Soaring Yet Rooted
ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จจนมีสถานภาพสูงขนาดใหน ขออย่าได้ลืมผู้มีพระคุณที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคุณ
|
|||
ระบบการศึกษาที่สิงคโปร์ สิงคโปร์มีระบบการศึกษาที่เป็นเลิศประเทศหนึ่งของโลก ทุกโรงเรียนควบคุมโดยกระทรวงศึกษาธิการโดยตรงทำให้มาตรฐานการเรียนการสอนของแต่ละโรงเรียนไม่แตกต่างกันมากเหมือนอย่างโรงเรียนในกรุงเทพกับโรงเรียนในชนบทของไทย ระบบการศึกษาของสิงคโปร์แบ่งเป็นชั้นประถมศึกษาและมัธย,ศึกษาโดยมีรายระเอียดดังนี้ ระดับประถมศึกษา (Primary School) อันนี้ไม่กล้าพูดเยอะเพราะไม่เคยเรียนชั้นประถมที่โน่น เอาแบบคร่าวๆละกัน เรียนกัน 6 ปี ตั้งแต่ P1 ถึง P6 หลังจากเรียนจบ P6แล้ว ทุกคนจะต้องสอบ Primary School Leaving Examination (PSLE)ซึ่งออกโดยกระทรวงศึกษาธิการ เจ้าคะแนน PSLE นี่แหละที่จะเป็นตัวบอกว่า เด็กจะไปติดโรงเรียนมัธยมที่ไหนแล้วจะได้เรียน 4ปี หรือ 5ปีและยังใช้จัดอันดับโรงเรียนประถมในประเทศอีกด้วย ระดับมัธยมศึกษา(Secondary School) หลังจากที่รู้ผล PSLE กันแล้ว พวกเด็กๆก็จะเอาคะแนนPSLE นี้ไปยื่นที่โรงเรียนมัธยมที่ตนเองต้องการจะเข้าโดยทางโรงเรียนมัธยมแต่ละแห่งนั้นจะมีจำนวนรับจำกัด คือถ้าคนที่คะแนนPSLEสูงก็มีโอกาสติดโรงเรียนที่อยากจะเข้าสูง มันก็คล้ายๆระบบของ กสพท บ้านเรานี่แหละ แต่จะต่างกันที่ว่าทางสิงคโปร์เขาจะจำแนกเด็กออกเป็นสตรีม(stream) ซึ่งมีอยู่ 4 สตรีม คือ 1.เอ็กซ์เพรส(Express) ซึ่งเรียนแค่ 4 ปีแล้วสอบ O'Level หลังจากนั้นก็สามารถเลือกเรียนที่ Junior College(JC)สองปี, Polytechnicsสามปี แล้วไปต่อมหาวิทยาลัยได้ หรือถ้าอยากจะต่อ ITE ก็สามารถทำได้เช่นกัน 2.สเปเชียร(Special) พวกนี้เป็นพวกเด็กอัจฉริยะ เรียน4ปีเช่นกันแต่ไม่ต้องสอบ O'level สามารถต่อ JC ได้เลย สตรีมนี้ไม่ได้มีทุกโรงเรียนเพราะเด็กระดับนี้มีจำนวนไม่มาก 3.นอร์มอล อะแคเดมิก(Normal Academic) พวกนี้ต้องเรียน 5 ปี โดยหลังจากจบปีที่สี่แล้วต้องสอบ N'level ก่อน ถ้าผ่าน ก็สามารถเรียนต่อปีสุดท้ายแล้วไปสอบ O'level ได้ แต่ถ้าตก N'levelแล้วก็จะไม่มาสามารถเรียนต่อปีสุดท้ายได แต่สามารถเรียนต่อ Institute of Technical Education(ITE) 4.นอร์มอล เทคนิคอล(Normal Technical) พวกนี้เรียน 4 ปี ไม่สามารถเข้าสอบ O'level ได้ ฉะนั้นจึงไม่สามารถเข้า JC หรือ Poly ได้ ยิ่งเรียนต่อมหาลัยยิ่งไม่ต้องพูดถึง สรุปให้ฟังง่ายๆคือ Special ดีสุด รองลงมาก็เป็น Express แล้วจึงเป็น Normal Academic และ Normal Technical ตามลำดับ ทีนี้ย้อนกลับมาที่การยื่นคะแนน PSLE กัน หลังจากที่ต้องแข่งขันกันว่าไครจะได้เข้าโรงเรียนไหนกันแล้วยังต้องมาแข่งกันอีกว่าไครจะได้อยู่ Expressสตรีม(ขอไม่นับ special) งงไหมครับ? ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าผมได้คะแนน PSLE 199 คะแนนจากคะแนนเต็ม 300 ผมได้ยื่นคะแนนนี้ไปที่สามโรงเรียนคือ โรงเรียน A B C ปรากฏว่าไอ้โรงเรียน Aเป็นโรงเรียนระดับทอปของประเทศและพวกคู่แข่งของผมก็คะแนน 220up กันทั้งนั้น ผมจึงแห้วโรงเรียนนี้ไปโดยปริยาย พอมาดูอีกสองโรงเรียนที่เหลือคือ โรงเรียน B และ C ปรากฏว่าผมติดทั้งสองโรงเรียนโดยที่โรงเรียน B ผมได้ Express แต่ โรงเรียนC ผมดันติด Normal Academic เพราะฉะนั้นผมก็จะเลือกเข้าโรงเรียน Bเพื่อจะได้อยู่ Express เมื่อจบSecondary School School ก็จะต้องสอบ O'level(ออกโดยมหาลัยCambridge)เพื่อนำไปใช้ยื่นเข้าเรียนต่อในJunior College หรือ Polytechnic และไอ้คะแนนO'level นี่แหละที่จะเป็นตัวจัดอันดับโรงเรียนมัธยมของสิงคโปร์ ถ้าโรงเรียนไหนนักเรียนมีผล O'level ที่ดีก็จะมีอันดับต้นๆของประเทศ นอกจากประถมและมัธยมแล้วก็จะมีการเรียนระดับสูงขึ้นมาอีกก่อนที่จะไปเรียนมหาลัย พูดง่ายๆคือเป็นการเรียนระดับเตรียมอุดมโดยมีสามชนิดคือ 1.Junior College(JC) เรียนกัน2ปี พวกเด็กที่มาเรียนต่อJC แทบทั้งหมดจะเป็น เด็ก Special และ Express โดยส่วนมากเด็กที่จะต่อJCนั้นจะอยากเรียนต่อพวก หมอ หรือ ทนายความ เพราะการเรียนการสอนใน JCจะเน้นภาควิชาการเป็นหลัก หลังจากจบJCก็จะต้องสอบ A'level(ออกโดยมหาลัยCambridge)เพื่อนำคะแนนไปยื่นเพื่อเข้ามหาลัย การจัดอันดับJCก็จะดูจากคะแนน A'levelของเด็กที่จบไปของปีนั้นๆเช่นเดียวกับโรงเรียนมัธยม 2.Polytechnics(Poly) เรียนกันสามปี โดยพอจบแล้วจะได้ประกาศนียบัตร Diplomaด้วย เด็กที่เรียนต่อในPolyจะมีทั้งเด็ก Express และ Normal Academic สายอาชีพที่เลือกเรียนต่อPoly คือ บัญชี วิศวะ วิทยาศาสตร์ และศิลปะ เด็กที่จบจากPolyถ้าคะแนนสูงพอก็สามารถเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้เหมือนพวกที่จบจากJC แต่คนส่วนมากจะเลือกทำงานหลังจากที่จบจากที่นี่ 3.Institute of Technical Education(ITE) คล้ายๆสายวิชาชีพของบ้านเรา เด็กที่ไม่ติดที่ไหนเลยทั้ง JC และPolyก็จะต้องมาเรียนที่นี่ แต่ก็มีบางคนที่เลือกเรียนต่อITEทั้งๆทีคะแนนสูงพอที่จะเข้าPoly ส่วนมากเด็กเรียนITEจะมาจาก Normal Academic และ Normal Technical เพราะเด็กพวกนี้จะไม่เก่งด้านวิชาการแต่จะเก่งด้านปฏิบัติมากกว่า สรุปคือนักเรียนที่จบจากสองอันแรก ได้แก่Junior college และ Polytechnics เท่านั้นที่มีสิทธิ์เรียนต่อมหาลัย บางคนอ่านมาถึงตรงนี้จะรู้สึกว่าผมดูถูกพวกที่เรียนสตรีม Normal Academic(NA) และ Normal Technical(NT) แต่ผมขอปฏิเสธว่าผมไม่ได้ดูถูกพวกเขาเลย ที่บทความนี้มันฟังดูเป็นเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่าผมใช้ความสามารถทางวิชาการของเด็กเป็นตัวกำหนดแบ่งแยก โดยบอกแบบตรงไปตรงมา ถ้าหากว่าผมลองมองจากความสามารถด้านอื่นๆเช่น งานช่าง หรือ กีฬา เด็ก(NA)และ(NT) อาจจะเหนือกว่าเด็ก express ก็เป็นได้ ทั้งนี้หากผมได้ล่วงเกินผู้ไดไปก็ขอขมามา ณ ที่นี้ด้วยครับ ชอบมากกค๊าบบ
โดย: M IP: 180.183.80.182 วันที่: 14 มิถุนายน 2555 เวลา:22:24:44 น.
Great!!!
โดย: SCA IP: 180.180.174.222 วันที่: 25 ตุลาคม 2556 เวลา:22:35:09 น.
|
PS YerDua
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?] It's no use knowing a lot if you can't master what you know. มันแทบจะไม่มีประโยชน์เลยที่จะรู้สิ่งต่างๆมากมายถ้าสิ่งที่คุณรู้นั้นไม่ได้รู้ลึก หรือรู้จริง All Blog
Friends Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
กว่าจะนั่งพิมพ์ codeเปลี่ยนขนาดตัวอักษรเสร็จ ลมแทบจับ
ไครมีคำแนะนำที่ทำให้ผมสามารถเปลี่ยนขนาดตัวอักษรโดยไม่ต้องพิมพ์code ไหมครับ กรุณาช่วยที
ขอบคุณครับ