Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
23 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
สืบเนื่องจากเพลง "ราตรีสวัสดิ์" ของฟักกลิ้งฮีโร่ ภาคสอง ว่าด้วยเรื่อง ปัญหาเกี่ยวเนื่องจากชาตินิยม

จากกระทู้เพลงราตรีสวัสดิ์ตอนนี้ฮอตมาก มีราวสามร้อยกว่าข้อความแล้ว

//www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C8326825/C8326825.html

ผมสัญญาไว้ในกระทู้ว่าจะโพสต์เรื่องปัญหาจากชาิตินิยมให้ได้อ่านกัน ผมเลยขอเอารีพลายนั้นมาแปะไว้ที่นี่ด้วย

ใครคิดเห็นอย่างไร โปรดแสดง



----------------------------




ได้รับข้อความจากทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์ถามไถ่ว่าเมื่อไหร่จะโพสต์เรื่องชาตินิยมให้อ่านกัน สงสัยคงคิดว่าผมจะเบี้ยวเป็นแน่แท้

คุณ เคยสงสัยกันไหมครับว่า ทำไมเราถึงต้องรักชาิติของเราด้วย เราไม่รักได้ไหม ถ้าเราไ่ม่รักแล้วเราจะกลายเป็นคนทรยศหรือเปล่า ผมว่าคำถามแบบนี้ไ่ม่ค่อยปรากฎขึ้นมาในสมองของเราเท่าใดนัก

ปกติแล้ว มนุษย์จะมีความรักในถิ่น ในพวกพ้อง เมื่อเราอยู่ร่วมใช้ชีวิตกันมาเป็นเวลานาน เราย่อมผูกพันกับเขตที่เราอยู่อาศัย ผูกพันก้ับคนที่อยู่รอบข้่างใช้ชีวิตร่วมกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสายใยทางสังคมที่เชื่อมโยงกันอยู่แบบมองไม่เห็น

สาย ใยสังคมมีหลายรูปแบบ ผมขอยกอันที่น่าสนใจและคนไม่ค่อยใคร่พูดถึงมาเล่าสู่กันฟังละกัน คนในชุมชนสามารถเชื่อมโยงเป็นคนท้องถิ่นเดียวกันได้ ด้วยตำนานพื้นบ้านต่าง ๆ ตำนานเหล่านี้เป็นคำอธิบายง่าย ๆ ที่เชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่ออธิบายความเป็นมาของชุมชน ตำนานเหล่านี้ปรากฎในทุกชุมชนประเทศไทย เป็นประวัติศาสตร์ชุมชนที่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น คนเชียงใหม่ในเขตหางดง แม่เหียะ จะผูกพันกับตำนานผีปู่แสะย่าแสะ ตำนานพี่ปู่แสะย่าแสะทำให้คนในแม่เหียะ มีกิจกรรมทำร่วมกัน นำมาสู่ความรู้สึกความเป็นพวกพ้องกัน

สายใยสังคมยิ่งขยายระดับใหญ่ เส้นใยยิ่งเปราะบาง เรารู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยผูกพันกับคนที่อยู่จังหวัดเดียวกัน เมื่อเทียบกับระดับหมู่บ้าน เราไม่รู้จักใครเลยที่อยู่ปัตตานี เราไม่มีความผูกพันอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่ออยู่ประเทศเดียวกันแล้ว รัฐมีเครื่องมือสำคัญในการสร้างอุดมการณ์ให้คนในประเทศรู้สึกเป็นพวกพ้อง เดียวกันได้ แม้ว่าจะอยู่ห่างกันเป็นพัน ๆ กิโลเมตรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นเราเรียกว่า "ประวัติศาสตร์"

ประวัติศาสตร์เป็นองค์ ความรู้ที่ทำให้เราเห็นความเป็นมาของชุมชน หากเป็นระดับรัฐชาติ ความรู้นี้ทำให้เราเห็นพัฒนาการของประเทศ หากเป็นชุดคำอธิบายสมัยก่อน คนไทยก็มาจากเทือกเขาอันไต เรื่อยลงมาจนปักหลักที่สุโขทัย เกิดสงครามกับอยุธยา เรื่อยมาจนกรุงแตกครั้งที่สอง ก่อเกิดธนบุรีและรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน

คำอธิบายประวัติศาสตร์ของ รัฐไทยแบบที่เรารู้ เริ่มต้นขึ้นฮอตฮิตในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อต้องการปรับเปลี่ยนประเทศให้ศิิวิไลซ์ ประวัติศาสตร์ไทยใช้โครงร่างของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแกนหลักในการเล่า เรื่อง (ไม่น่าแปลกใจเพราะลักษณะการอธิบายประวัติศาสตร์แบบนี้ได้ชื่อว่าเป็นลักษณะ ของสำนักดำรงราชานุภาพ ซึ่งกรมดำรงพระองค์ก็เป็นเจ้า) เน้นความสำคัญของประวัติศาสตร์ที่เริ่มจากศูนย์กลาง อันคือกรุงเทพฯ ส่วนริมขอบเขตแคว้นต่าง ๆ มีหน้าที่เป็นเพียงเมืองประเทศราช ให้ยึดถือประวัติศาสตร์เดียวกับกรุงเทพฯ

ความคิดทางประวัติศาสตร์ ที่มาจากศูนย์กลางค่อย ๆ หลอมละลายความคิดดั่งเดิมของคนในพื้นที่อื่น ๆ โดยให้ละประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไปเป็นสิ่งที่มีความสำคัญรองลงมาจากประวัติ ศาสตร์ชาติ โดยสร้างไปพร้อม ๆ กับมายาคติที่ว่า ประวัติศาสตร์นั้นเป็นเรื่องจริงแท้ร้อยเปอร์เซนต์ เวลาผ่านไปคนก็รู้สึกคล้อยตามสิ่งที่รู้มาจากส่วนกลาง เริ่มมีเส้นสัมพันธ์เชื่อมโยงกับคนในส่วนกลางมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอาจจะไม่เคยได้ไปกรุงเทพฯ เลยแม้ครั้งเดียว

หากมองจริง ๆ แล้วอยุธยาและกรุงเทพฯ ไม่สามารถยืนอยู่ได้บนลำแข้่งตัวเอง แต่ต้องเชื่อมโยงกับรัฐแบบสมัยอดีต การกล่าวประวัติศาสตร์แบบกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางโดยลืมกล่าวถึงประวัติศาสตร์ ของชุมชนรอบข้าง มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

นอกจากนั้น ไม้ตายเด็ดที่ใช้ควบคู่ไปพร้อมกับประวัติศาสตร์ด้วยอย่างได้ผลชงัด คือ "ศัตรู" คนสองคนเคยเกลียดหน้ากันอย่างไร พอมีศัตรูคนเดียวกันแล้วก็รักกันแทบจะจูบกันได้ไม่รังเกียจ

