Group Blog
 
 
กันยายน 2559
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
21 กันยายน 2559
 
All Blogs
 

จิตเกาะพระ 6กย2559 ชำแหละธรรม



 ขอบพระคุณที่มาเฟสบุคPhuBodin 6กย2559

#ชำแหละธรรม
ชำแหละกายใจตนเอง
การปฎิบัติธรรม เขาให้เราอยู่กับกายใจตนเอง มากๆ
เพราะเราจะได้มีเวลาตามดูกายดูใจตนมาก "รู้กายรู้ใจ"
มิได้ให้ไปอยู่กับผู้คนหมู่มาก ยิ่งอยู่กับผู้คนมาก เราก็ยิ่งพูดมาก 
มิได้ให้เราไปดูหรือไปรู้กายใจผู้อื่นเขา ถ้าใครทำแบบนี้ผิดทาง
จิตติด คือจิตไม่ยอมเดินมรรค
เพราะขณะปฎิบัติ เรามัวแต่สนใจจริยาผู้อื่น
ดังนั้นจึงสมควรแล้ว ที่ไม่ค่อยเจริญในธรรมเท่าที่ควร
ถ้ารู้อย่างนี้ก็รีบๆหันกลับมาดูกายใจ มาสนใจตนมากๆ
ยิ่งสนใจ ยิ่งให้ความสำคัญในงานดูกายดูจิตตนเองมาก
เราก็ยิ่งเห็นธรรม พบธรรมเร็วมากเท่านั้น
ยิ่งสนใจจริยาผู้อื่นมาก ก็ยิ่งไปรับเอาอกุศลกรรม ผู้อื่นมาก
ส่วนธรรมในจิต ก็ยิ่งไม่มีใหญ่เลย ต่อไปนี้ อย่าสนใจเด็ดขาด
ทำให้มรรคผลตนเกิดยาก เกิดช้าหรือไม่เกิดเลย ก็เป็นได้

"ความคิด" "ความรู้สึกใดๆ'
นักภาวนาต้องคอยมีสติแยกแยะกันให้ดี
เพราะนั่นเป็นนามหรือกิเลสละเอียดของตนเอง
เพราะขันธ์๕ มีอะไรบ้าง ทุกคนรู้หมดแล้ว
ว่าแต่ว่า แยกกันชัดเจนหรือไม่เท่านั้นเอง
คนที่แยกไม่ได้ก็มัวต่อไป คือ ทุกข์ต่อไป

นักภาวนา ถ้าคิดว่าตนมีสติปัญญาแล้ว
ย่อมแยกกาย แยกจิตได้ 
คือแยกจิตออกมาจากร่างกายตนให้ได้ก่อน
ถ้าแยกได้ ต่อไป ค่อยแยกจิตในจิต 
ถ้าแยกจิตได้ ต่อไป ตนจึงจะเห็นตน
นอกจาก ตนเห็นตน เรายังเห็นทุกข์ในใจตนด้วย
แต่ถ้ายังแยกจิตจากกายไม่ได้ 
ดังนั้น ก็ไม่สามารถแยกจิตในจิตได้
เพราะสติปัญญายังไม่มากพอ ที่จะไปรู้ทันจิต 
กล่าวคือ ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นขณะนั้น
แยกหยาบให้ได้ก่อน คือแยกรูปหรือร่างกายได้ก่อน
ต่อไปค่อยแยกละเอียด คือนามทั้ง๔ ในเรื่ืองขันธ์๕

เราต้องมีความเห็นถูกต้อง โดยเฉพาะร่างกายของเรา
ว่าร่างกายของเรานี้ มิใช่เรา มิใช่ของเรา 
ว่าด้วย สักกายทิฏฐิ นั่น
ใครที่เคยเข้าใจผิดมาโดยตลอด ทำความเข้าใจเสียใหม่
มิฉะนั้น จะเกิดอุปาทานขันธ์ นึกว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา
แต่ความจริงมันเป็นที่ไหน เพราะถึงเวลากายต้องดับสูญสลาย
อั่ยที่ตายคือกาย มิใช่จิต เพราะจิตเป็นอมตะ
คือแค่เปลี่ยนที่อยู่ใหม่เท่านั้น 
เปลี่ยนจากกายหยาบเป็นกายละเอียด(กายทิพย์)
หมายถึง ตายไปแล้ว ที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า วิญญาณ
ถ้าใครปรารถนาพระนิพพาน ..
ต้องเปลี่ยนกายทิพย์เป็น "กายแก้ว"

