Derivatives THAI & Overseas Trading Group //// " THAI TRADER CLUB "

 
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
16 สิงหาคม 2552
 

ทิศทาง จันทร์ ที่17 สิงหา52 ฮ่องกง ฟื้นต้วอีกประเทศ ดีมากสำหรับไทย

ข่าวฮ่องกง

Hong Kong emerges from recession
//news.bbc.co.uk/2/hi/business/8201056.stm

Exports and stock market gains boosted the economy
The economy of Hong Kong has emerged from recession, posting growth of 3.3% in the three months from April to June.

The seasonally adjusted figures were better than had been expected and the government has raised its forecast for growth in the whole year.

It followed the emergence from recession of Singapore, which grew an annualised 20.7% in the second quarter.

Hong Kong's growth was negative for four consecutive quarters, starting in the second quarter of 2008.

The growth of 3.3% compares with a revised contraction of 4.3% for the first three months of 2009.


ANALYSIS

By Vaudine England, BBC News, Hong Kong
Two things have made global financial meltdown obvious in Hong Kong: daily protests by people who bought what they thought were safe bonds but turned out to be worthless when Lehman Brothers collapsed, and the seemingly permanent sales in the malls.
The larger-than-usual number of ships moored in waters south of Hong Kong, or travelling light in and out of southern China's factory zones, has been another clue, as has the growing numbers of homeless and unemployed, some of them returning from jobs on the mainland.

But for the majority still in jobs, and without negative equity given the continued buoyancy of Hong Kong's property market, there has not been an obvious recessionary feeling.

A recent survey suggested Hong Kongers were spending - and saving - as much as usual. Hong Kong has always had an optimistic feeling about it.

The government was previously expecting the economy to contract by between 5.5% and 6.5% in the whole of 2009, and is now predicting a contraction of between 3.5% and 4.5%.

Economic growth is measured by gross domestic product (GDP).

"The GDP data was much better than we expected, partly because the exports were better and partly because of a pick-up in private consumption," said Paul Tang, chief economist at Bank of East Asia.

"Private consumption is being driven up by stock market gains and by the property sector, which started doing well."

Although there has been growth compared with the previous three months, the economy is still running below last year's levels, with a year-on-year contraction of 3.8%.

Private consumption in the second quarter rose 4% compared with the previous three months.

It was boosted by the stock market, which has rebounded 80% since early March, as well as property prices, which have risen 20% this year.

และข่าว เมกา อาจขึ้นดอกเบี้ยไวขึ้น เพราะ เศรษฐกิจจะฟื้นแบบตัววี หรือ W คือลงอีกทีแล้วขึ้นแรง
//money.impaqmsn.com/content.aspx?id=18021&ch=227

ดอกเบี้ยสหรัฐมีสิทธิขึ้นเร็วกว่าคาด
หลายฝ่ายมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และเป็นแบบตัว V หลังการประกาศตัวเลขว่างงานนอกภาคเกษตร

หลังการประกาศตัวเลขว่างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานในสหรัฐปรับตัวลดลง ดูเหมือนจะทำให้หลายๆ อย่างกำลังเปลี่ยนไป เช่น การพยากรณ์เศรษฐกิจสหรัฐทิศทางตลาดหุ้น ค่าเงินดอลลาร์ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากประเด็นดังกล่าวหลายฝ่ายไปมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และเป็นแบบตัว V ซึ่งประเด็นตัว V หรือ W เอาไว้ค่อยดูกันต่อแต่ในช่วงนี้ข่าวที่กำลังมาแรงมากคือ การที่ตลาดดอกเบี้ยล่วงหน้าหรือ Fed Fund Future กำลังไปรับข่าวว่าดอกเบี้ย Fed Fund ของสหรัฐจะปรับขึ้นในเดือน พ.ย. หรือ ธ.ค.2552 นี้ ถึง 100% บางกระแสก็บอกว่าอาจเร็วกว่านี้ โดยตลาด Fed Fund Future รับข่าวว่าดอกเบี้ยระยะสั้นจะค่อยๆ ปรับขึ้นไปถึง 1% ในเดือน พ.ค.2553 และเป็น 1.5% ใน ส.ค. 2553 จากระดับปัจจุบันที่ 0.25%

นอกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ (โดยเฉพาะการว่างงานที่ลดลง) แล้ว สัญญาณที่ใช้ดูกันทั่วไปถึงโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นก็คือ อัตราผลตอบแทนจาก Treasury Note 2 ปี ที่ปัจจุบันขึ้นมาที่ 1.31% โดยดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นมาอย่างสูงดังกล่าวบ่งชี้ถึงกำลังมีเงินไหลออกจากการลงทุนที่ปลอดภัยอย่าง Note 2 ปี หรือพูดง่ายๆ ว่า ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐได้คลายความวิตกจนนักลงทุนเริ่มหันไปฝากหรือลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น สำหรับเกณฑ์ที่นักลงทุนดูว่า ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐจะปรับขึ้นก็มาจากการดูส่วนต่างของดอกเบี้ยทั้ง 2 คือ หาก Treasury Note 2 ปีห่างกับ Fed Fund rate ประมาณ 1% (ดูจากรูป) ตลาดจะตีความว่าทิศทางดอกเบี้ยระยะของสหรัฐจะปรับตัวขึ้นในไม่ช้าตรงนี้ก็จะเริ่มไปส่งผลต่อทิศทางค่าเงินดอลลาร์ที่จะหมุนกลับ คือ จะแข็งตัวขึ้นไปอีกระยะหนึ่ง (จากเดิมที่คาดว่าจะอ่อนตัว) จากการไหลกลับของเม็ดเงิน และการเก็งกำไร จากผลตอบแทนจากการถือสกุลเงินดอลลาร์ที่สูงขึ้นโดยเปรียบเทียบ