พม่า ถูกเลือกใ้ห้เป็นศัตรูอันดับหนึ่งของคนไทย เพลงปลุกใจสมัยก่อนยังเคยเขียนเนื้อร้องว่า "เดี๋ยวนี้สิเป็นเมืองเก่า คนไทยแสนเศร้าถูกพม่ารุกราน" ก่อนที่ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นคำว่าข้าศึกแทน ภาพของพม่าในสายตาคนไทยผ่านหนังสือเรียน เป็นพวกโหดร้าย ยกพวกมาตีเมืองไทยสองหน ที่สำคัญยังเผาวัด เจดีย์ เอาทองคำกลับไปมากมาย

คน ไทยถูกปลูกฝังด้วยภาพแบบนี้จนยึดติดอยู่ในมายาคติ คือ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ่และเชื่อมันโดยไม่มีเหตุผล เราเชื่อว่าคนพม่าพวกนี้เลวโดยธรรมชาติ ชอบมารุกรานเมืองไทย (แต่พระนเรศวรกลับเรียกว่าการกู้อิสรภาพ) แถมยังไร้จริยธรรมเผาได้แม้กระทั่งวัดเพื่อเอาทอง หลายคนบอกว่าเจดีย์ชเวดากองก็ทองเมืองไทยทั้งนั้น (แต่เอกสารหลายชิ้นบอกไว้ว่า สมัยนั้นคนไทยเองก็เผาเอาทองเหมือนกัน)

ประวัติ ศาสตร์และความคิดที่เห็นคนอื่นเป็นศัตรูนี้ค่อย ๆ หลอมรวมในคนในชาติมีอุดมการณ์ไปในทางเดียวกัน ซึงคุณต้องเข้าใจก่อนว่า รัฐชาติมิได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์คิดค้นขึ้น ดังนั้นเท่ากับ คุณที่คุณรัก ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ ก็มิได้เป็นสิ่งที่ติดตัวคุณมาแต่เกิด แต่เป็นการใ่ส่อุดมการณ์เข้ามาในระบบคิดของประชาชน จนสั่งสอนกันมาเรื่อย ๆ ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องที่ 'ต้อง' เป็น

ความรักชาิติพัฒนาสู่ชาติ นิยม ปัจจัยสำคัญคือ คุณต้องเห็นชาติของตนเองสูงส่งกว่าชาิติอื่น ดีกว่าชาติอื่น (มีนัยยะดูถูกปนอยู่) อย่างฮิตเลอร์ เขาก็เชื่อว่า พวกเขาเป็ฯอารยันที่สูงส่ง ไม่เหมือนพวกยิวที่ต่ำต้อยน่ารังเกียจ (หนังเรื่องล่าสุดของเควนติน ทาแรนติโนเรื่อง Inglorious Basterds ก็มีอยู่ฉากหนึ่งที่มีการเปรียบเทียบระหว่างยิวกับเยอรมันว่า เป็น หนูกับเหยี่ยว) หรืออย่างคนไทย เราก็รู้จักว่าเราเจริญกว่าคนพม่า ลาว เขมร โดยบางทีเราก็ดูถูกประเทศอื่นโดยไม่รู้ตัวอย่างไม่ตั้งใจ เช่น ด่าคนที่ไม่ทันสมัยว่า "ลาวว่ะ" เป็นต้น

ความคิดแบบชาตินิยมมีปัญหา คือทำให้เราคิดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางและมองคนอื่นในฐานะที่ต่ำต้อยกว่า (หลายครั้งมองต่ำว่าเป็นสัตว์ ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่าการลดค่าความเป็นมนุษย์) อย่างปัญหากรณีเขาพระวิหารที่ฮึม ๆ กันอยู่โดยฝ่ายพันธมิตรฯ นั่นก็เป็นผลพวงของการโดยชาิตินิยมครอบงำ มองว่ากัมพูชานั้นเป็นศัตรู ซึ่งต่างจากคนที่ภูิมิซรอลตั้งแต่เกิดที่เขามองว่าพรมแดนของรัฐมันไม่มีจริง การข้ามไปมาเป็นเรื่องที่เป็นปกติ ทางไหนก็เป็นญาติ นี่คือระบบคิดที่ต่างกัน

นอกจากประวัติศาสตร์แล้ว สิ่งที่ผลิตซ้ำตอกย้ำความหมายชาตินิยมก็คือ สื่อ หลายครั้งสื่อก็ไม่รู้ตัวเองเพราะคนทำก็ยังไม่หลุดบ่วงเหมือนกัน เช่น การพาดหัวข่าวว่า พม่าเลวปาดคอนายจ้าง ไทยใหญ่ทมิฬฆ่านับสิบศพ ฯลฯ จะเป็นว่า คำว่า เลว และ ทมิฬ เป็นคำที่แสดงความคิดเห็น ไม่ควรใส่เข้ามา แต่ก็ใส่ อ่านแวบแรกจะคิดว่า คนพวกนี้เลวจริง ๆ เลี้ยงเสียข้าวสุก อุตส่าห์มาอยู่ในพระบรมโพธิ์สมภาร (ถ้าคุณเป็นรอยัลสิสท์อาจจะมองแบบนี้) แต่ถ้ามองลงลึกไปจะเกิดคำถามว่า แล้วคนไทยไม่เคยทำเลวแบบนี้หรือ แล้วความดีความชั่วนี่เป็นเรื่องที่กำหนดด้วยเชื้อชาติ สัญชาติ หรืออย่างไร

ความ รักในชาตินั้นเป็นสิ่งที่ดี ทำให้คนมีสามัคคี ชาติก็พัฒนาไปไกล แต่หากพัฒนาไปเป็นขั้นสุดโต่ง เป็นชาตินิยมที่มองไม่เห็นหัวคนอื่น อันนี้แหละปัญหาใหญ่เลย และจะเป็นอุปสรรคทำให้อาเซียนไม่เจริญ อย่าไปหวังเลยว่าจะรวมกันได้แบบอียูโดยไม่มีปัญหา

ฝากไว้เพียงเท่านี้ ใครใคร่อภิปราย ขอเชิญ


Create Date : 23 กันยายน 2552
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2552 10:08:30 น. 34 comments
Counter : 1001 Pageviews.

 
ในที่สุด เพื่อนดองก็เขียนแล้ว
เดี๋ยวลอกไปทำ assignment ดีกว่า ฮะๆๆ

ปล. อ่านกระทู้ที่แกส่งมาให้แล้วเหนื่อยใจจริงๆ


โดย: Robin IP: 139.222.239.176 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:16:02:31 น.  

 
น้องโต้ง 44 เ้ร่งมาอ่ะ ว่าให้พี่ดองเขียนได้แล้ว

แฟนคลับเยอะ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:16:20:35 น.  

 
ดอง อธิบายได้สมกับเป็นอาจารย์มาก
หมายถึงในกระทู้ด้วยนะ

เมื่อไหร่คนจะเข้าใจเนอะว่า มันเป็นวาทกรรม
เจ้าความรักชาติเนี่ยะ


โดย: grappa วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:22:27:41 น.  

