|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
สืบเนื่องจากเพลง "ราตรีสวัสดิ์" ของฟักกลิ้งฮีโร่ ภาคสอง ว่าด้วยเรื่อง ปัญหาเกี่ยวเนื่องจากชาตินิยม
จากกระทู้เพลงราตรีสวัสดิ์ตอนนี้ฮอตมาก มีราวสามร้อยกว่าข้อความแล้ว
//www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C8326825/C8326825.html
ผมสัญญาไว้ในกระทู้ว่าจะโพสต์เรื่องปัญหาจากชาิตินิยมให้ได้อ่านกัน ผมเลยขอเอารีพลายนั้นมาแปะไว้ที่นี่ด้วย
ใครคิดเห็นอย่างไร โปรดแสดง
----------------------------
ได้รับข้อความจากทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์ถามไถ่ว่าเมื่อไหร่จะโพสต์เรื่องชาตินิยมให้อ่านกัน สงสัยคงคิดว่าผมจะเบี้ยวเป็นแน่แท้
คุณ เคยสงสัยกันไหมครับว่า ทำไมเราถึงต้องรักชาิติของเราด้วย เราไม่รักได้ไหม ถ้าเราไ่ม่รักแล้วเราจะกลายเป็นคนทรยศหรือเปล่า ผมว่าคำถามแบบนี้ไ่ม่ค่อยปรากฎขึ้นมาในสมองของเราเท่าใดนัก
ปกติแล้ว มนุษย์จะมีความรักในถิ่น ในพวกพ้อง เมื่อเราอยู่ร่วมใช้ชีวิตกันมาเป็นเวลานาน เราย่อมผูกพันกับเขตที่เราอยู่อาศัย ผูกพันก้ับคนที่อยู่รอบข้่างใช้ชีวิตร่วมกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสายใยทางสังคมที่เชื่อมโยงกันอยู่แบบมองไม่เห็น
สาย ใยสังคมมีหลายรูปแบบ ผมขอยกอันที่น่าสนใจและคนไม่ค่อยใคร่พูดถึงมาเล่าสู่กันฟังละกัน คนในชุมชนสามารถเชื่อมโยงเป็นคนท้องถิ่นเดียวกันได้ ด้วยตำนานพื้นบ้านต่าง ๆ ตำนานเหล่านี้เป็นคำอธิบายง่าย ๆ ที่เชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่ออธิบายความเป็นมาของชุมชน ตำนานเหล่านี้ปรากฎในทุกชุมชนประเทศไทย เป็นประวัติศาสตร์ชุมชนที่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น คนเชียงใหม่ในเขตหางดง แม่เหียะ จะผูกพันกับตำนานผีปู่แสะย่าแสะ ตำนานพี่ปู่แสะย่าแสะทำให้คนในแม่เหียะ มีกิจกรรมทำร่วมกัน นำมาสู่ความรู้สึกความเป็นพวกพ้องกัน
สายใยสังคมยิ่งขยายระดับใหญ่ เส้นใยยิ่งเปราะบาง เรารู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยผูกพันกับคนที่อยู่จังหวัดเดียวกัน เมื่อเทียบกับระดับหมู่บ้าน เราไม่รู้จักใครเลยที่อยู่ปัตตานี เราไม่มีความผูกพันอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่ออยู่ประเทศเดียวกันแล้ว รัฐมีเครื่องมือสำคัญในการสร้างอุดมการณ์ให้คนในประเทศรู้สึกเป็นพวกพ้อง เดียวกันได้ แม้ว่าจะอยู่ห่างกันเป็นพัน ๆ กิโลเมตรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นเราเรียกว่า "ประวัติศาสตร์"
ประวัติศาสตร์เป็นองค์ ความรู้ที่ทำให้เราเห็นความเป็นมาของชุมชน หากเป็นระดับรัฐชาติ ความรู้นี้ทำให้เราเห็นพัฒนาการของประเทศ หากเป็นชุดคำอธิบายสมัยก่อน คนไทยก็มาจากเทือกเขาอันไต เรื่อยลงมาจนปักหลักที่สุโขทัย เกิดสงครามกับอยุธยา เรื่อยมาจนกรุงแตกครั้งที่สอง ก่อเกิดธนบุรีและรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน
คำอธิบายประวัติศาสตร์ของ รัฐไทยแบบที่เรารู้ เริ่มต้นขึ้นฮอตฮิตในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อต้องการปรับเปลี่ยนประเทศให้ศิิวิไลซ์ ประวัติศาสตร์ไทยใช้โครงร่างของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแกนหลักในการเล่า เรื่อง (ไม่น่าแปลกใจเพราะลักษณะการอธิบายประวัติศาสตร์แบบนี้ได้ชื่อว่าเป็นลักษณะ ของสำนักดำรงราชานุภาพ ซึ่งกรมดำรงพระองค์ก็เป็นเจ้า) เน้นความสำคัญของประวัติศาสตร์ที่เริ่มจากศูนย์กลาง อันคือกรุงเทพฯ ส่วนริมขอบเขตแคว้นต่าง ๆ มีหน้าที่เป็นเพียงเมืองประเทศราช ให้ยึดถือประวัติศาสตร์เดียวกับกรุงเทพฯ
