--------- จากท่าข้าว มาสู่ ท้องนา และ ถนนพหลโยธิน --------
--------- จากท่าข้าว มาสู่ ท้องนา และ ถนนพหลโยธิน -------- จากการซื้อขายข้าวกันตามฤดูกาล พ่อค้าผู้รับซื้อข้าว ตามท่า หรือตามโรงสี จะเป็นผู้ที่มีลูกค้าจากกรุงเทพ มาติดต่อ ซื้อไปอีกทอดหนึ่ง เนื่องจากพ่อค้าประจำถิ่นเหล่านี้มักเป็นคนจีน ที่พอมีเงินหมุนเวียนมากพอสมควร เขาจึงใช้ระบบดึงใจเกษตรกรที่ปลูกข้าวไว้ด้วยการช่วยเหลือ ให้หยิบยืมเงินไปยามที่ ขัดสนหมุนไม่ทัน เช่นเมื่อเปิดภาคเรียน หรือต้องบวชลูก เป็นต้น จึงเกิดระบบเอื้อเฟื้อเพื่อ มีเยื่อใยไมตรีเป็นสายไม่ขายข้าวให้พ่อค้า ต่างถิ่นอื่น ที่จะมาแย่งซื้อ เมื่อถึงฤดูกาล แต่ก็นั่นแหละ พ่อค้าต่างถิ่น เมื่อต้องลงทุนเดินทางมาแล้ว ก็ย่อมจะต้องให้ได้ของกลับไปไม่ขาดทุนเปล่า จึงมักสู้ราคาให้มากกว่าพ่อค้าในถิ่น จนเกษตรกร บางราย ที่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ เกรงใจ จึงสามารถขายได้อิสระ และได้ราคา ระบบจึงพัฒนาไปโดยธรรมชาติ ที่มีการทำสัญญา ผูกมัดล่วงหน้า จากการยืมเงิน ให้สินเชื่อปุ๋ย หรืออื่นๆๆ จึงเหลือ เกษตรกรอิสระไม่มากนัก พ่อค้าต่างถิ่นก็ต้องเปลี่ยนมาขอแบ่ง ข้าวจากพ่อค้าในพื้นที่จะง่ายกว่า จวบจน มีการสร้างเขื่อนเจ้าพระยา ธรรมชาติ ที่เคยเห็นตามฤดูกาล เมื่อยามแล้ง น้ำแห้ง เด็กๆๆสามารถลงไปเดินเล่น ในสันดอนทรายกลางแม่น้ำที่ เกิดขึ้นทุกปี มีคนลงไปปลูกแตงโม ขุดทรายไปขาย คันกั้นน้ำด้านหน้าบ้านขนานริมเจ้าพระยา มาจากตัวเขื่อน เพื่อให้ระดับความสูงกั้นน้ำไม่ให้ล้น เขื่อนเพื่อการกักเก็บน้ำที่ฝนตกแล้วไหลไปออกทะเลหมด เอาไว้ใช้เพื่อการเกษตร ค้นกั้นน้ำนั้นสูงถึง เกินชั้นสองของบ้าน ด้านริมนอกของคัน เนื้อที่เหลือเล็กน้อย ไม่สามารถปลูกอาคารได้ต้องรื้อ โรงยาฝื่นเก่าออก บ้านที่เป็นอาคารพานิชย์ชั้นเดียว ที่ก๋งสร้างไว้ ห้าหกห้องต้องรื้อใหม่หมด พ่อกับแม่เลย ย้ายเอาไม้มาปลูกที่ที่ดินใหม่ เนื่องจากเล็งเห็นว่า อยากทำปั้มน้ำมัน คาลเท็กซ์ ตราดาวแดงของเมกา เพราะความแค้นที่เคยมีรถบรรทุกข้าว จีเอ็มซี (น่าจะเป็นยี่ห้อรถ GM general motor เป็นรถทหารส่วนใหญ่ น่าจะเป็นรุ่นแรกๆๆที่บางครั้ง ติดเครื่องไม่ได้ต้องใช้คันหมุน ให้ติดแบบ เครื่องยันม่า เครื่องอเนกประสงค์ ที่เอามาทำรถอีแตนได้) ตอนนั้นก็เริ่มขึ้นประถม ต้น ป4 แล้ว ยังต้องอยู่โรงเรียนราษฏร์ หลังบ้านเดิม เคยเดินลัดทุ่งนาจากหลังโรงเรียน พาน้องเดินมาวันแรก ช่วงนั้นมีน้ำในทุ่งนามากแล้ว