ และวางเก้าอี้เรียงรายกันเต็มไปหมด เหมือนมีพิธีอะไรสักอย่าง ผมเดินเลี้ยวไปสำรวจรอบๆ มีอาคารที่สร้างด้วยศิลปะยุโรปเหมือนวังสมัย ร.5 แปลกดีที่มีสถาปัตยกรรมแบบนี้ในวัด ผมไม่ได้ตามข่าวของพระสังฆราชเลย ดูเหมือนว่าที่นี่จะยังมีพิธีที่เกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราชอยู่ มีการจองเป็นเจ้าภาพอะไรด้วย หาข้อมูลคร่าวๆ จากเว็บ ได้ความว่า ยังไม่ได้มีการพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระสังฆราช กำหนดวันจะอยู่ช่วงเดือนธันวา 2558

ผมเดินไปรอบๆ ออกอาการเกร็งเหมือนกัน เพราะข้างในมีรถหรูหลายคันจอดอยู่ แล้วมีคนขับรถยืนเฝ้า มีรถตำรวจอย่างหรูอยู่ข้างในด้วย หลายจุดมีทหารเฝ้า คนที่มาที่นี่ อาจเป็นคนใหญ่คนโตในสังคม

อาการเกร็งลดลง เมื่อเห็นแผนที่ท่องเที่ยวของวัดบนผนัง ให้ความรู้สึกว่า วัดแห่งนี้ คนธรรมดาทั่วไปเข้ามาเดินชมได้ นอกจากนี้ยังเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังบิแตงกวาแล้วโยนลงไปในคลองเล็กๆ กลางวัด ในคลองมีเต่าญี่ปุ่นขนาดเท่าฝ่ามืออยู่สองสามตัว รอกินแตงกวาอยู่บนแผ่นไม้ลอยน้ำคล้ายพาเลท (แต่ทำอย่างหรู)

ผมเดินต่อไปยังพิพิธภัณฑ์มนุษย์นาคที่อยู่ภายในวัด สร้างอย่างหรูสอบถามทหารที่เฝ้าอยู่ ว่าเปิดให้เข้าชมหรือเปล่า เพราะหรูเกิน ไม่กล้าเข้า ทหารบอกว่าเปิดให้ชมเวลา 9 โมง คำนวณเวลา ตอนนั้นน่าจะสักประมาณ 7 โมงกว่าได้ ทหารแกคงงง มาถามอะไรตั้งแต่ 7 โมงเช้าเนี่ย

ผมเดินวนกลับไปให้ครบรอบ ผ่านเจดีย์ใหญ่สีทอง และเข้าไปในอุโบสถ ข้างในมีพระพุทธรูปใหญ่ 2 องค์ มีคนเข้าไปกราบพระกันหลายคน ส่วนหนึ่งนั่งอ่านบทสวดมนต์ในใจ อีกส่วนนั่งสมาธิอยู่ติดกับกำแพง ผมไม่รู้จะไปไหนต่อดี ก็เลยเนียนนั่งสมาธิฆ่าเวลาไปกับเขาด้วย นั่งไปได้สักพัก ก็เดินออกมา เวลาที่หอนาฬิกา (จริงๆ แล้วเป็นแท๊งค์น้ำยกสูงที่ออกแบบให้เป็นหอนาฬิกา) ก็เพิ่ง 8 โมงเช้าเอง สงสัยคงต้องเดินฆ่าเวลานอกวัดเสียแล้ว

ผมเดินออกนอกวัด ไปตามถนนเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย เจอวัดตรีทศเทพ เป็นวัดเก่า มีป้ายประวัติให้อ่านเหมือนกัน แต่เขาไม่เปิดให้เข้าชมภายใน ที่นี่มีศาลาสวดศพ แต่คล้ายกับว่าจะสวดเฉพาะศพของตำรวจหรือเปล่า ไม่แน่ใจ

ผมเดินผ่ากลางวัดไปออกซอยด้านหลัง แล้วเดินย้อนกลับมา ช่วงหนึ่งของซอย มีขายของกิน ก็เลยแวะกินบะหมี่น้ำ 1 ชาม ที่ร้านมีขนมจีนไหหลำด้วย หน้าตาเป็นอย่างไรไม่รู้ เสียดายเพิ่งเห็นหลังจากนั่งบะหมี่ไปแล้ว นั่งกินอยู่ดีๆ มีอาแปะเดินผ่าน แล้วยกมือไหว้ หันไปข้างหลังเป็นตรอกเล็กๆ และมีศาลเจ้าเล็กๆ อยู่ตรงนั้น