 
A+++++++++++++


ป.ล. ดังเพราะงานนี้แหละ 55


โดย: merveillesxx วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:22:59:16 น.  

 
โพสต์เืรื่องเครียดนี่ไม่มีใครเข้ามาอ่านเลยแฮะ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:14:39:56 น.  

 
อ่านอยู่ครับท่าน แต่ยังไม่รู้ว่าจะตอบอะไร
ส่วนตัวเห็นด้วยกับท่านหลาย ๆ ประการ
ผมทดท้อกับสังคมนี้ที่ไม่ค่อยยอมรับความแตกต่างเอาเสียเลย ย้อนกลับไปตอนที่เรียนปีหนึ่ง วิชารัฐศาสตร์ อาจารย์มักย้ำคำฝรั่งที่ว่า เมจอริตี้รูไมนอริตี้ ไรท์ ให้รับฟังและยอมรับความเห็นของเสียงข้างน้อยด้วย
แต่พอมีเสียงข้างน้อยออกมามักโดนเหยียบไม่เหลือ

ขอให้มีความสุขในการร้องเพลงชาติ หกโมงเย็นต่อไป


โดย: slowboy IP: 112.142.122.105 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:16:48:27 น.  

 
เห็นด้วยมากๆครับ

ตอนมัธยม อ่านประวัติศาสตร์ ผมยังคิดเลยว่า นี่มันไม่เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นธรรมสักนิด

เพราะเขียนให้พม่าดูเลวร้ายอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ไทยก็เคยทำเช่นเดียวกัน


ส่วนเรื่องความผูกพันกับสังคม ในระดับที่แคบ และ กว้าง ก็คิดเห็นเหมือนคุณครับ




ความเป็น "ชาตินิยม" อาจก่อให้เกิดประโยชน์ในแง่ความสามัคคีของคนในชาติ แต่ถ้าเกินไป จนก่อเกิดปัญหา ประเภทใครเห็นต่างแล้วยอมไม่ได้ นี่ก็ไม่ไหว



กรณีที่เห็นได้บ่อยๆ ในห้อง “เฉลิมไทย” ก็คือ กรณี การไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี แล้วจะมีหลายความเห็น มีแนวคิดประณามการกระทำนี้ ว่า “ไม่รักชาติ” ทั้งที่จริงแล้ว การที่ใครคนหนึ่งจะเคารพ และเทิดทูนใครนั้นเป็น สิทธิเสรีภาพอันพึงกระทำของเขา หากไม่ได้ทำผิดกฎหมาย หรือ สร้างความเดือดร้อนให้ใคร


ไม่แน่คนที่ไม่ยืนเขาอาจสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ หรือ เป็นคนดีของสังคม มากกว่าคนที่ยืนแสดงความเคารพ

โดยที่คนเหล่านั้นคิดเพียงแค่ว่า นี่คือสิ่งที่ “ต้องทำ” และเป็นความถูกต้อง ใครไม่ทำถือว่าผิด โดยไม่ได้คิดพิจารณาโดยใช้เหตุผลก่อนที่จะตัดสินใครบางคน กลับตัดสินด้วยความมักง่าย โดยใช้อารมณ์ และมักจะอ้างว่า อย่าใช้ "สมอง" ให้ใช้ "ใจ" ตัดสิน


ซึ่งกรณีนี้แสดงให้เห็นว่าค่านิยมทั้งหลาย ที่ถูกปลูกฝังผ่าการศึกษาภาคบังคับ และค่านิยมของสังคมได้ผลขนาดไหน


โดย: navagan วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:17:57:06 น.  

 
ในกรณีของ กระทู้ที่ คุณแนะนำมาผมได้ไปอ่านแล้วครับ


ซึ่งผมได้ยินเพลงนี้มานานแล้ว ก็ไม่ได้อคติอะไร เพียงแต่เพลงนี้ มองปัญหาภาคใต้แบบ "ผิวเผิน"

แถมเป็นเพลงที่ใจความลึกๆแล้ว สนับสนุนการแบ่งแยก ด้วยการมอง กลุ่มผู้ก่อการเป็นศัตรูอย่างตรงไปตรงมา และไม่ใช่พวกเดียวกับเรา
(ซึ่ง กรณีนี้ก็น่าสนใจว่า ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกับเราแล้วเราจะดีด้วยไม่ได้หรือ)

ซึ่งเพลงนี้คงจะถูกใจประชานชนกลุ่มใหญ่ ที่มีความเป็น “ชาตินิยม” (โดยที่บางคนไม่รู้ตัว) อยู่สูง



ซึ่งก็ ไม่ผิด นะครับ ที่ศิลปินจะเลือกข้าง หรือ แสดงความคิดเห็น ผมถือว่าเป็นสิทธิเสรีภาพ

เช่นเดียวกับคนที่ชอบเพลงนี้ ก็เป็นสิทธิของเขาเช่นกัน

(ถ้ามองกันอย่างเป็นธรรม เปรียบเทียบกับกีฬาที่ว่า มีทีมบอลอยู่ 2 ทีม เราก็มีสิทธ์ที่จะเลือกเชียร์ทีมไหนก็ได้

ทีมนี้อาจเล่นนอกกฎบ้าง แต่ชอบสไตล์การเล่น หรือ ชอบอีกทีมที่นักเตะ เป็นต้น)



แต่คนที่มีมุมมองแตกต่างออกจากกลุ่ม แม้จะมีเหตุผล แต่ก็มักจะโดนประณาม และลงโทษ จากคนกลุ่มใหญ่เสมอ

ทั้งที่มองกันด้วยเหตุผล นั่นเป็น สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล


ปล. การเมืองนิดหนึ่ง ผมอายุ 24 ยังไม่แตกฉานด้านการทูตระดับชาตินัก

ผมมีข้อเสนอว่า ทำไมไม่ให้คนที่อยู่ในพื้นที่ “โหวต” หล่ะครับว่า อยากแยกประเทศ หรือ ยังคงรวมอยู่กับประเทศไทย แล้วก็ใช้ผลโหวตนั้นเป็นเครื่องชี้วัด

เมื่อผลออกมา ทุกคนก็มีสิทธิตัดสินใจอีกทีว่า จะเลือกฝ่ายไหน


ปล. ส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างที่จะมีความเป็น "ชาตินิยม" น้อยมาก ผมจะผูกพัน และ รักสังคมที่ใกล้ชิดโดยตรงกับผมเท่านั้น
และผมมีความคิดว่าควรจะคิด และไตร่ตรอง โดยใช้เหตุผลมากกว่า อารมณ์

แต่ผมก็สำนึกในบุญคุณของแผ่นดินเกิดครับ


โดย: navagan วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:18:01:56 น.  

 
ความจริงหลายอย่างในโลกนี้มีที่มาที่ไป
จากมนุษย์ไม่ใช่จากธรรมชาติ

*-* เป็นโพสต์โมเดิร์นหรือเปล่าครับ


โดย: ใบไม้ต้องลม วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:23:19:47 น.  

