|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
: : ตะกายภูชี้ฟ้า.. : :
ใครๆ เขาก็ตื่นแต่มืดไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ฟ้ากัน (เพราะภูนี้ชี้ฟ้าไปทางทิศตะวันออก คือปะเทดลาวนั่นเอง)...
แต่เย็นนี้เราขอขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกทำทุนไว้ก่อนซักรอบนึงเหอะ.... โฮ้ย...นั่งรถมาตั้งไกลขนาดนี้ต้องขอขึ้นภูให้คุ้มหน่อยดิ พรุ่งนี้ก็ต้องไปที่อื่นแล้ว...
เท้าความจากบล็อกที่แล้วนิดนึง...เราเดินทางจากเชียงใหม่รวดเดียวถึงภูชี้ฟ้าในยามเย็น (ผ่านพะเยา)...
แวะถ่ายรูปตามสบายแล้วเราก็ไปถึงบ้านร่มฟ้าไทยประมาณห้าโมงเย็นกว่าๆ แสงแดดอ่อนๆ ยังสว่างใสเพราะฝนเพิ่งหยุดตกไป (โชคดีจัง.. เพราะวันนั้นเราตัดสินใจจะขึ้นไปสำรวจภูชี้ฟ้ากันก่อนซักรอบนึงก่อนที่จะตื่นตีห้าไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้... ถ้าฝนยังตกพรำๆ อยู่ทางคงลื่นเดินขึ้นไม่สะดวกแน่เลย...)
ก่อนขึ้นภูเราแวะไปที่รีสอร์ทที่จองไว้ ชื่อ "ภูชี้ฟ้าอินน์" ตั้งอยู่ริมหน้าผาในหมู่บ้านเล็กๆ เชิงดอย ที่เรียกว่า บ้านร่มฟ้าไทย ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย...
ห้องที่จองไว้เป็นแบบบังกะโลหลังเล็กๆ ราคาคืนละห้าร้อยบาท มีสองเตียง ถ้าครอบครัวเราพักก็ต้องใช้บังกะโลสองหลังติดกัน เราดูบรรยากาศแล้วยังไม่ค่อยถูกใจ เพราะเรามาด้วยกันพ่อแม่ลูกก็เลยเป็นห่วงเด็กๆ ถ้าจะอยู่คนละบ้าน...
เจ้าของรีสอร์ทก็เลยพาไปดูบ้านพักหลังใหญ่ริมหน้าผา เป็นห้องใหญ่ห้องเดียวมีสี่เตียง คืนละพันห้า ห้องน้ำใหญ่มากที่แปลกคือมีหินก้อนใหญ่ยักษ์อยู่ในห้องน้ำ มีหน้าต่างใหญ่กระจกใสไว้ชมวิวภูเขาซะด้วย...
ลูกสาวบอกว่าบนหินก้อนยักษ์ในห้องน้ำที่ทำเป็นสไตล์ไฮโซเนี่ยมีแมงมุมเกาะอยู่ด้วย ทำท่าขนลุกขนพอง... แต่เราก็บอกว่าแผ่เมตตาให้เขาไปเถอะ สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมโลก เราไม่ทำเขา เขาก็คงไม่มาทำอะไรเราหรอกน่า...
บ้านริมผา มีก้อนหินอยู่ทั้งนอกบ้านและในบ้าน มีของแถมคือแมลงและผีเสื้อเยอะมาก...ทั้งนอกบ้านและในบ้านเช่นกัน ต้องทาก.ย.15ทั้งแขนขาเพื่อให้มั่นใจว่า ทั้งคนและแมลง ขอให้ต่างคนต่างอยู่นะจ๊ะ
หินในห้องน้ำที่ดูไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรเล้ย วางของก็ไม่ได้... คงจะให้ดูเป็นธรรมชาติๆ กระมัง แต่กลายเป็นที่อยู่ของแมงมุมไป...
จากที่พัก นั่งรถไปอีกแป๊บนึงก็ถึงลานจอดรถ ซึ่งโล่งและร้างไร้ทั้งรถราและผู้คน น่าจะเป็นเพราะใกล้ค่ำแล้ว จะมีใครอุตริมาชมวิวภูชี้ฟ้ายามเย็นอย่างเรา...
คือเราก็เคยไปภูกระดึงมาแล้วก็พอจะเข้าใจน่ะนะว่าจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น ก็มักจะไม่มีวิวพระอาทิตย์ตกงามๆ ให้ชม แต่ก็ไม่รู้ละ... เราว่าเย็นวันนั้นฝนก็หาย อากาศก็ใสดี มาสำรวจเส้นทางไว้ก่อนก็ไม่เห็นเสียหาย เผื่อว่าพรุ่งนี้ฝนตกฟ้าปิด หรือทางดินเละจนขึ้นไม่ไหว อย่างน้อยเราก็ยังได้เก็บรูปภูยามเย็นนี้ไว้บ้างแระนิ....