กินเสร็จเดินผ่านสะพานข้ามคลอง ก็เจอศาลเจ้าอีก ถือได้ว่าโซนแถวนี้ เป็นโซนสำหรับนักทำบุญไหว้พระจริงๆ

เวลาช่างเดินช้าเหลือเกิน ผมเดินวกขึ้นไปบนถนนสิบสามห้าง เห็นตึกเก่าอยู่กลางบล็อค น่าจะเป็นห้างเก่า พยายามเดินไปรอบๆ ก็ไม่มีข้อมูลบ่งบอกเลยว่าเคยเป็นห้างอะไร เดินไปจนถึงอีกด้านของบล็อค ก็เห็นป้ายวัดชนะสงครามอยู่ไกลๆ ได้จุดหมายใหม่อีกแล้ว

เข้าวัดผิดประตู กลายเป็นว่าต้องเดินอ้อมไปด้านหลังกว่าจะถึงจุดไหว้พระ ไหว้พระที่วัดนี้ จะได้ชนะสงครามชีวิตกับเข้าบ้าง

กลับออกมา ได้เวลาพิพิธภัณฑ์มนุษย์นาคเปิดพอดี เดินย้อนกลับไปอีกรอบ ภายในพิพิธภัณฑ์ด้านล่างออกแบบมีที่นั่งเหมือนโบสถ์ฝรั่ง แสดงประวัติของพระสังฆราช ด้านบนแสดงประวัติเจ้าอาวาสวัดบวร ที่นี่ไม่เก็บค่าเข้าชม

ปกติการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ผมจะดูของเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยอ่านข้อมูลอะไรหรอก แต่เนื่องจากเหลือเวลาอีกตั้ง 1 ชั่วโมง กว่าที่พิพิธบางลำพูจะเปิด สถานการณ์ก็เลยบังคับให้อ่านข้อมูลต่างๆ เพื่อฆ่าเวลา

- จริงๆ แล้ววิทยาศาสตร์กับศาสนาไม่ได้ไกลห่างกันเลย สมัย ร.4 ท่านบวชที่วัดบวร ท่านศึกษาดาราศาสตร์ไปด้วย มีเครื่องมือวัดเวลา วัดตำแหน่งดวงดาวของ ร.4 จัดแสดงอยู่ที่นี่ เพียบ พระบางรูปบันทึกสถิติน้ำฝนในใบลานด้วยนะ
- พระวัดบวรหลายรูปที่มีชื่อเสียง ไม่ใช่บุคคลธรรมดา เป็นถึงเชื้อราชวงศ์
- พระที่มีสมณศักดิ์สูง ไม่ธรรมดา มีความสามารถ เก่งวิชาการ แต่งหนังสือเยอะ แปลพระธรรมคำภีร์เยอะ

หลังจากเดินชมเสร็จเรียบร้อย ก็ออกจากวัดบวร แวะที่ศาลเจ้าพ่อหนู ไหว้พระ ทำบุญเล็กๆ น้อยๆ เสี่ยงเซียมซี ได้ใบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อนาคตจะดีนะ เขาว่าอย่างนั้น สังเกตเห็นว่ามีคนมาถวายของเล่นกันเยอะมาก ที่นี่ไม่มีข้อมูลอะไรให้อ่าน หาข้อมูลจากในเน็ต เขาบอกว่า จริงๆ แล้วเป็นศาลเจ้าที่มีพระพุทธรูปซึ่งลอยน้ำมา ต่อมามีไฟไหม้ แล้วมีคนเห็นเด็กโบกธงเหมือนจะปัดเป่าให้ไฟดับ แล้วไฟก็ดับจริงๆ เขาเลยเรียกที่นี่ว่าศาลเจ้าพ่อหนู หนูหมายถึงเด็ก ไม่ใช่สัตว์ มีน่าหล่ะถึงได้มีคนมาถวายของเล่นกันเยอะแยะ

สถานีต่อไปคือพิพิธบางลำพู เป็นพิพิธภัณฑ์ของกรมธนารักษ์ มีเจ้าหน้าที่นำชม ไปถึงได้เที่ยว 11 โมงพอดี มีเพื่อนร่วมกลุ่มเข้าชมหลายคน ที่สำคัญ มีสาวๆ น่ารักด้วย ภายในจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการทำเหรียญเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชุมชนบางลำพูเสียมากกว่า ฟังเจ้าหน้าที่แล้วนึกภาพออกหมด ก็แหง๋ละสิ ก่อนหน้านี้เดินฆ่าเวลามาทั่วพื้นที่ชุมชมแล้ว