 
ผมว่ามันก็คงคล้ายๆกับความรักในสถาบัน หรือถ้าจะย้อนไปที่จุดเริ่มต้นมากกว่านั้น ก็คือการยึดติด ตัวกรู-ของกรู เนี่ยแหละ ซึ่งผมมันก็คือสาเหตุหลักของความบาดหมางขัดแย้ง และเลยเถิดลามปามจนเป็นสงครามในที่สุด

ยังมีมายาคติอีกหลายเรื่องครับ ที่เราถูกปลูกฝังมาให้เชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข แต่พูดไปก็จะดูแปลกแยก ดูเป็นขบถและพวกหัวรุนแรง ถ้าจะอยู่ในสังคมให้สงบสุข ก็ต้องเออออตามเค้าไป

ผมเข้ามาบล็อคคุณครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในห้องเรียนอีกครั้ง 5555++ (แต่ก็อธิบายได้ดีครับ เก่งมากๆ)


โดย: แฟนผมฯ IP: 202.134.119.218 วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:9:25:48 น.  

 
- คุณใบไม้ต้องลม

อืม จะว่าเป็นโพสต์โมเดิร์นเต็มตัวก็ไม่ถูกนักเสียทีเดียวนะครับ เพราะความคิดแบบโมเดิร์นก็ยอมรับในองค์ความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเหมือนกัน

- คุณแฟนผมฯ

ปกติผมก็ไม่ค่อยได้เขยนเรื่องเครียดแบบนี้หรอกครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:9:48:43 น.  

 
เห็นด้วยกับท่านหลายอย่างค่ะ อยู่ทางใต้ยังหงุดหงิดเลยค่ะ


โดย: Madam_Hatyai วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:11:18:47 น.  

 
จัดไป อย่าให้เสีย


โดย: thamakorn วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:11:54:21 น.  

 
บางที ชาตินิยม เลือดรักชาติ บรรพบุรุษ โดนข้อหา กบฎนี้ ต่อสู้โดยสายเลือดเลยอ่า

ยุคใหม่ยุคเก่า ปรับเปลี่ยนกันไป

ไปยึดกะมานน ตายห่ากันพอดี


โดย: Bernadette วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:15:56:12 น.  

 
สวัสดีครับ
ขอบคุณมากนะครับที่แวะเข้าไปเยี่ยมชมและทักทายกัน....

ใช่ครับ พิพิธภัณฑ์เข้าลึกไปหน่อยเนอะ แต่ก็ได้เรื่องบรรยากาศดีน่ะครับ ผมชอบนะครับ

อ้าวจริงดิครับ....ผมก็มีรุ่นพี่เป็นคนทำพิธีอยู่ที่นั่นคนนึง ไม่รู้ว่าจะรู้จักกันหรือเปล่าก็ไม่รู้เนอะ.....

ยิ๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน...ดีจั๊ดนักครับ


โดย: เพลงดาบกระบี่เดียวดาย วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:19:48:36 น.  

 

เคยสงสัย

ว่า อะไรทำให้บางครั้งเราดูแคลนชาติอื่น เช่น ลาว พม่า เวียดนาม กัมพูชา ..


เคยสงสัย

ว่า จริงหรือที่เรากำลังยืนอยู่ด้วยความไม่ดูแคลนชาติอื่น ศาสนาอื่นอย่างพิสุทธิ์




โดย: renton_renton วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:21:42:18 น.  

 
เรื่องพี่น้องพม่า อะ ติ๊บติ้ว

รบกวนอ่านประวัติศาสตร์ เรื่อง จอมพล ป พิบูล สงคราม ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เคลียร์พี่ไทย กับพี่ไทยให้ลงตัวก่อน

นั้นแหละปัญหามาถึงทุกวันนี้อ่า


โดย: Bernadette วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:22:58:07 น.  

 
แม้แต่ภาพยนตร์ ก็ยังเล่นเอาเรื่องของความชาตินิยมมาเป็นจุดขายอยู่บ่อยๆ น่าตลกที่หนังพวกนี้มันทำเงินซะด้วยสิ

แล้วที่น่าแปลกก็คือ เราสอนให้ลูกหลาน เกลียดเขมร พม่า แต่ที ประเทศฝรั่งที่รุกรานแผ่นดินเรา ปล้นประเทศเราไปกว่าครึ่งของผืนที่ อย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส คนสมัยก่อนไม่ยักกะปลูกฝังให้ลูกหลานรู้เท่าทันฝรั่งแฮะ กลับไปสอนให้บูชาฝรั่ง

ไม่รู้ว่าใครกันที่โง่สิ้นดี ระหว่างลูกหลาน หรือคนสมัยก่อน


โดย: joblovenuk วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:5:26:31 น.  

 
ผมเองยังมองไม่ค่อยเห็นกับคำว่าชาตินิยมในยุคนี้สมัยนี้มากนักนะครับ


โดย: ถปรร วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:18:36:24 น.  

 
ค่อนข้างเห็นด้วยกับเนื้อหาใจความส่วนใหญ่

ชาตินิยมเป็นสิ่งดี หากมันก่อความสามัคคีและใช้ในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญ (เช่น ญี่ปุ่น จนสามารถใช้หนี้หลังแพ้สงคราม และกลายเป็นชาติมหาอำนาจ ไม่ต้องเป็นฝ่ายถูกข่มขู่ทางเศรษฐกิจเหมือนชาติอื่นๆ สามารถดำรงวัฒนธรรมหลายๆ อย่างของตนเองเอาไว้ได้ (แม้ว่าจะมีการรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้าไปไม่น้อยเช่นกัน) หรืออย่างเกาหลี ที่จากที่หลังสงคราม ตามหลังไทยอยู่หลายสิบปี แต่ชาตินิยม การใช้แต่ของที่ผลิตในประเทศ ไม่ให้เที่ยวต่างประเทศ กลับทำให้เค้าฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ผลิตสินค้าจนเป็นแบรนด์ที่แข็ง เลี้ยงตัวเองได้)

ส่วนเรื่องการใช้ชาตินิยมเพื่อดถูกชาติอื่นก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะใช้ "ชาตินิยม" หรือ "อย่างอื่น" เป็นเครื่องมือก็ตาม
(เช่น ฐานะทางสังคม การมีเงิน ฯลฯ)



แต่

หากมองจริง ๆ แล้วอยุธยาและกรุงเทพฯ ไม่สามารถยืนอยู่ได้บนลำแข้่งตัวเอง แต่ต้องเชื่อมโยงกับรัฐแบบสมัยอดีต การกล่าวประวัติศาสตร์แบบกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางโดยลืมกล่าวถึงประวัติศาสตร์ ของชุมชนรอบข้าง มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

อันนี้แปลกๆ นิดหน่อย

ที่จริงแล้ว อยุธยาหรือกรุงเทพฯ อยู่ได้ด้วยตัวเองได้อยู่นะ ซึ่งถ้าไม่สร้างความเป็นชาตินิยม ดึงอำนาจมาส่วนกลาง อย่างมาก พื้นที่ก็เหลือแค่กรุงเทพฯ และรอบๆ น่ะ แต่อยู่ได้ด้วยตัวเองน่ะ อยู่ได้อยู่นะ อะไรที่ทำให้คิดว่าอยู่ไม่ได้ง่ะ?