การเริ่มมีสัญญาณว่าดอกเบี้ยสหรัฐจะปรับตัวขึ้น ซึ่งจะบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว ดังนั้นการใช้นโยบายการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบหรือ Quantitative easing (QE) ที่ผ่านมา อาจจะมีการหยุดทำหรือ Exit strategy ตรงนี้เป็นไปได้สูงมากที่จะกระทบกับสภาพคล่องในตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมาเม็ดเงินที่เข้าไปหล่อเลี้ยงระบบและตลาดหุ้นมาจากการใช้นโยบายดังกล่าว สมมติว่ามีการหยุดใช้ เชื่อได้ว่าสภาพคล่องที่เคยหล่อเลี้ยงตลาดหุ้นจะหดหายไปมากในทางกลับกันในแง่เชิงกลยุทธ์การลงทุน เมื่อสหรัฐ และเอเชียเริ่มดีขึ้น ทั้งสภาพเศรษฐกิจ และดัชนีตลาดหุ้น ขณะที่ฝั่งยุโรป ดูเหมือนว่าการฟื้นตัวจะยังช้ากว่าที่อื่น ประกอบกับดัชนีตลาดหุ้นยังไม่ไปไหนได้ไกล เป็นไปได้ที่เม็ดเงิน หรือการแนะนำการลงทุนในรอบนี้อาจมุ่งไปที่ประเทศในยุโรป โดยเฉพาะยุโรปตะวันออกหรือตลาดเกิดใหม่ในยุโรป

เมื่อกลับไปดูตลาดหุ้นฝั่งฮ่องกง และจีนที่ร้อนแรงกว่าสหรัฐ และยิ่งมีความเสี่ยงในแง่ของ 1.การปรับตัวขึ้นแรงของดัชนีตลาดหุ้นจน Earning ทำไม่ทัน 2.ความเสี่ยงของการออกนโยบายเบรกความร้อนแรงของเศรษฐกิจ อย่างอสังหาริมทรัพย์ 3.การชะลอตัวของการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากที่ผ่านมาทางการจีนเตรียมนโยบายสำรองไปแล้ว คือ การเก็บสต็อกสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญไว้อย่างมาก และไม่จำเป็นต้องนำเข้ารอบใหม่ อย่างน้ำมัน ถ่านหิน และ เหล็ก 4.อัตราการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในจีนเดือน ก.ค. ปรับตัวลงถึง 77% เทียบ มิ.ย. (ดูจากรูปด้านซ้าย)

ดังนั้นหากอัตราการขยายตัวของสินเชื่อชะลอตัวลงต่อในครึ่งปีหลัง ก็น่าจะเริ่มส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นในจีน ส่วนฝั่งของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างราคาน้ำมันดิบ และอื่นๆ อย่างที่เคยนำเสนอไปแล้วว่าระยะหลังการแกว่งตัวของราคาน้ำมันดิบเกิดจากปัจจัย 4 ประกาศ คือ 1.ราคาน้ำมันล่วงหน้า 2.ดัชนีตลาดหุ้น S&P 500 3.ปริมาณสำรองน้ำมันในสหรัฐ และ 4.ปริมาณการซื้อของกลุ่ม (Non Commercial Long Position) จาก 4 ข้อที่กล่าวมาปรากฏว่าราคาน้ำมันดิบจะวิ่งตามดัชนีตลาดหุ้น S&P 500 มากที่สุด หากดัชนี S&P 500 ถึงคราวที่ต้องปรับฐานแล้วราคาน้ำมันดิบคงจะขึ้นไปสูงกว่านี้ได้ยาก

และกราฟ หุ้นไทย ยังคงสัญญาณดีอยู่ ถ้าจันทร์เปิดมา หั่งเซ่ง ไม่แดงมากมาย และบ่ายโมงตรง ยื่นฏีกาเสร็จ เรียบร้อย ตลาดไทยบ่ายอาจจะสวย
จากข่าวหลายๆๆด้านไปทางทิศทางดี แม้แต่หุ้นไทยบางตัวกำไรดีจ่ายปันผลได้



เมกา มีสัญญาณ ขายแต่ ในสงครามข่าว ความอยากขาย คงน้อย



หั่งเซ่งมีสัญญาณ ขายมา 3วัน แล้วเพราะเซี่ยงไฮ้ เราจึงไม่ตกใจเท่าไร






Create Date : 16 สิงหาคม 2552
Last Update : 16 สิงหาคม 2552 9:29:32 น. 2 comments
Counter : 1078 Pageviews.  
 
 
 
 
ขอบคุณครับ
 
 

โดย: Jee IP: 10.0.100.110, 118.173.242.244 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:9:21:14 น.  

 
 
 
มีกำลังใจครับ ถ้ามี ฟีดแบ๊ค มาบ้าง

ตัวนับที่นี่เสียด้วย เลยไม่รู้ใครอ่านกี่คน
 
 

โดย: หมอสัจจะ วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:5:28:16 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

หมอสัจจะ
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 185 คน [?]




[Add หมอสัจจะ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com