ความคิดทางประวัติศาสตร์ ที่มาจากศูนย์กลางค่อย ๆ หลอมละลายความคิดดั่งเดิมของคนในพื้นที่อื่น ๆ โดยให้ละประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไปเป็นสิ่งที่มีความสำคัญรองลงมาจากประวัติ ศาสตร์ชาติ โดยสร้างไปพร้อม ๆ กับมายาคติที่ว่า ประวัติศาสตร์นั้นเป็นเรื่องจริงแท้ร้อยเปอร์เซนต์ เวลาผ่านไปคนก็รู้สึกคล้อยตามสิ่งที่รู้มาจากส่วนกลาง เริ่มมีเส้นสัมพันธ์เชื่อมโยงกับคนในส่วนกลางมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอาจจะไม่เคยได้ไปกรุงเทพฯ เลยแม้ครั้งเดียว
หากมองจริง ๆ แล้วอยุธยาและกรุงเทพฯ ไม่สามารถยืนอยู่ได้บนลำแข้่งตัวเอง แต่ต้องเชื่อมโยงกับรัฐแบบสมัยอดีต การกล่าวประวัติศาสตร์แบบกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางโดยลืมกล่าวถึงประวัติศาสตร์ ของชุมชนรอบข้าง มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
นอกจากนั้น ไม้ตายเด็ดที่ใช้ควบคู่ไปพร้อมกับประวัติศาสตร์ด้วยอย่างได้ผลชงัด คือ "ศัตรู" คนสองคนเคยเกลียดหน้ากันอย่างไร พอมีศัตรูคนเดียวกันแล้วก็รักกันแทบจะจูบกันได้ไม่รังเกียจ
พม่า ถูกเลือกใ้ห้เป็นศัตรูอันดับหนึ่งของคนไทย เพลงปลุกใจสมัยก่อนยังเคยเขียนเนื้อร้องว่า "เดี๋ยวนี้สิเป็นเมืองเก่า คนไทยแสนเศร้าถูกพม่ารุกราน" ก่อนที่ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นคำว่าข้าศึกแทน ภาพของพม่าในสายตาคนไทยผ่านหนังสือเรียน เป็นพวกโหดร้าย ยกพวกมาตีเมืองไทยสองหน ที่สำคัญยังเผาวัด เจดีย์ เอาทองคำกลับไปมากมาย
คน ไทยถูกปลูกฝังด้วยภาพแบบนี้จนยึดติดอยู่ในมายาคติ คือ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ่และเชื่อมันโดยไม่มีเหตุผล เราเชื่อว่าคนพม่าพวกนี้เลวโดยธรรมชาติ ชอบมารุกรานเมืองไทย (แต่พระนเรศวรกลับเรียกว่าการกู้อิสรภาพ) แถมยังไร้จริยธรรมเผาได้แม้กระทั่งวัดเพื่อเอาทอง หลายคนบอกว่าเจดีย์ชเวดากองก็ทองเมืองไทยทั้งนั้น (แต่เอกสารหลายชิ้นบอกไว้ว่า สมัยนั้นคนไทยเองก็เผาเอาทองเหมือนกัน)
ประวัติ ศาสตร์และความคิดที่เห็นคนอื่นเป็นศัตรูนี้ค่อย ๆ หลอมรวมในคนในชาติมีอุดมการณ์ไปในทางเดียวกัน ซึงคุณต้องเข้าใจก่อนว่า รัฐชาติมิได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์คิดค้นขึ้น ดังนั้นเท่ากับ คุณที่คุณรัก ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ ก็มิได้เป็นสิ่งที่ติดตัวคุณมาแต่เกิด แต่เป็นการใ่ส่อุดมการณ์เข้ามาในระบบคิดของประชาชน จนสั่งสอนกันมาเรื่อย ๆ ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องที่ 'ต้อง' เป็น
ความรักชาิติพัฒนาสู่ชาติ นิยม ปัจจัยสำคัญคือ คุณต้องเห็นชาติของตนเองสูงส่งกว่าชาิติอื่น ดีกว่าชาติอื่น (มีนัยยะดูถูกปนอยู่) อย่างฮิตเลอร์ เขาก็เชื่อว่า พวกเขาเป็ฯอารยันที่สูงส่ง ไม่เหมือนพวกยิวที่ต่ำต้อยน่ารังเกียจ (หนังเรื่องล่าสุดของเควนติน ทาแรนติโนเรื่อง Inglorious Basterds ก็มีอยู่ฉากหนึ่งที่มีการเปรียบเทียบระหว่างยิวกับเยอรมันว่า เป็น หนูกับเหยี่ยว) หรืออย่างคนไทย เราก็รู้จักว่าเราเจริญกว่าคนพม่า ลาว เขมร โดยบางทีเราก็ดูถูกประเทศอื่นโดยไม่รู้ตัวอย่างไม่ตั้งใจ เช่น ด่าคนที่ไม่ทันสมัยว่า "ลาวว่ะ" เป็นต้น
ความคิดแบบชาตินิยมมีปัญหา คือทำให้เราคิดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางและมองคนอื่นในฐานะที่ต่ำต้อยกว่า (หลายครั้งมองต่ำว่าเป็นสัตว์ ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่าการลดค่าความเป็นมนุษย์) อย่างปัญหากรณีเขาพระวิหารที่ฮึม ๆ กันอยู่โดยฝ่ายพันธมิตรฯ นั่นก็เป็นผลพวงของการโดยชาิตินิยมครอบงำ มองว่ากัมพูชานั้นเป็นศัตรู ซึ่งต่างจากคนที่ภูิมิซรอลตั้งแต่เกิดที่เขามองว่าพรมแดนของรัฐมันไม่มีจริง การข้ามไปมาเป็นเรื่องที่เป็นปกติ ทางไหนก็เป็นญาติ นี่คือระบบคิดที่ต่างกัน