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:19:00:14 น.  

 
^
^
^

ในกระทู้มีการอ้างถึงชาตินิยมกับญี่ปุ่นด้วยนะครับ อาจจะหายากนิด

ส่วนที่พี่สาวไกด์แย้งมา กรุงเทพฯและอยุธยาไม่มีทรัพยากรหลายอย่างนะครับ อย่างน้อยก็ไม่มีดีบุกหละ ดังนั้นการแลกเปลี่ยนมันเป็นสิ่งที่จำเป็น (เหมือนกับโลกปัจจุบัน) ทว่าในประวัติศาสตร์ที่เราเรียน รัฐชาติแบบอดีตในสมัยมักถูกลืม ถูกเมิน ไม่ค่อยกล่าวถึงสักเท่าใดนัก (เช่นเราไม่รู้ด้านมิติเศรษฐกิจระหว่างไทยกับพม่า เพราะเราสนใจแต่ในแง่มิติความเป็นศัตรูมากกว่า)

อยุธยากับรัตนโกสินทร์ตอนต้นคอนเซปท์เกี่ยวกับรัฐชาติยังไม่ชัดเจน ผมเชื่อว่าสมัยนั้น คนแถวบ้านผมที่พิษณุโลก เขาก็อาจจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนสยามก็ได้ ดังนั้นลักษณะความสัมพันธ์ึจึงเป็นแบบ เมืองไหนยิ่งใหญ่ก็ไปขอภักดีเมืองนั้น กรุงอังวะเป็นใหญ่เมื่อไหร่ เมืองส่วนใหญ่ก็โอนไปทางนู้น สยามแข็งแกร่งก็เอียงกลับมาที


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:22:13:17 น.  

 
แต่การไม่มีดีบุก ไม่ได้หมายความว่าอยุธยาและกรุงเทพฯ จะอยู่ไม่ได้นี่นา ทรัพยากรที่จำเป็นอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ก็มีค่อนข้างครบถ้วน ไม่ได้หมายความว่า ถ้าไม่มีการแลกเปลี่ยนแล้วจะอยู่ไม่ได้ หรือ..ถ้ามีการแลกเปลี่ยน หมายถึง เท่ากับอยู่ไม่ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่เหรอ?
(หรือตีความว่า ประเทศไหนที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับประเทศอื่น เท่ากับอยู่ด้วยตนเองไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีเมืองไหนอยู่ได้หรอก เพราะไม่มีเมืองไหนมีทรัพยากรครบถ้วนสมบูรณ์พร้อมขนาดไม่ต้องแลกเปลี่ยนกับที่ไหนเลยน่ะ)

แต่มันไม่ใช่การสรุปว่า

หากมองจริง ๆ แล้วอยุธยาและกรุงเทพฯ ไม่สามารถยืนอยู่ได้บนลำแข้่งตัวเอง

ได้หรอกนะ



ถูกที่คนพิษณุโลกก็มีโอกาสคิดว่าไม่ใช่คนสยาม เช่นกันกับคนล้านนาน่ะแหละ ไม่แปลกนี่นา ว่าแต่..มันเกี่ยวข้องกับประเด็นที่พี่แย้งยังไงเนี่ย?





ส่วนเรื่องญี่ปุ่น ก่อนที่ญี่ปุ่นจะพูดได้ว่า "เพราะของที่ญี่ปุ่นผลิตเป็นของดี จึงใช้" ก่อนหน้านั้นมันถูกปลูกฝังด้วยการใช้แต่ของที่ผลิตในประเทศตนเองก่อนนี่นา พอถูกปลูกฝังให้ใช้แต่ของที่ผลิตในประเทศ แน่นอนว่า มีผู้บริโภคจำนวนมาก ผู้ผลิตก็มีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองต่อไปได้ พัฒนาสินค้าได้ จนท้ายที่สุดสินค้านั้นก็มีคุณภาพที่ดี ส่งออกได้ คนในชาติก็แทบไม่จำเป็นต้องไปบริโภคสินค้าจากประเทศอื่น (เกาหลีก็เป็นอย่างนี้หนะแหละ)

ส่วนเรื่องการรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้าไป พี่ว่าต้องแยกพอสมควรนะ ระหว่างสินค้าทางวัฒนธรรม กับสินค้าที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตน่ะ แต่อย่างที่บอก ญี่ปุ่นเองก็รับวัฒนธรรมของตะวันตกเข้าไปเยอะ คือไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง แต่เรื่องปลูกฝังชาตินิยมน่ะมีแน่ การแค่ถามคนญี่ปุ่น แล้วเขาปฏิเสธ อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์หรอกนะ

เหมือนประเทศไทยหนะแหละ ถามแค่ไม่กี่คน จะมีกี่คนที่วิเคราะห์ประวัติศาสตร์ไทย ความเป็นชาติไทยอย่างที่เราวิเคราะห์กันอยู่?


ไอ้เรื่องที่ไปแปะว่าชาตินิยมแบบญี่ปุ่นน่ะพี่เห็นด้วยในหลายๆ เรื่อง การใช้ชาตินิยมไปในทางที่ถูกต้องก็เป็นสิ่งทีดี (ทุกสิ่ง ทุกความคิด ถ้าเอาไปใช้ในทางที่ถูกต้อง มันก็ดีทั้งนั้นแหละ) ซึ่งชาตินิยมในแต่ละที่ แตกต่างกันน่ะ อย่างชาตินิยมแบบญี่ปุ่นกับแบบเยอรมัน ก็มีผลที่แตกต่างกันอยู่นะ มันอยู่ที่วิธีใช้ด้วยแหละ


เดี๋ยวพี่ขอไปค้นหนังสือก่อน เพราะพี่อ่านมาอย่างนั้นนะ แล้วจะมาคุยด้วยอีกที (ในส่วนของการปลูกฝังค่านิยมชาตินิยมของญี่ปุ่นน่ะ)



ส่วนเรื่องชาตินิยมทำให้เกิดสงคราม อันนี้มันแน่อยู่แล้ว เพราะหลายๆ ประเทศก็ใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือน่ะแหละ




สรุปแล้ว..พี่ไม่ได้ว่า ชาตินิยมเป็นเรื่องไม่ดี

แต่อยู่ที่วิธี และคนที่ใช้มันต่างหาก



โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:8:53:11 น.  

 
สวัสดีครับ
อ๋อ....แค่รู้สึกว่ามันไกล อิอิอิ....
นี่ๆๆๆ ปีหน้าไปเที่ยวงานด้วยกันไหม เอิ๊กๆๆๆ...

