|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
บัวหิมะทิเบต
อะไรคือบัวหิมะ ผมมีโอกาสได้ "บัวหิมะ" มาเลี้ยง โดยได้แบ่งมาจากที่บ้านอีกทีนึง แม่ไปได้มาจากพระทางเหนือแถวลำปาง เชียงใหม่อะไรแถวนั้น หลายๆคนอาจจะนึกสงสัยว่าอะไรคือ "บัวหิมะ" มันจะเหมือนกับบัวหิมะของจีน ที่ใช้ทาแผลน้ำร้อนลวก หรือไฟลวกมั๊ย ผมก็สงสัยครับ ก็เลยใช้ google ลอง search ดูใน Internet ก็ได้ข้อมูลมาบางส่วน มาเขียนบล็อกนี้ล่ะครับ
บัวหิมะ ที่พูดถึงในบล็อกนี้ คงจะไม่เหมือนครีมบัวหิมะจากเมืองจีนที่เป็นกระปุกๆ บัวหิมะที่นะพูดถึงเนี่ย จะมีลักษณะคล้ายยีสต์สีขาวๆ อันเล็กๆ (ในภาพข้างบน จะเห็นบัวหิมะสีขาวๆอยู่ในโหล) เวลาเลี้ยงต้องเลี้ยงในน้ำนม ซึ่งคงจะเป็นเพราะตัวบัวหิมะเนี่ยใช้น้ำนมในการเพิ่มจำนวนหรือเติบโต อาจจะมองแบบง่ายๆว่าบัวหิมะเป็นพืชอย่างนึง ที่สามารถเติบโต เพิ่มปริมาณได้ แล้วก็สามารถตายได้ถ้าเลี้ยงไม่ดี
ทีนี้เมื่อเอาบัวหิมะมาเลี้ยงในนม ซึ่งจะต้องเปลี่ยนนมทุก 24 ชม. หรือมากสุดไม่เกิน 72 ชม. นมที่ได้ออกมาจะเป็นนมที่มีรสเปรี้ยว จะมากจะน้อยก็ขึ้นกับปริมาณบัวหิมะ กับเวลาที่บัวหิมะอยู่ในนม ซึ่งตรงนี้ผมก็ไปลองๆหาข้อมูลอื่นๆมาประกอบ เข้าใจว่าคงเป็นลักษณะเหมือนนมเปรี้ยวยาคูลท์ที่เรากินๆกัน ตัวบัวหิมะคงจะย่อยสลายน้ำตาลในนม ออกมาเป็นกรดแลคติก ซึ่งเป็นกรดอ่อนๆเลยทำให้นมมีรสเปรี้ยว ถ้าอยู่ในนมนาน หรือมีบัวหิมะปริมาณมากๆ ก็จะมีการย่อยสลายมาก ทำให้ได้นมที่มีรสเปรี้ยวมากขึ้น
น้ำนมจากบัวหิมะนี่เอง ที่มีสรรพคุณว่าเอาไปดื่มแล้วช่วยให้อาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่นปวดท้อง ปวดลำไส้ ระบบขับถ่ายไม่ปกติ มีอาการดีขึ้น ปวดท้องน้อยลงหรือไม่ปวดเลย ซึ่งคงเป็นสิ่งที่ทางการแพทย์เรียกว่า โปรไบโอติค (Probiotic) ซึ่งเป็นการใช้สารที่จุลินทรีย์ชนิดหนึ่งขับออกมา และช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นการทำงานที่ตรงข้ามกับการทำงานของยาปฏิชีวนะ (antibiotic) ที่จะทำลายจุลินทรีย์เกือบทุกชนิดทั้งมีประโยช์ และไม่มีประโยชน์ ในลำไส้คนเราก็จะมีจุลินทรีย์ หรือแบคทีเรียอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นตัวที่มีประโยชน์กับร่างกาย ทีนี้มันอาจจะมีน้อย หรือทำงานผิดปกติ เลยทำให้เราปวดท้อง หรือระบบขับถ่ายไม่ปกติ การที่กินนมจากบัวหิมะเข้าไป มันก็คงไปช่วยกระตุ้นการทำงานให้ดีขึ้น.. แหะๆ อันนี้สรุปเอาเองนะ.. ไม่ได้จบหมอมา.. ผิดถูกไงก็คิดเองละกัน
ผมหาเรื่องเกี่ยวกับ "โปรไบโอติค" มาใส่ไว้ในคอมเมนท์ข้างล่างแล้ว เผื่อใครสนใจจะไปอ่านเพิ่มเติม
สรรพคุณบัวหิมะ ส่วนนี้เป็นเนื้อหาที่พระให้มาเป็นกระดาษ ผมลองเทียบกับข้อมูลบนเว็บภาษาไทยหลายๆแห่ง ก็มีเนื้อหาคล้ายๆกันครับ คาดว่าคงจะมาจากแหล่งเดียวกัน แล้วก็บอกต่อๆกันไปเรื่อยๆ ผมลอง copy เอามาไว้ให้อ่านกันดูแล้วกัน
