จุดประกายสีสันใหม่ให้ชีวิต
การก้าวสู่อรุณใหม่ของแต่ละปี ถ้าหากได้มีโอกาสหยุดพักสักช่วงหนึ่งของชีวิตเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติของสรรพสิ่ง ในสถานที่ที่เหมาะสม จิตใจก็จะสงบนิ่งนำมาซึ่งความสุขสบายใจในลักษณะของปุถุชนทั่วๆ ไปที่พึงจะสรรหาได้ ซึ่งคงไม่ล่องลอยไปไกลมากๆ แบบทำวิปัสสนาสมาธิ ผู้เขียนเรียกแบบเราๆ ท่านๆ ของสภาวะจิตในลักษณะนี้ว่า จิตสว่าง ผู้เขียนได้มีโอกาสที่ดีในการได้เดินทางไปพักผ่อนที่เกาะสมุย ซึ่งบางส่วนได้รับความเอื้ออนุเคราะห์จากกัลยาณมิตรที่ร่วมชั้นเรียนปริญญาเอกกการจัดการธุรกิจด้วยกันคือ คุณกฤตย์ พัตรปาล กรรมการผู้จัดการบริษัท P.K. Exhibition Management การไปเกาะสมุยเที่ยวนี้ต้องบอกว่าแตกต่างจากครั้งแรกที่ได้มาเยือนเมื่อเกือบ 20 ปี และก็เป็นการไปพักที่เกาะสมุยในลักษณะโมบายคือ อยู่หลายๆ ที่ด้วยกันโดยเริ่มที่โรแงรม Central Samui Village ณ สุดปลายแหลมเส็ด และที่กลางๆ เกาะแถวชายหาดเฉวงน้อย โรงแรม Coral Cove Chalet ไปสู่จุดสุดท้ายเหนือเกาะแถบอ่าวเชิงมน ณ โรงแรม Samui Peninsula Spa & Resort ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่และความแตกต่างของพื้นที่แห่งความเจริญของเกาะสมุยที่แตกต่างกันพอสมควร
ขณะที่ผู้เขียนพักอยู่ที่สมุย คือภาษาการตลาดท่องเที่ยวจะเรียกว่า Samui Destination ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดูจะเหมาะสมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเสียมากกว่า (จริงๆ ร้อยละ 80 เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศอยู่แล้ว) ส่วนคนไทยคงจะเหมาะแค่มาพัก 1-3 คืนเพราะไม่ว่าจะเป็นสนนราคาที่พัก พาหนะ อาหารการกิน รสชาติอาหาร รวมทั้งบรรดาค่าครองชีพทั้งหมดเป็นราคาต่างประเทศ ถ้าคนไทยมาประเดี๋ยวประด๋าวแหละเหมาะที่สุด ซึ่งถ้าอยากจะดูสีสันของวิถีชีวิต คนสมุยก็มีเหลือน้อยเต็มทีพอๆ กับจำนวนต้นมะพร้าวที่ร่อยหรอลงที่เหลืออยู่ 1.6 ล้านต้น และอาจจะไม่รอดก็ได้เนื่องจากถูกแมลงดำหนามทำลายเสียครึ่งต่อครึ่งจากพื้นที่ต้นมะพร้าว 80,000 ไร่ แต่หากเป็นผู้ที่สนใจลงทุนที่เกาะสมุยต้องบอกว่าจะเหมาะกับบรรดากลุ่มระดับไทคูนใหม่หรือนักพัฒนาที่ดินประเภทมือหนา (เงินถุงเงินถัง) เพราะราคาที่ดินแถบเฉวง-เชิงมน นี่ตกราคาไร่ละ 40 ล้านเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังเห็นมีนักลงทุนจากกรุงเทพมาซื้อภูเขาได้ทั้งลูกมีพื้นที่เป็น 100 ไร่หรือซื้อโรงแรมหรูสำหรับตระกูลได้ อย่างนี้สิครับถึงจะเรียกว่า รวยจริง ความสงบในใจกับคลื่นธรรมชาติ
ถ้าจะพูดถึงบรรดาเกาะต่าง ๆ ในประเทศไทย ผู้เขียนไปมาเกือบทั่วมีที่ประทับใจไม่มากนัก เกาะสมุยมีอะไรที่น่าสนใจมากในอดีต ปัจจุบันไม่ได้ขายวัฒนธรรมไทยตามที่เราเข้าใจกัน อนาคตคงจะไม่แน่นักอาจจะบูมหรือไม่บูมก็ได้ เพราะทั้งเกาะดูจะเป็นวัฒนธรรมฝรั่งเกือบหมด ซึ่งจะดูได้จากร้านขายของ กิจการต่างๆ มีฝรั่งเป็นเจ้าของเสียมาก ขณะที่บ้านบนเขาฝรั่งก็มาซื้ออยู่กันทั่วทั้งเกาะครับ! แต่ถ้าจะขายวัฒนธรรมไทยให้ฝรั่งไม่มีแล้วครับเลยไม่แน่ใจว่าอนาคตฝรั่งยังจะมาอีกไหม ผู้เขียนนึกถึงตอนที่อยู่ท่าเรือ Pier 39 อ่าวซานฟรานซิสโก ได้นั่งเรือออกไปดูสะพานโกลเด็นเกทจ่ายคนละ 20US$ ตอนออกจากท่าเรือจะมีโอกาสได้ดูและถ่ายรูปแมวน้ำมานอนอาบแดดบนแพใกล้ๆ กับท่าเรือ และในระหว่างแล่นเรือออกไปจะมีนกนางนวลตามมากินถั่วบนมือหรือดูนกนางนวลบินตามเรือ กับอีกช่วงหนึ่งที่แล่นผ่านคุกอัลคาทราซแล้วจึงไปถึงสะพานโกลเด็นเกท ถ่ายรูปกันขนานใหญ่ หลังจากนั้นก็แล่นเรือกลับ คณะของผู้เขียนที่ไปด้วยยังคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจนัก แต่ฝรั่งเขาขายได้ ซึ่งเขาขายเรื่องราว (Story) หรือธีม (Theme)