นอกจากประวัติศาสตร์แล้ว สิ่งที่ผลิตซ้ำตอกย้ำความหมายชาตินิยมก็คือ สื่อ หลายครั้งสื่อก็ไม่รู้ตัวเองเพราะคนทำก็ยังไม่หลุดบ่วงเหมือนกัน เช่น การพาดหัวข่าวว่า พม่าเลวปาดคอนายจ้าง ไทยใหญ่ทมิฬฆ่านับสิบศพ ฯลฯ จะเป็นว่า คำว่า เลว และ ทมิฬ เป็นคำที่แสดงความคิดเห็น ไม่ควรใส่เข้ามา แต่ก็ใส่ อ่านแวบแรกจะคิดว่า คนพวกนี้เลวจริง ๆ เลี้ยงเสียข้าวสุก อุตส่าห์มาอยู่ในพระบรมโพธิ์สมภาร (ถ้าคุณเป็นรอยัลสิสท์อาจจะมองแบบนี้) แต่ถ้ามองลงลึกไปจะเกิดคำถามว่า แล้วคนไทยไม่เคยทำเลวแบบนี้หรือ แล้วความดีความชั่วนี่เป็นเรื่องที่กำหนดด้วยเชื้อชาติ สัญชาติ หรืออย่างไร
ความ รักในชาตินั้นเป็นสิ่งที่ดี ทำให้คนมีสามัคคี ชาติก็พัฒนาไปไกล แต่หากพัฒนาไปเป็นขั้นสุดโต่ง เป็นชาตินิยมที่มองไม่เห็นหัวคนอื่น อันนี้แหละปัญหาใหญ่เลย และจะเป็นอุปสรรคทำให้อาเซียนไม่เจริญ อย่าไปหวังเลยว่าจะรวมกันได้แบบอียูโดยไม่มีปัญหา
ฝากไว้เพียงเท่านี้ ใครใคร่อภิปราย ขอเชิญ
Create Date : 23 กันยายน 2552 |
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2552 10:08:30 น. |
|
34 comments
|
Counter : 1001 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Robin IP: 139.222.239.176 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:16:02:31 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:22:27:41 น. |
|
|
|
โดย: slowboy IP: 112.142.122.105 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:16:48:27 น. |
|
|
|
โดย: navagan วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:17:57:06 น. |
|
|
|
โดย: navagan วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:18:01:56 น. |
|
|
|
โดย: ใบไม้ต้องลม วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:23:19:47 น. |
|
|
|
โดย: แฟนผมฯ IP: 202.134.119.218 วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:9:25:48 น. |
|
|
|
โดย: thamakorn วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:11:54:21 น. |
|
|
|
โดย: Bernadette วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:15:56:12 น. |
|
|
|
โดย: Bernadette วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:22:58:07 น. |
|
|
|
โดย: joblovenuk วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:5:26:31 น. |
|
|
|
โดย: ถปรร วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:18:36:24 น. |
|
|
|
โดย: ความรักหรือการหลอกลวง IP: 58.137.186.211 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:21:13 น. |
|
|
|
โดย: ศาสตราจารย์บ้านนอก IP: 58.137.186.211 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:29:53 น. |
|
|
|
โดย: ปากกาสีน้ำ......เงิน IP: 125.26.151.89 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:38:49 น. |
|
|
|
โดย: ปากกาสีน้ำ......เงิน IP: 125.26.154.141 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:04:40 น. |
|
|
|
โดย: ปากกาสีน้ำ......เงิน IP: 125.26.154.141 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:03:46 น. |
|
|
|
โดย: ปากกาสีน้ำ......เงิน IP: 125.26.154.141 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:5:58:22 น. |
|
|
|
|
|
|
I will see U in the next life.
|
|
|
|
|
|
เดี๋ยวลอกไปทำ assignment ดีกว่า ฮะๆๆ
ปล. อ่านกระทู้ที่แกส่งมาให้แล้วเหนื่อยใจจริงๆ