บัวหิมะชนิดนี้ ค้นพบโดยนักบวชชาวทิเบตและได้เลี้ยงดู มีสรรพคุณดังนี้
- ทำให้ระบบต่างๆของร่างกายสร้างภูมิชีวิตที่ดี
- สามารถป้องกันโรคหัวใจ และระบบการทำงานของหัวใจที่บกพร่อง
- สามารถช่วยให้การทำงานของตับ และม้ามดีขึ้น
- สามารถป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี และสลายนิ่วในถุงน้ำดี
- ช่วยให้ระบบขับถ่าย กระเพาะอาหาร ลำไส้ดีขึ้น
- สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ขจัดเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกาย
- ช่วยลดความดันโลหิต
- ช่วยทำให้การทำงานของไต และกระเพาะปัสสาวะดีขึ้น
- ระงับการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง
- ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย ลดความเครียด
บัวหิมะนี้ประกอบด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการหลายชนิด ศาสตราจารย์นายแพทย์ชาวโปแลนด์ ซึ่งไปปฏิบัติงานที่อินเดียและธิเบต ได้ป่วยเป้นโรคมะเร็ง และนักบวชชาวธิเบตได้ใช้บัวหิมะรักษาท่าน ผ่านไป 1 ปีครึ่ง อาการป่วยก็หาย และร่างกายก็แข็งแรงดังเดิม เขาได้ขอบัวหิมะจากนักบวชเพื่อนำไปเผยแพร่ แต่นักบวชได้ร้องขอ 3 ข้อดังนี้
- เลี้ยงบัวหิมะให้ดี จะทำให้สุขภาพแข็งแรง
- ห้ามจำหน่ายเด็ดขาด
- ถ้าเลี้ยงแล้ว เจริญเติบโตเกินต้องการ โปรดแจกให้ญาติและมิตรสหาย
วิธีเลี้ยงบัวหิมะ
- ใช้กระชอนกรองน้ำนมมาดื่ม แล้วล้างบัวหิมะและภาชนะที่ใส่บัวหิมะให้สะอาด หากจำเป็นสามารถใช้มือล้างเบาๆได้
- ดื่มก่อนนอนขณะท้องว่าง โดยไม่ดื่มร่วมกับเครื่องดื่มชนิดอื่น ให้ดื่มติดต่อกัน 20 วัน และให้หยุดพักเป็นเวลา 10 วัน
- ระหว่างพัก 10 วัน ให้ล้างบัวหิมะทุกคืน เมื่อล้างบัวหิมะสะอาดแล้ว ให้ใช้ภาชนะแก้วหรือพลาสติค เติมนมจืด 250 cc เก็บในอุณหภูมิห้อง 24 ชม.
- ห้ามเก็บในอุณหภูมิที่เย็นจัด รสนมจะมีรสเปรี้ยว
- ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะทุกชนิด
- บัวหิมะ จะเพิ่มเป็น 2 เท่าใน 18 วัน
หมายเหตุ: คัดลอกมาโดยไม่ได้แก้ไข โปรดใช้วิจารณญาณส่วนตัวประกอบ อย่างที่บอกว่าลอง search ดูใน google ส่วนใหญ่ก็จะเจอเนื้อหาคล้ายๆกัน แล้วก็มีมานานแล้วด้วย ก็เลยคิดว่าเนื้อหาข้างบน คงจะมีการบอกต่อๆกัน หรือเผยแพร่กันมา ซึ่งการบอกกันต่อๆมา เนื้อความบางส่วนอาจจะขาดตก หรือเพิ่มเติมขึ้นมาได้
เนื้อหาส่วนต่อไป ลองไปเอามาจากเว็บไซท์ต่างประเทศ เพื่อที่จะลองเปรียบเทียบกัน ก็ใช้ google อีกเหมือนกันหละ ใช้ keyword ว่า "Kefir" ได้มาหลายเว็บไซท์เหมือนกัน เลยเลือกบางส่วนเอามาโชว์ไว้ที่นี่ ตามไปอ่านดูได้ครับที่หัวข้อ What is Kefir?