ถ้าใครพอแยกได้ "กายในกาย"  "จิตในจิต"
คนนั้นย่อมแยกเวทนา แยกจิตสังขาร ไม่ยากแล้ว
หากทำได้ดังนี้ ย่อมแยกจิตออกจากทุกข์ทั้งปวงได้แน่นอน
ความทุกข์ในใจ ก็ไม่ต่างกับ ไข่ ซึ่งประกอบไปด้วย ไข่ขาว ไข่แดง
เหมือนความทุกข์ในใจก็เช่นกัน ไข่ขาวเหมือนความทุกข์
ส่วนไข่แดงเหมือนจิตใจคนเรา ถ้ามีสติปัญญากันจริง
ย่อมมองเห็นได้ชัดเจนเช่นนี้ ดังนั้น จิตกับความทุกข์ คนละอย่างกัน
แค่มันอยู่ร่วมกันดั่งไข่ฟองนั้น ดั่งจิตใจคนเรา
จิตกับใจนั่น แยกจิตกับใจออกมา เราจะได้สูตรใหม่
คือ จิตหมายถึงเจตสิก ใจหมายถึงสิ่งรับรู้นั่น 
ใจมีลักษณะรับรู้เพียงอย่างเดียว ไม่รุ๊ รับรู้ลูกเดียวเลย
ไม่รุ๊ สิ่งที่ใจรับรู้มานั้น มันสุขหรือทุกข์ เพราะรับรู้แบบคนโง่เขลา
คือไม่มีสติแยกแยะผิดถูก ไม่มีสติแยกแยะว่าอะไรคือสุข อะไรคือทุกข์
สรุปแล้ว จิตคนที่ไม่ได้ฝึกจิตมาเลย จึงมักเสียเปรียบ
เพราะแยกจิตกับใจตนไม่ได้ 
เท่ากับแยกจิตแยกทุกข์ออกจากกันไม่ได้  
ถ้าแยกไม่ได้ แยกไม่เป็น ดังนั้น ก็ต้องทนทุกข์กันต่อไป
ครูบาอาจารย์ท่านก็พูดไปเห่อ ไม่มีใครฟัง ไม่มีคนสนใจทำ
บอกว่าให้ทำภาวนาๆกัน ปากจะฉีดถึงหู ไม่ยอมทำตามพระ
งั้นก็แบกทุกข์กัน ต่อไป ..
โมทนาสาธุ
...
หากจะเอาดีทางนี้ "มรรคผล"  ก็พยายามสนใจตนเองมากๆ คืออยู่กับกายใจตนมากๆ พอเราอยู่กับกายใจตนแล้ว ต่อไป เราก็ดูกายดูจิตตนมาก คือมีสติตามดูกายเคลื่อน ดูจิตเคลื่อนไหว แต่ต้องดูด้วยใจเป็นกลาง คืออย่าไปยุ่งไปเกี่ยวข้องใดๆ ที่เรากำลังมองเห็นอยู่นั้น.. ดูจิตเคลื่อน เช่น เห็นอารมณ์ใจตนไม่สบาย ก็ปล่อยอารมณ์ขณะที่ไม่สบายอยู่นั้น วางลงก่อนชั่วคราว จะให้วางถาวรเลยก็เป็นไปไม่ได้อีก เพราะยังไม่มีสติปัญญามากเหมือนพระอริยเจ้า สาธุ
...
"มรรคผล" จะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับตนอย่างเดียวเลย ยิ่งสนใจจิตกับสติตนมากเท่าไหร่ มรรคผลก็จะเกิดไวเท่านั้น สาธุ
...
พูดไม่หมดในธรรมที่กล่าวไปแล้วข้างต้นนั่นก็คือ #วิญญาณขันธ์ หนึ่งในขันธ์๕ กล่าวคือ ตัวธรรมสุดท้ายนี้ เราจะวางภายหลังได้ หลังจากวางรูป วางนามตัวละเอียดบางตัวได้ แล้วเราจะเห็นนามละเอียดตัวสุดท้ายของตนนั่นคือ วิญญาณขันธ์ คือ ตัวที่จิตไปรู้นั่น เห็นนี่ ..ตัวนี้วางยาก เพราะเราต้องใช้มันตลอดเวลาเลย นับแต่ตื่นนอนยันเข้านอน สาธุ
...