บางช่วงชาวบ้านเขาขุดร่องให้น้ำผ่านไปอีกแปลง ก็โดดข้าม แต่เนื่องจากไม่เชี่ยวชาญทุ่งนา เพราะเป็นเด็กในตลาด เท้าก็พลาด เพราะทุ่งนาคันนาเมื่อดินเปียกมันคือดินโคลนหรือดินเหนียวที่ลื่น ผลคือเดินจูงน้องร้องไห้กลับมาถึงบ้านด้วยเสื้อผ้าเปียกปอน จากนั้นก็เริ่มเป็นเด็กท้องนาจริงๆๆ เสาร์อาทิตย์ เล่นตกปลา วางตาข่าย หากบเมื่อฝนตก ไปขุดแห้วเมื่อหน้าแล้ง ไปวิดบ่อหาปลาในร่องปลูกผลไม้ท้ายที่ และเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ พอโตขึ้นพี่พี่ก็เลื่อนขั้นเข้าไปเรียนในกทม ก็หมดหน้าที่เป็นเด็กปั้ม น้องคนถัดไปก็รับหน้าที่เด็กปั้มและเฒ่าแก่ปั้ม ไปด้วยเป็นหน้าที่สืบต่อกันก่อนจะได้เข้ากทม จากการมีคันกั้นน้ำริมเจ้าพระยา ชัยนาทได้ทำคันแบบนั้นจนรอบเมืองและใช้เป็นถนนไปเลยจากปีแรกมีคนขุดเอาน้ำเข้านา แล้วไม่รู้ความน่ากลัวของน้ำ ที่มันกัดเซาะจนร่องขุดน้ำจากคัน ดินมันกว้างไว จนคันดินแตก จำได้ว่าเป็นก่อนค่ำ เสียงน้ำดังมากมาจากทางทิศเหนือ แปปเดียว ก็ข้าถนน พหลโยธิน เส้นทางที่มาจากนครสวรรค์ เพื่อมาเลี้ยวโค้งไม่เข้าตัวจังหวัดชัยนาท เพื่อไปทางตาคลี แปปเดียวน้ำถึงตามตุ่ม ไม่ถึงชั่วโมงน้ำถึงเอว พร้อมพาขอนไม้ใหญ่มาด้วย เลยจับผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ข้างบ้าน น้ำท่วม เล้่าไก่เล้าหมูและร่องสวนผลไม้ที่กำลังจะมีผลตายหมด นั้นเป็นครั้งเดียวที่เกิดหลังสร้างเขื่อนเจ้าพระยา จนปีที่แล้วที่ได้ยินว่าน้ำล้นคันแต่ป้องกันการแตกได้ -======================== จากประกาศของ กลต ที่จะเริ่มเดือนตุลาคม มี ฟิวเจอร์ ของ5 กลุ่มอุตสาหกรรม เนื่องจาก ไม่เคยได้สนใจ ดัชนีของกลุ่มดังกล่าว จึงต้องเริ่ม หาข้อมูล 1 ตัวเลขดัชนี มีความแตกต่างกันมากมายแบบนี้ กลตจะจัดการเรื่องค่ามาร์จิ้นอย่างไร แต่ละกลุ่มมีหุ้นกี่ตัว แต่ละวันตัวไหนมีอิทธิพลกับตัวเลขขึ้นลงของดัชนีเหล่านี้บ้าง สถานะการณ์อดีตและปัจจุบัน กลุ่มเหล่ามี้ได้รับผลกระทบอะไรจาก เศรษฐกิจ ขณะนี้บ้าง ลองเอากราฟ 1ปี มาเปรียบเทียบกับ กราฟ ชองเซท แบงค์ ละ พอจะเริ่ม มองเห็น ไอเดียว่า อุตสาหกรรมกลุ่มไหนตามดัชนีไทยบ้าง ในบางช่วงไม่ตามบ้าง ต่อจากนี้ ถ้าเราจะตั้งกลุ่มเก็บข้อมูลเพื่อจะเอามาใช้อ่านแต่ละกลุ่มว่า การขึ้นลง เกิดจากอิทธิพลของอะไรบ้างจะดีไหม??????
Create Date : 12 สิงหาคม 2555 |
Last Update : 12 สิงหาคม 2555 8:49:12 น. |
|
13 comments
|
Counter : 2088 Pageviews. |
|
|
|