Create Date : 10 กรกฎาคม 2549 |
|
6 comments |
Last Update : 20 มีนาคม 2550 1:01:35 น. |
Counter : 4125 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: dharma 10 กรกฎาคม 2549 19:41:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: dharma 10 กรกฎาคม 2549 19:49:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: วัล (onebeauty ) 22 กรกฎาคม 2549 21:42:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: dharma 24 กรกฎาคม 2549 20:01:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: หนุ่มร้อยปี (หนุ่มร้อยปี ) 26 กรกฎาคม 2549 13:21:52 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Probiotic คืออะไร?
คำว่า โปรไบโอติก (Probiotic) ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในรายงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของ Lilly และ Stillwell ในปี พ.ศ. 2508 เพื่อกล่าวถึงสารที่จุลินทรีย์ชนิดหนึ่งขับออกมา และช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นการทำงานที่ตรงข้ามกับการทำงานของยาปฏิชีวนะ (antibiotic) ที่จะทำลายจุลินทรีย์เกือบทุกชนิด
ในปี พ.ศ. 2517 Parker ได้ให้คำจำกัดความว่า โปรไบโอติก คือสิ่งมีชีวิตและสารเคมีที่มีผลต่อสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้
คำจำกัดความล่าสุด ซึ่งเสนอโดย Fuller ในปี พ.ศ. 2532 อธิบายคำว่า โปรไบโอติก คืออาหารเสริมซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต สามารถก่อประโยชน์ต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ โดยการปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย
คำว่าจุลินทรีย์ (micro-organism) หมายถึงสิ่งมีชีวิตซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ที่อาจมีโทษหรือมีประโยชน์ต่อเราก็ได้ แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดใหญ่ๆ คือ ไวรัส, ราหรือยีสต์, แบคทีเรีย และ พาราไซต์
ไวรัส เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กที่สุดได้แก่ เชื้อเอดส์, งูสวัด, และ เริม เป็นต้น
ราหรือยีสต์ ได้แก่ โรคผิวหนังที่ขึ้นตามที่อับชื้น มักทำให้มีอาการคัน
พาราไซต์ ได้แก่ เชื้อไข้มาเลเรีย
แบคทีเรีย น่าจะเป็นคำที่รู้จักแพร่หลายมากที่สุดในบรรดาจุลินทรีย์ที่กล่าวมาแล้ว และคนก็มักนึกถึงแต่เชื้อโรคอย่างเดียว ตัวอย่างของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคได้แก่ เชื้อวัณโรค เชื้อที่ทำให้เจ็บคอ หรือเชื้อที่ทำให้เราท้องเสียจากอาหารเป็นพิษ เป็นต้น แต่ยังมีแบคทีเรียที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายเรา ได้แก่แบคทีเรียที่ผลิตกรดแลคติกได้ ซึ่งอาจเรียกว่า แลคติกแอซิดแบคทีเรีย แบคทีเรียที่ดีเหล่านี้ คือโปรไบโอติกนั่นเอง ได้แก่ แลคโตบาซิลัส อะซิโดฟิลลัส (Lactobacillus acidophilus), เอนเทอโรคอคคัส ฟีคาลิส (Enterocossus faecalis), สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลัส (Streptococcus thermophilus) และ ไบฟิโดแบคทีเรียม ไบฟิดัม (Bifidobacterium bifidum)
แบคทีเรียที่ดี มีประโยชน์ต่อเรานี้ อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ของเรา ตั้งแต่เราเกิดเป็นทารก ทำหน้าที่ช่วยย่อยอาหารและผลิตสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้กับเรา ได้แก่ กรดอะมิโน กรดแลคติก พลังงาน ไวตามินเค ไวตามินบี และสารปฏิชีวนะธรรมชาติหลายชนิด ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้
1. กรดแลคติกที่แบคทีเรียผลิตออกมา จะทำให้สภาวะภายในลำไส้ มีความเป็นกรดมากพอที่จะยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียก่อโรค
2. ทำให้ระบบขับถ่ายดี ไม่เกิดการหมักหมมของของเสียในร่างกาย เป็นการลดอัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งตับ
3. ไวตามินบีที่ได้ จะทำให้เซลล์ในระบบภูมิต้านทานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังทำให้มีการผลิตเม็ดเลือดแดงดีขึ้นด้วย
4. ช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง และกำจัดสารก่อมะเร็งบางชนิด
5. แลคติกแอซิดแบคทีเรีย ยังช่วยลดระดับน้ำตาลและโคเลสเตอรอลในเลือดด้วย
6. นอกจากนี้ ยังผลิตเอนไซม์แลคเตส ซึ่งช่วยย่อยน้ำตาลในนม ทำให้เราไม่มีอาการท้องอืดจากการดื่มนม และช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น
Ref: //www.sookdee.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=2516&Ntype=3