สาธุครับ เฆี่ยน เพื่อให้เราได้ดี จิตจะได้ไม่ต้องตกไปอยู่แดน อตร. คืออบาย คือนรก แค่ทุกข์ที่มีขันธ์อยู่นี้ก็ทุกข์มากแล้วนะ แต่ถ้าตายไปแล้ว จิตตนต้องไปทุกข์ต่อที่แดนที่มามานี้ อันนั้น ระยะเวลายิ่งยาวนานกว่าอีก เพราะฉะนั้น ขอให้ลูกหลานทุกแค่กายหยาบ ทุกแค่ชาตินี้ชาติเดียวพอแล้วนะ สาธุๆ ตั้งใจปฎิบัติ ส่วนภาระหน้าที่ทางโลกปล่อยให้กายหยาบทำไปตามปกติ แต่งานภายใน เป็นเรื่องของจิตกับสติเท่านั้นเอง พยายามทำควบคู่กันไป อย่าทำแค่งานทางโลกฝ่ายเดียว เด่วจะขาดทุนหนักไปมากกว่านี้ สาธุ ขอให้เธอเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
...
ที่ผู้เขียนพร่ำธรรม หรือให้ธรรมาทานอยู่นี้ ไม่ใช่อยากจะสอนสั่งหรืออยากเป็นครูบาอาจารย์ของผู้ใดน๊า โปรดเข้าใจกันเสียใหม่ เพราะความจริง ปกติ ตนเองก็ไม่จะอยากพูดธรรมะให้ใครฟัง ยกเว้นกำลังใจเป็นพระ ถึงกล้าพูดธรรมะได้ พูดได้ทั้งวันไม่มีเบื่อตราบใดจิตไม่ถอนอารมณ์สมาธิ อารมณ์พระนะ แต่ถ้าถอน จบข่าว เงียบกริ๊บ.. ถึงอยากพูดธรรม ก็พูดไม่ได้ เพราะไม่รู้จะพูดยัง เริ่มต้นอย่างไร อย่าเพิ่งไปคิดกันว่า ผมอยากพูดนะ  ผมรู้แล้วว่า ทำไมถึงพูดได้ เพราะผมอธิษฐานจิตไว้ อยากตอบแทนคุรพระรัตนตรัย ถึงว่า หมอดูเคยทักผมไว้นานมาแล้วว่า เด่วต่อไปจะพูดธรรมะเป็นต๋อยหอย ป๊าด เป็นไปไม่ได้แน่ เพราะรู้ตัวว่า ทุกวันไม่เคยรักษาศีล ทำภาวนากับเขาเลย แล้วจะพูดธรรมะเป็นต๋อยหอยก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน โม้แน่ๆ ทายผมผิดแน่ๆ หมอดูคู่หมดเดาเอ๊ย ตอนนั้นนึกในใจไว้แบบนั้นนะ สาธุ ขออนุญาตเล่าสู่กันฟัง
...
หมอดูเยี่ยม อิอิ สาธุครับ ที่พอรับธรรมะกันได้บ้าง ไม่เสียเวลาอุตส่าห์อธิษฐานจิตถึงท่านพ่อ(สมเด็จพอองค์ปฐม) ว่า ขอให้ลูกรับและสื่อธรรม ให้ผู้อ่านได้รู้และเข้าใจง่ายดาย โดยมิต้องแปลให้มากเรื่อง ขอให้คนอ่านมีสมาธิก่อนค่อยอ่านแล้วเขาจะพากันรู้เข้าใจได้โดยง่ายดาย.. อธิษฐานเป็นผลแล้ว ลูกขอน้อมจิตก้มกราบแทบพระบาทท่านพ่อ ด้วยเศีรเกล้า สาธุๆๆ
...
สาธุ คุณนี่ อารมณ์ดีจัง จิตดี กายย่อมดีตาม ไม่ค่อยเจ็บป่วยเหมือนผู้อื่นๆเขา คนมีบุญเยอะก็งี้แร๊ะ มองโลกบวกฝุดๆ
...
Sinee สาธุ เด่วก็หาย ถ้าจิตไม่ตามความคิดมากนัก ผมก็เป็นเหมือนกัน แต่ถ้าทรงสมาธิจิตเป็น ก็ลดเวทนาได้เยอะ ขึ้นอยู่ที่สมาธิอะไร ขั้นใด สุดท้ายร่างกายไม่เที่ยง ผุพังหรือเสื่อมทุกวัน แต่ตอนนี้ ฝึกทำใจยอมรับกฎธรรมดาให้ได้ก่อนน๊า ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุ
...
ท่านอาจารย์ ขออนุญาตถามเรื่องสมาธิมากเกินพดีด้วยค่ะ