คงไม่ต้องถึงขนาดว่าต้องชาตินิยมจนสุดโต่งก็ได้เนอะว่าไหม แต่ขอให้ภูมิใจในความเป็นชาติและเข้าใจวัฒนธรรมของชนชาติดีกว่าเนอะ ว่าไหม....


โดย: เพลงดาบกระบี่เดียวดาย วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:9:00:50 น.  

 
- พี่สาวไกด์

ย่อหน้าหลังนี้ผมเพิ่มเติมไปครับ อาจจะไม่ค่อยเกี่ยว

ก่อนอื่นต้องอย่ามองอยุธยาในลักษณะรัฐชาติแบบทุกวันนี้นะครับ ที่มีดินแดน อธิปไตย ประชาชน และรัฐบาลเหมือนสมัยนี้ สมัยนั้น ดินแดนก็ยังมีไม่ชัดเจน พล่าเลือนเต็มที อำนาจอธิปไตยก็อยู่กับกษัตริย์ ซึ่งหากอาณาจักรไหนใหญ่กว่าก็มีโอกาสไปสวามิภัคร ทีสำคัญประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีคอนเซปท์เรื่องชาติ

ที่อยุธยาอยู่คนเดียวด้วยลำแข้งไม่ได้นอกจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว ที่สำคัญคือ ลักษณะความสัมพันธ์ของเมืองต่าง ๆ ต้องมีระบบอุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน เช่น เป็นระบบเครือญาติเพื่อที่จะเกาะกลุ่มกันต่อรองอำนาจจากรัฐที่มีขนาดใหญ่กว่า อย่าง อังวะ

ในทัศนะชาวไทย เรามักคิดว่า อยุธยา เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเขตสุวรรณภูมิ แต่ในความเป็ฯจริง อังวะ หรือ พม่า ใหญ่กว่าหลายเท่า เกณฑ์คนมารบทีได้หลักแสน ดังนั้นหากอยุธยาอยู่เพียงตัวคนเดียว มีหรือจะรอดซึ่งในสายตาพม่า อยุธยาก็เป็นแค่เมืองหนึ่งที่ไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่งเสมอมา

ประวัติศาสตร์ไทยกระแสหักเมินเฉยที่จะกล่าวถึงความสัมพันธ์รอบด้านของเมืองอื่น ๆ มุ่งแต่ให้เห็นความสำคัญของอยุธยาในฐานะที่มีพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ เป็นศูนย์กลาง ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นการมองแบบมิติเดียวจนเกินไป



โดย: I will see U in the next life. วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:9:22:10 น.  

 
หลายคนคงไม่เข้าใจว่าความรักชาติ ชาตินิยมคืออะไร บ้างว่ากันไปตามกระแส บ้างเออออไปตามคนอื่นพูด แต่ไม่ว่าคุณทั้งหลายที่เข้ามาโพสต์คิดยังไงหรืออยากพูดอะไร อยากแสดงอะไร อยากจะให้ถามตนเองทุกครั้งก่อนวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นได้เพราะเราเป็นประชาธิปไตย ว่า "วันนี้ในฐานะคนที่เกิดมาบนแผ่นดินนี้ แม้ไม่มีความรัก ไม่รู้สึกอะไรมากน้อยกับแผ่นดินหรืออยากแยกแผ่นดิน แล้วยังอยู่บนแผ่นดินแม่แห่งนี้ทำไมหล่ะ ทำไมไม่ไปซะ มาว่าแผ่นดินแม่ทำไม เขาทำอะไรให้ แล้วเคยสร้างถนน เคยปลูกต้นไม้ เคยถางป่า เคยขุดคลองแบบไม่คิดหวังตอบแทนอะไรกับเขาบ้างมั้ย พูดง่าย ๆ สั้น ๆ เคยทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศแม่บ้างมั้ย ที่ไม่หวังผลน่ะ หากยังไม่เคย ก็จงไปเถอะ ไปประเทศอื่น ไปอยู่ที่อื่น แล้วคราวนี้อยากจะวิพากย์วิจารณ์อะไรยังไงก็ได้ ตามแต่ใจ" เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่คิดอะไรมาก แต่ไม่เข้าใจพวกแก ๆ ทั้งหลายว่ะว่า ไอ้คำว่ารู้ค่าแผ่นดินเกิด ไอ้คำว่ามนุษย์ ซึ่งไม่สามารถใช้คำเหล่านี้กับพวกแกได้ เพราะเป็นได้แค่คน คนคือกริยาที่ทำซ้ำ ๆ ย่ำกับที่ คนจนงง สุดท้ายพวกแกก็เหมือนไอ้พวกที่ขายชาติในที่สุด เพราะไม่มีสำนึกอะไรซักอย่าง


โดย: ความรักหรือการหลอกลวง IP: 58.137.186.211 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:21:13 น.  

 
ดิฉันเห็นด้วยกับความเห็นที่ 25 เพราะดิฉันเกิดที่นี่ แต่โตเมืองนอก อยู่คนเดียวไม่เคยอยู่กับใคร และไม่เสพข่าวหรือเดินตามกระแสแบบใคร ๆ แต่ยังมีความรู้สึกรักชาติด้วยตนเอง ตอนนี้สงสารประเทศไทยสุด ๆ อ้อ ดิฉันมีหน้าที่เป็นอาจารย์สอนที่สถาบันต่าง ๆ ทั่วโลกค่ะ และเคยไปสมัครเป็นอาจารย์ที่มหาลัยใหญ่ ๆ ในเมืองไทย แต่แพ้เส้นเขาค่ะ ตอนแรกเจ็บใจ แต่ตอนหลังเฉย ๆ เพราะปัจจุบันคนไทยเก่ง ๆ เป็นอาจารย์ไม่ค่อยมี เพราะแพ้พวกพรรคพวกเพื่อนพ้องน้องพี่ ลูกหลานกันหมด แล้วจะให้เด็ก ๆ นักศึกษาหรือนักเรียนที่จบออกมาฉลาดได้ไง แต่ดิฉันโชคดีที่มีโอกาสแสดงความสามารถโดยชาวต่างประเทศ ส่งเสริมการศึกษา ดิฉันได้มีโอกาสกลับมาสอนในเมืองไทยหลังจากทำงานใช้ค่าเล่าเรียนอยู่ 5 ปี จึงได้กลับมาสอนที่เมืองไทย ฟรีบ้าง แบบไม่แพงบ้าง คิดเงินบ้างหากองค์กรนั้นเป็นของต่างประเทศ และเคยสอนอาจารย์ปริญญาโท และนักวิชาการไทยมากมาย แต่ผลที่ได้รับทุกคนยังค่อนข้างเหมือนเดิม คือขาดวิสัยทัศน์และรู้แบบงู ๆ ปลา ๆ ไม่ศึกษาอะไรแบบลึก ๆ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนศึกษาประวัติศาสตร์ไทยให้ดี ให้ลึก ให้แม่น แล้วถามตนเองว่า ถ้าไม่มีการเสียเลือด เสียเนื้อ เสียสละ หรือวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของพระมหากษัตริย์ไทยหลาย ๆ พระองค์ พวกคุณจะมีหน้าเจ๋ออยู่นี่รึปล่าว
แค่อยากฝากไว้ เพราะพระท่านว่าไว้ คนฉลาดมีน้อย แต่คนโง่มีเยอะและไม่ยอมรับตนเอง


โดย: ศาสตราจารย์บ้านนอก IP: 58.137.186.211 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:29:53 น.  