กลับมาที่สมุยโดยเฉพาะตอนที่ผู้เขียนพักอยู่ที่โรงแรมสมุยเพนนิซูลา สปาแอนด์รีสอร์ท ได้นั่งอยู่ชายหาดโอบล้อมด้วยเกลียวคลื่นที่ถาโถมเข้ามาระหว่างช่องว่างของเกาะเล็กๆ กับชายหาดของโรงแรม ทำให้ได้ซึมซับความรู้สึกที่ดีหลายๆ อย่าง - เป็นความงดงามที่หาดูได้ยากเพราะธรรมชาติของคลื่นที่ซัดเข้ามาอย่างต่อเนื่องและเป็นไปอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย แต่ได้แต่งเติมสีสันให้กับชีวิตได้เป็นอย่างดี มีความสงบจนรับรู้ได้ถึงสัมผัสของสายลมที่พัดผ่านและนำมาซึ่งความชุ่มชื่นของละอองคลื่นแทรกเข้าไปสู่จิตใจได้อย่างน่าอัศจรรย์ - วันเวลาของสมุยที่งดงามเหล่านี้คงจะดำรงอยู่ได้อีกไม่นานนัก เพราะความไม่พอเพียงของมนุษย์ที่ยึดติดอยู่กับวัฒนธรรมใหม่ด้านเงินตราจนกระทั่งหลงลืมถึงวัฒนธรรมอันดีงามแบบไทยๆ ที่อบอุ่นเป็นพี่น้อง ทำมาหากินกันอย่างพอเพียง - โรงแรมที่ผู้เขียนพักแห่งนี้เท่าที่สอบถามเป็นโรงแรมสร้างใหม่ มีลักษณะน่าสนใจของการออกแบบอยู่บนเขา ห้องพักแต่ละห้องจะอยู่เป็นหลังๆ พร้อมบริเวณของแต่ละหลังไม่เกี่ยวข้องกันประมาณ 9 ห้อง เป็นบ้านพักแบบทรงไทย ส่วนกลางของโรงแรม สถาปนิกออกแบบให้เป็นเหมือนตำหนักของขุนนางแต่ละหลัง ทั้งรูปทรงและทางเข้าดูจะไม่ผิดเพี้ยนไปได้เลย ขณะที่สระน้ำดูทันสมัยให้มองออกไปสุดขอบสระแล้วเห็นวิวที่สวนงามตกไปตามแนวคลื่นของชายหาดพอดี หากโรงแรมเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดคงจะมีอะไรที่น่าชมและงดงามกว่านี้ ชีวิตใหม่ของธุรกิจ เมื่อจิตใจสุกสว่างแล้วผู้เขียนคิดว่าในปี 2550 นี้ แม้ว่า คลื่นลมทางการเมืองจะยังไม่สงบดีนัก เศรษฐกิจ อาจจะลุ่มๆ ดอน ๆ แต่ธุรกิจก็ควรไม่ท้อ และคิดต่อสู้โดยการะคิดหรือวางแนวทางให้ธุรกิจหมุนไปสู่ขั้นต่อไปให้เหมาะสม หรือมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าเดิมได้อย่างไร ผู้เขียนอยากจะให้ธุรกิจได้ลองศึกษาอย่างจริงๆ จังๆ ในแนวคิดของบริษัทที่ ดีสู่บริษัทที่ดีที่สุด (Good to Great; Collins: 2001) ที่อธิบายถึง ล้อเฟือง (Fly Wheel) ที่ผ่านการสั่งสมและก้าวกระโดดไปสู่บริษัทที่ดีที่สุด ซึ่งบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ดีที่สุดนี้จะมีสิ่งสำคัญโดยหลักๆ (แบบย่อ) อยู่ 2-3 ประการ เช่น
เรื่องของวินัยคือ คนที่มีวินัย (ผู้นำระดับ 5) คิดอย่างมีวินัย (ความคิดแบบตัวเม่น) และการทำอย่างมีวินัย (วัฒนธรรมแห่งความมีวินัย) - ผู้นำระดับ 5 คือ สุดยอดของผู้บริหารที่มีบุคลิกส่วนตัวที่อ่อนน้อมถ่อมตนและความมุ่งมั่นสร้างผลงานที่ดีเลิศแบบมืออาชีพ -ความคิดแบบตัวเม่น จะประกอบด้วยการหาสิ่งที่ทำให้รู้สึกรักในงานที่ทำอยู่ สิ่งที่ทำนั้นทำให้ได้ดีที่สุดในโลกและรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในกิจการของเรา - สำหรับวัฒนธรรมแห่งความมีวินัย จะประกอบด้วย คนที่มีวินัย คิดเป็นระบบและการปฏิบัติที่มีแนวทางที่ชัดเจน สิ่งนี้คือ ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่แท้จริงของธุรกิจหรือองค์กร ครับ! เมื่อจิตสว่างก็มาสร้างชีวิตใหม่ให้ธุรกิจก้าวต่อไปตามล้อเฟืองของธุรกิจที่จะนำธุรกิจของทุกๆ ท่านผ่านการสั่งสมและก้าวกระโดดไปสู่บริษัทที่ดีที่สุด
ดร.ดนัย เทียนพุฒ Dr.Danai Thieanphut DNT Consultants
Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2552 15:52:59 น. |
Counter : 2377 Pageviews. |
|
|
|