สาธุครับ สมาธิมากเกินพอดี หมายความว่า เกินความพอดีกับทางโลก หมายถึง ถ้าขณะสมาธิจิตเกิดขึ้นในแต่ละวัน มันสูงเกิน ฌานลึกไปหน่อย คือจะเหมือนการทำงานสมองมันช้าลง ให้ถอยฌานลงต่ำกว่านี้หน่อย วัดกันง่ายๆตรงที่จะมีอาการตึงที่ระหว่างคิ้ว นี่แหละ สมาธิสูงเกินไป ยกเว้น ถ้าตั้งใจทำสมาธิหลับตาปี๋ อันนั้นดีมาก เข้าไปให้ลึกๆเลย ฌาน๔ ก็ยิ่งดีใหญ่เลย จะได้ถอยกายทิพย์ออกนอกกายหยาบไปท่องเที่ยวที่อื่นบ้างก็ดีนะ สาธุ นี่ใช่คำตอบที่เะฮถามมาไหม แต่ถ้าไม่ใช่ค่อยถามใหม่ สาธุ
...
อีกอย่าง สมาธิเกินพอดี เช่น คนติดฌานนั่น สังเกตไม่อยาก เช่น ดูจากหน้าเขา ดูไม่ได้เลย เหมือนผีดิบ แต่ภายในใสแจ๋ว มักปลีกวิเวก ชอบอยู่แต่ลำพัง วันๆนึง ไม่อยากพูดกับใคร เป็นต้น  แต่ปล่อยให้เขาติดไปก่อนเห่อ เด่วอีกไม่นานนักก็ออกมาเอง ออกมานู้นแร๊ะ วิปัสสนาขาดสิ้น หรือคลายความสงสัยในจิตตนลงไปบ้างแล้วนั่น
...
 ดังนั้น เราก็คอยปรับให้อยู่ตรงกลาง แค่อุปจารสมาธิก็พอแล้ว เพราะสมาธิระดับนี้ถือว่าดีมาก เหมาะแก่การวิปัสสนาธรรมมาก แต่ถ้าอัปปนาก็ดี แต่มันไม่เหมาะทำงานทางโลกไปด้วย อันนั้นจะได้เฉพาะงานภาวนาอย่าเดียว วิปัสสนาธรรมดีมากสำหรับอารมร์ตรงนะ เพราะไม่มีนิวรณ์๕มารบกวน และก็ปีติ๕ก็ไม่รบกวน เวทนาและจิตขารก็ดับชั่วคราว นิ่งสงัดดีมาก เหลือเพียงแต่เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขา เท่านั้น
...
 หากสมาธิเกิดที่จิตแล้ว  #สติส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่กายและที่ใจด้วย
...
ท่านอาจารย์
ชือ...เคยทำกัมมัฏฐานนานแล้ว นั่งกำหนดรูปนั่งอยู่ พอจิตนิ่ง รู้ตัวอีกที ชื่อ...ไปเดินกัมมัฏฐานค่ะ
รูปที่เดินอยู่เบาสบายไม่มีเวทนาเลย พอจิตว่าเอ ..เมื่อกี่เรานั่งอยู่นี่ จิตกลับไปอยู่ที่เดิมค่ะ
พอบอกท่านที่สอนท่านบอกว่าสมาธิมากไปไม่ให้ทำ
ชื่อ...โมทนาสาธุ อ่อ ปล่อยให้จิตดำเนินไป เราแค่มีสติตามดูจิต ตามรู้จิตด้วยใจเป็นกลาง เท่านั้นเอง อย่าตกใจ อย่าสงสัย นะครับ ไม่แปลกหรอก ผมก็เึชคยเป็น คือ จิตเดินนำหน้าเลย หรือไม่ก็รู้ล่วงหน้าบ้างนิดหน่อย แต่เราต้องเฉยๆ ลูกเดียว อย่าไปให้ความสำคัญใด ให้กลับมาที่เดิมที่เราเคยทำไรไว้ เช่น เรากำลังบริกรรมหรือภาวนากรรมฐานใดอยู่ ก็ให้อยู่ที่เดิม เหมือนเดิม อย่าไปว๊อกแว๊กกับสิ่งใดๆ แม้นกระทั่ง นิมิตต่างๆ หรือจิตรู้เห็นหรือได้ยินอะไรก็ตาม อย่าได้สนใจ เด็ดขาด สาธุ