 
++++คุณทักษิณคอรัปชั่นจริงไหม ผมก็ว่าจริง แต่ข้อหาอย่าง CTX หรือเรื่องที่มันชัดเจนกว่าที่ดินรัชดา ทำไมไมสอย ไปสอยคดีที่อืม แม้แต่ชวนเองยังบอกว่าการเข้าไปแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ แล้วมันเป็นการประมูล ผมก็สงสัยว่าทักษิณจะไปบังคับใครได้อย่างไร ถ้าคุณหญิงพจมานผิดคดีฮั้วก็ว่ากันไปอย่าง+++++
ตอบข้อแรก คุณเองก็ยอมรับว่านักการเมืองลวงโลกทำผิดต่อบ้านเมือง และคุณหละทำอะไรหรือยัง หรือว่าใครมามันก็โกง
ส่วนคดีสุวรรณภูมิ คุณไม่รู้เลยหรือว่าคตส.แทบอ้วกในการทำงานการให้ความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีเลย ทำให้หมดอายุการทำงานเสียก่อน ไม่ใช่อย่างที่คุณพูดให้เข้าใจเสียใหม่ โอกาศหน้ายังมี
ที่ดินรัชดาเป็นการประมูลก็จริง คุณรู้ใหมใครเข้าประมูลร่วมไปลองค้นดู แล้วอ้ายตัวใหนเห็นเมียนายกเข้าประมูลมันก็หนาวเป็นไข้ก่อนแล้วหละ่ครับ ยังไม่พอยังเพิ่มเงินค้ำประกันให้สูงเสียอีก แล้วยังเปลี่ยนวิธีการตีราคาทรัพย์ซึ่งมีผลให้ราคาที่ดินลดลงอีก ยังงี้หรือครับเรียกว่าประมูล ผมยังข้องใจเหมือนกันว่าทำไมเมียนักการเมืองลวงโลกไม่โดน แต่เห็นว่าธ.แห่งประเทศไทยกำลังจะฟ้องร้องเอาที่ดินคืนเหมือนกัน แสดงว่ามีการทุจริตใช่หรือไม่
ส่วนที่คุณบอกว่าเอเอสทีวีมีการปลุกระดมเหมือนทีวีเสื้อแดง มันมีข้อแตกต่างกันคือ
ทีวีเสื้อแดงก่อให้เกิดความรุนแรง และโกหก ส่วนเอเอสทีวีไม่ และทีวีเสื้อแดงเปิดเผยแหล่งที่มาของเงินทุนได้หรือไม่อย่าบอกนะครับว่ามาจากโต๊ะจีน
ประเด็นสุดท้าย คุณว่าไม่ใช่เสื้อแดงหรือแม้แต่ไปร่วม ผมไม่เคยสนใจว่าคุณเป็นเสื้อแดงหรือเหลือง แต่ผมถามคุณตลอดว่าบ้านเมืองของเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤตแต่ปรากฏว่ายังมีคนจำพวกหนึ่งยังลอยตัวอยู่เหนือความรับผิดชอบของหน้าทีี่ของประชาชนไทย ผมเป็นงง คุณเองยังยอมรับว่านักการเมืองลวงโลกมันโกงจริงๆแล้วทำไมคุณเฉย และดูเหมือนจะพยายามเข้าข้างนักการเมืองลวงโลก ผมไม่อยากจะคิดว่า ลำธารต่างๆที่ใหลไปสู่แม่น้ำแห่งความชั่วมีหลายสาย ไม่ว่าลำธารสีเขียวเหี่ยวๆ สื่อเลว นักวิชาการอีแอบ นักการเมืองหมดอายุ (บางคน)กำลังแสดงตัวและกำลังใหลลงไปสู่แม่น้ำแห่งความชั่วที่เชี่ยวกราก ซึ่งกำลังจะทดท่วมและทำลาย บ้านเมืองของเรา


โดย: ปากกาสีน้ำ......เงิน IP: 125.26.151.89 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:38:49 น.  

 
ู^
^


แล้วทำไมไ่ม่เอาผิดกฎหมายฮั้วล่ะ

เอเอสทีวีไม่ก่อให้เกิดความรุุนแรง เอาอะไรมาพูด ไอ้ที่มองเสื้อแดงเป็น 'คนอื่น' ที่พร้อมจะฆ่าได้เสมอนี่มันยังไม่แรงพอใช่ไหม


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:17:53 น.  

 
****** I will see U in the next life. เอเอสทีวีไม่ก่อให้เกิดความรุุนแรง เอาอะไรมาพูด ไอ้ที่มองเสื้อแดงเป็น 'คนอื่น' ที่พร้อมจะฆ่าได้เสมอนี่มันยังไม่แรงพอใช่ไหม******
ขอหลักฐานหน่อยครับ มีแต่พี่น้องเอ๊ยเอารถเมล์ออกมาอีกหน่อย อย่างมากก็ผิดกฏหมายการจราจรเท่านั้นบอกเลยอาจารย์บอก จริงใหม (ในเดือนเมษาวิปโยค)


โดย: ปากกาสีน้ำ......เงิน IP: 125.26.154.141 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:04:40 น.  

 
แหม แล้วเหตุการณ์ตอนระเบิดลง ไปกระทืบคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มีวัดพระแก้วเป็นแบคกราวด์นี่ว่าไงดีฮะ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:09:13 น.  