เสร็จจากพิพิธบางลำพู ก็น่าจะจบ Trip ได้แล้ว ถึงเวลาเดินไปป้ายรถเมล์ต่อรถสาย 511 ผมย้อนกลับไปที่ถนนพระอาทิตย์ เลี้ยวไปตามถนนที่ลงมาจากสะพานพระปกเกล้า เดินไปแบบคาดเดาล้วนๆ งมๆ ไป เพราะจำไม่ได้ว่า 511 มันผ่านตรงไหนต่อ หลังจากลงจากสะพานพระปกเกล้า เดินไปเรื่อยๆ ก็เห็นพิพิธภัณฑ์เหรียญอยู่ตรงมุมเข้าถนนจักรพงษ์ เอาละ ไหนๆ ก็มาแล้ว เดินเข้าไปดูเสียหน่อย

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ สร้างอย่างหรู ดูทันสมัย และเป็นของกรมธนารักษ์อีกแล้ว กรมนี้เขารวยจริงๆ ความจริงยังสร้างไม่เสร็จ แผนคือสร้าง 3 ชั้น ตอนนี้ได้ 1 ชั้น แต่ก็เปิดให้เข้าชมได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนแสดงชั่วคราวให้ชมอีกด้วย ที่นี่มีเจ้าหน้าที่นำชมอีกเช่นกัน ทั้งพิพิธบางลำพูและพิพิธภัณฑ์เหรียญ ไม่เก็บค่าเข้าชม

งานนี้ได้เข้าชมเวลารอบเที่ยงกว่าๆ ซึ่งไม่ค่อยมีคน มีครอบครัว 4 คน กับผมอีก 1 คน ครอบครัวนี้มี พ่อ แม่ ลูกสาว และลูกชาย หน้าตาดีกันทั้งบ้าน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินจริง 555

พิพิธภัณฑ์มีลูกเล่น เทคนิคแพรวพราว เพื่อให้เด็กๆ และคนสนใจ จะได้ไม่น่าเบื่อ จุดที่อลังการมากที่สุดคือ นิทรรศการแบบ 4D ชีวิตนี้ยังไม่เคยดูหนัง 4D เลย ได้มาสัมผัสที่นี่เป็นที่แรก ไม่เชิงเป็นที่นั่งโรงหนังเสียทีเดียว แต่ทำเป็นถ้ำ มีก้อนหินให้เรานั่ง ฝาผนังก็ฉายเรื่องราวไป ก้อนหินที่เรานั่งมันก็จะสั่นตามจังหวะเวลาของเนื้อเรื่อง มีพัดลมเป่าเย็นๆ บางจังหวะ เป่าซะเราเหงื่อแห้งเลย

เรื่องราวเกี่ยวกับเงินตรา มีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะแยะเลย แนะนำให้ลองไปชมกันครับ ตรงส่วนแสดงชั่วคราว ก็มีเหรียญแปลกๆ จากหลายประเทศให้ดู น่าทึ่งดี โบรชัวร์ของพิพิธภัณฑ์ สามารถพับเป็นกระเป๋าเงินได้ด้วยนะเออ ลูกเล่นเขาเยอะจริงๆ

เยี่ยมชมเสร็จก็เดินไปจนเจอป้ายรถเมล์ ตอนแรกก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เหมือนกัน เพราะที่ป้ายไม่มีบอกว่าสาย 511 ผ่าน แต่อยู่ๆ ก็ฟลุ๊ค มีผ่านมาจนได้ ระหว่างทางก็เห็นหอเกียรติยศนายกรัฐมนตรีอีก แต่พอแค่นี้เหอะ นี่ก็เหนื่อย ปวดขาจะแย่อยู่แล้ว

3 วัด
3 พิพิธภัณฑ์
1 ศาลเจ้า

แล้วเดินแบกสัมภาระหนักๆ ที่ด้านหลังด้วย Trip นี้มันโหดจริงๆ




 

Create Date : 18 กันยายน 2558
0 comments
Last Update : 18 กันยายน 2558 21:20:15 น.
Counter : 726 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Dragonfly7Colors
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




Friends' blogs
[Add Dragonfly7Colors's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.