ชื่อ...ใช่ นั่นคือจิตเขาเดินก็เลยเบาสบาย ที่พระท่านบอกว่า สมาธิมากเกิน ท่านอยากให้เราอยู่กับสิ่งที่ตนทำทุกขณะจิตนี่เท่านั้น แต่ผมก็เข้าใจทั้งพระ ทั้งคุณนะ แต่อย่าลืมนะว่า ความสามารถจิตคนเราต่างกัน ส่วนที่บอกว่า สมาธิเกินหรือมากไปนั้น ผมว่ากลับเป็นข้อดีต่างหาก เพราะนั่นจิตเดินนำหน้าไปแล้วส่วนนึง หรือไม่ก็จิตเดิมคุณเคยทำมาแล้ว พอคุณทำจิตนิ่งสงบดีแล้ว คุณก็จะพบของเก่าที่นี่ ที่ที่จิตเข้าถึงสมถะ(ความสงบ) ปล่อยเขาไป เราเพียงแค่มีสติตามดูไปเท่านั้น เพราะถ้าจิตเกิดสมาธิแล้ว สติก็จะอยู่ทั้งสองฝ่าย คืออยู่ที่กาย อยู่ที่ใจ
เหตุที่ท่านมิให้ทำก็เพราะว่า เด่วสติตามจิตไม่ทัน เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมาก อย่าไปกังวลา เพราะบางทีพระบางรูปก็ไม่ยอมบอกเหตุญาติโยม ว่าทำไม แต่ ไม่ได้ตำหนิท่านนะครับ แค่อยากชี้แจง พระในจิตผมบอกว่า เมตตาบอกเขาไปนิดนึง หรือบอกแค่ครึ่งทาง 50:50 ไม่ใช่ให้เขาถามไปเรื่อย โดยที่เขาไม่ปฎิบัติเลย อันนี้ใช้ไม่ได้ ใหม่ๆเมตตาบอกเขาไป ที่เหลือก็บอกให้เขาทำมากๆ มากกว่าคำถาม สาธุ
บางที คนที่จิตไว เราก็อย่าไปห้ามจิต หรือต้องตามจิตตนมาก แค่มีสติดูและก็รู้เฉยๆก็พอแล้ว นักภาวนา อย่าไปเอาสติขวางจิตนะ ปล่อยให้จิตไปเรียนรู้เองบ้าง สติเป็นแค่พี่เลี้ยงเท่านั้น เห็นท่าไม่ดี เราก็เอาสติกรองนอก ปัญญากรองใน ตามพระเคยสอนมานั้น สาธุ
จิตจะไปรู้ไปเห็นอะไรมาก็ปล่อยเขานะ แต่ถ้าในพระสมาธิ แค่เราสงสัยนิดเดียวเท่านั้นเอง สมาธิอาจถอยทันทีเลย อย่างที่คุณเล่ามานั่นแหละ สาธุ
แหม๊ ว่าแต่ว่า น่าเสียดาย เพราะคนเขาหากันจังแบบที่เธอได้นี่นะ จิตนำหน้าเลย ผมเคยเป็นบ่อย ถ้าจิตรวมดีๆนะ เวลาเดินเล่นเพลิน ไม่ได้เดินจงกรม สติมองเห็นกายทิพย์ตนเดินนำหน้าเลย ตอนแรกนึกว่าผีซะอีก แต่ไม่ใช่ พอเราสงสัยนิดเดียวก็ไม่ได้ เพราะจะหายไปเลย กลับมารู้สึกอีกทีนึง ก็กลายเป็นกลายหยาบไปแล้ว จบข่าว...
ตอนนี้ผมนึกถึงคุณ.....เลย แต่ผมยังไม่นำมาบอกเล่าเก้าสิบให้พวกเธอฟัง รอให้จิตวิปัสสนาไปพลางๆก่อน ตอนนี้กำลังดี ครูแค่คอยวางกำลังใจให้ถูกต้องก็พอแล้ว จิตคุณ...นี่ไปไหวเหมือนกัน วิปัสสนาไวมาก วิปัสสนาแหลกลาญ วิปัสสนาเสร็จ จิตก็วางเสร็จสรรพเดี๋ยวนั้นเลย เอ่อเก่งมากเลย จิตคุณ... เพราะขยันทรงสมาธิ ต่อเนื่อง บอกไรแนะไร เอาหมดท่านนี้ คนบอกง่าย คนขยันก็ขยันจริงๆนะ บางคนบอกยาก บอกไปแล้วแนะนำอะไรไปก็ทำไม่ได้ สาเหตุหรือปัจจัยมีเยอะ นอกจากวาระคนนั้นมาถึง สาธุ
...




 

Create Date : 21 กันยายน 2559
0 comments
Last Update : 21 กันยายน 2559 19:42:01 น.
Counter : 522 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.