 
คุณ I will see U in the next life ผมว่าอย่ากระแหนะกระแหนอย่างนี้เลยครับ มันไม่สร้างสรรค์ ผมเห็นแต่เสื้อเหลืองที่โดนแต่เอ็ม79 แต่เสื้อแดงไม่เคย น่าจะลองโดนเสียมั่งนะครับ
ทำไมเราไม่มองดูที่ผลประโชยน์ชาติส่วนรวมหละครับ ทำไมเรามองแต่ว่าเรารักทรัพย์สินคนเดียว ผมเคยคุยกับรากหญ้าคนหนึ่งบอกว่ารักทรัพย์สิน ผมก็เลยถามว่าทำไม เขาบอกว่ามีใครเคยแจกเงินบ้างใหมหล่ะ คนอื่นเขาไม่เห็นทำเลย ผมก็เลยบอกว่าเงินที่แจกน่ะของใคร ของพวกเราทั้งนั้น(ชนชั้นกลาง)ใช่หรือไม่ภาษีไม่พอก็มาขอเพิ่มถูกหรือไม่ แล้วการแจกเงินไครเขาก็ทำได้ไม่ต้องคุณทรัพย์สินหรอก การแจกเงินง่ายจะตาย แต่เป็นการดูถูกรากหญ้าเพราะต่อไปรากหญ้าทำอะไรไม่เป็นรอแต่เงินที่เขาจะให้มาอย่างเดียว ก็เหมือนการเสพยาเสพติด คือติดความสบายไม่ยอมทำงาน เขาก็บอกว่าไม่รู้ รู้แต่ว่ารักทรัพย์สิน
การศึกษาก็เหมือนกัน มหาวิทยาลัยออกนอกระบบก็อ้างไปเรื่อย จริงแล้วที่เห็นคือค่าเล่าเรียนแพงขึ้นมาก แล้วคุณทรัพย์สินทำอย่างไร ก็กู้เรียนเสียสิ คนที่ไม่ได้คิดอะไร ก็ว่าดีใหโอกาสคนจน ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร เห็นออกสป็อตตามวิทยุต่างจว.ว่าคนที่ขาดส่งเกิน5งวดให้มาตกลงกัน ถ้าไม่มาจะดำเนินคดี บางคนกู้ตั้งแต่เรียนม.กว่าจะจบมหาลัยก็อ่วม แล้วจะทำอย่างไร
การแก้ใขก็เพียงแต่ทำค่าเล่าเรียนโรงเรียนรัฐให้ถูกเข้าไว้เพราะการศึกษาต้องเป็นการลงทุนโดยรัฐทุกคนต้องได้เรียนโดยไม่ต้องมีกังวลว่าจบแล้วต้องหาเงินไปผ่อนส่งแต่ทำไมทรัพย์สินไม่ทำ เพราะเขาไม่ไ้ด้อะไร เขาทำอย่างนั้นเพราะเงินเดือนอาจารย์ขึ้นเขาก็ได้คะแนนนิยม คนจนได้กู้เรียนเขาก็ได้คะแนนนิยม สุดท้ายเป็นอย่างไรคนกู้ตกนรก นาย ก.ได้คะแนนไปแล้ว


โดย: ปากกาสีน้ำ......เงิน IP: 125.26.154.141 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:03:46 น.  

 
คุณคุยกับผมคนละเรื่อง คนละตรรกะ มันก็คงเข้าใจกันสักวันหนึ่ง

ทำไมผมจะไม่สนใจประโยชน์ส่วนร่วม เพราะที่พูดมาผมสนใจผลประโยชน์ส่วนร่วมนะสิ ผมมองในระยะยาวด้วย ถ้าคุณหวังจะกำจัดทักษิณวันนี้ด้วยคามไม่ชอบธรรมแล้ววันข้างหน้าล่ะ คุณเคยคิดถึงไหม

คุณก็คิดกันแค่ว่าทักษิณมันเหี้ย เพราะฉะนั้นเราต้องกำจัดไม่ว่าจะหนทางจะเหี้ยอย่างไรก็ตาม คิดแบบนั้น ทำแบบนั้น ก็เป็นแบบทุกวันนี้ ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง

คุณโพสต์มากี่ข้อความคุณยังไม่เข้าใจพอยท์สำคัญผมเลย คือผมต้องการให้มีการจัดการแบบยุติธรรมตามหลักประชาธิปไตยจริง ๆ ถ้าคุณบอกว่าทุกวันนี้มันก็ประชาธิปไตยหนิ แสดงว่าคุณก็คงปลื้มไ่ม่น้อยกับการปฎิวัติรัฐประหาร

ดีครับ รักทหารกันต่อไป ชาติคงเจริญ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:56:50 น.  

 
คุณI will see U in the next life.
ผมไม่เข้าใจคุณว่าสมองคุณทำด้วยอะไร นักการเมืองลวงโลกไม่ได้ถูกกำจัดดัวยความจงเกลียดจงชังหรือความอาคาตมาตร้าย แต่ด้วยการกระทำของเขาเอง ที่เวลาพอมีอำนาจสูงสุดก็นึกว่าไม่มีใครที่จะสามารถตรวจสอบหรือตัดสินได้ก็เลยกระทำการด้วยความฮึกเหิม ใครที่วิพากวิจารณ์เขาจะต้องถูกกระบวนการของเขาหรือลิ่วล้อกลั่นแกล้งซึ่งคุณลองไปค้นดูรายคุณสุทธิชัย หยุ่น หรือคุณเปลวสีเงินแห่งไทยโพสต์ดู การตัดสินของศาลเกี่ยวกับคดีของนักการเมืองลวงโลก ไม่ใช่ศาลเตี้ยนะครับมีการให้โอกาศต่อสู้ เพราะฉะนั้นการตัดสินจึงขึ้นอยู่กับหลักฐาน คุณก็ยอมรับว่านักการเมืองชั่วร้ายจริงแต่คุณไม่พูดถึงและไม่แสดงปฏิกริยา แต่ไพล่ไปพูดอีกเรื่อง เหมือนคุณเห็นก้อนกรวดแห่งความชั่วร้ายของนักการเมืองลวงโลกเต็มลำธาร แต่คุณไพล่ไปจับเศษสวะขึ้นมาชิ้นเล็กแล้วมาวิพากวิจารณ์
การปฏิวัติ ผมไม่เคยเห็นด้วยเพราะส่วนมากทำด้วยประโยชน์แห่งตนของสีเขียว แต่บางทีการปฏิวัติก็เป็นยาแรงสำหรับนักการเมืองหน้าทนและลวงโลก จริงใหม


โดย: ปากกาสีน้ำ......เงิน IP: 125.26.154.141 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:5:58:22 น.  

 
อ่ะ อ่านเอง ศาลฏีกาพูดเอง

//sameskyboard.com/index.php?showtopic=40217

คุณคงชอบสินะ การปฎิวัติไปเรื่อย ๆ กลับไปยุคแบบสฤษด์ดีไหมครับ คุณคงชอบแบบนั้น คุณจะหวังทหารแก้ปัญหา หรือระบบแก้ปัญหา

แล้วถ้าวันหนึ่งพรรคการเมืองใหม่ของคุณเกิดโดนบ้าง คุณยังไม่ตอบผมเลยว่า ถ้าโดนเหมือนทักษิณและไทยรักไทยโดน คุณจะว่าอย่างไร

โปรดอย่าตอบว่ามันเป็นไปไม่ได้ โมเมนตัมทางการเมืองมันไม่แน่นอน

ป.ล. ลิงค์นั้นขอให้อ่านนะครับ ผมรู้สึกว่าคุณไม่ได้อ่านอะไร ข้อมูลทุกอย่างคุณก็ได้จากที่ฟังตาม ๆ กันมา (ขออภัยที่ปรามาส)


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:7:57:56 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

I will see U in the next life.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add I will see U in the next life.'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.