ทางขึ้นภูเดินสบายๆ มีทุ่งหญ้าสองข้างทาง ช่วงแรกๆ มีการเซาะดินเป็นขั้นๆ ไว้นิดนึง ต่อไปก็เป็นทางดินปนหินและมีหญ้าขึ้นเป็นกอๆ (บรรยายไม่ค่อยถูก) ลื่นพอประมาณ เราและสมาชิกได้ล้มก้นกระแทกกันไปคนละทีสองที...
เดินขึ้นไปบ่นไป 760 เมตร ก็ใช้เวลาแป๊บเดียวนะถึงจุดยอดฮิตในการถ่ายรูปยอดภู เห็นภูชี้ฟ้าชัดเจนแจ่มแจ๋วมาก
ยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำอย่างนี้ ภูชี้ฟ้าดูเงียบเหงาเชียว ไม่มีใครอื่นซักกะคนเล้ยนอกจากพวกเรา แต่เราว่าบรรยากาศเงียบๆ แบบนี้ ก็ทำให้ภูชี้ฟ้าดูสงบงามดีไปอีกแบบ นึกภาพบรรยากาศภูที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเป็นพันเป็นหมื่นแล้วคงน่าสยองพิลึก...
ฟ้าหลังฝนสดใส อากาศสดชื่นเย็นสบายกำลังดี และไม่หนาวเลย ราวๆ 18 องศาเซลเซียสเอง แต่เราเดินขึ้นภูจนเหนื่อยแฮกเหงื่อแตกก็เลยได้อบอุ่นร่างกายไปในตัว...
หกโมงเย็นกว่าๆ พระอาทิตย์ก็กำลังจะตกอยู่ด้านตรงข้าม ก็คือตกในเทือกเขาสลับซับซ้อนรอบๆ ตัวนั่นแหละ แต่เราก็ไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์กลมๆ จนแล้วจนรอดเพราะเมฆ หมอก เยอะตามเคย...
มองไปเบื้องล่างทางดินแดนลาวก็ได้เห็นทะเลหมอกสวยงามเหมือนในรูปที่เคยเห็นๆ กัน อาจจะเป็นบรรยากาศสลึมสลือไปหน่อยเพราะมันมืดลงๆ เรื่อยๆ...
เช้าวันรุ่งขึ้นลูกสาวตั้งนาฬิกาปลุกตีห้า ไม่มีใครอาบน้ำตามฟอร์ม แปรงฟันก็ไม่แปรง อ้างว่ากลัวแมงมุม...
สองคนนี้ใส่เสื้อหนาวเสร็จออกมารอหน้าบ้าน ตีห้ายังหนาวอยู่หน่อยนึง แล้วเราก็ขึ้นรถไปที่เดิม ไปถึงลานที่จอดรถตีห้าครึ่งได้ ยังมืดตึ๊ดตื๋อ ต้องเตรียมไฟฉายไปส่องทางเดินขึ้นภูด้วย...
อู้ฮู อะไรกันเนี่ย... รถตู้ รถสองแถว แน่นลานจอดรถ คนมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะเลย ใครๆ ก็พากันเดินขึ้นภูในความมืดกันเป็นทิวแถว แต่ก็ดีนะไม่ค่อยมีใครเอะอะโหวกเหวกสักเท่าไหร่...
(ยกเว้นบนยอดภู... ขอบ่นนิด... มีคณะทัวร์คุณป้าคุณน้ากลุ่มนึง เหมือนเป็นกลุ่มครูและผอออจากโรงเรียนอะไรซักอย่าง ขึ้นไปจับกลุ่มแหกปากร้องเพลงและถ่ายวิดีโอเสียงดังสนั่นแบบไม่เกรงใจใครบนยอดภูชี้ฟ้า ร้องเป็นสิบๆ เพลงเลยนะ อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว แถมยังทำท่าถ่ายรูปแบบกระโดดตัวลอยด้วย แต่เท่าที่เราแอบมอง โดดไม่ค่อยขึ้นเลยแฮะ... เราเห็นนักท่องเที่ยวฝรั่งคู่นึงมองๆ มาอย่างงงๆ แล้วยังอายแทน...ลูกเราเห็นแล้วยังแอบขำๆ ว่า โรงเรียนนี้หนูไม่ไปเรียนนะแม่...)
คุณลูกสาวคนเล็กเดินไปบ่นไปอีกตามเคย ทั้งๆ ที่เมื่อวานก็ลองเดินขึ้นไปแล้วว่าเดินแป๊บเดียว
การเดินขึ้นภูยามเช้า แม้ว่าจะเป็นการเดินในความมืด แต่ความที่มีผู้คนเยอะแยะ ก็เลยน่าสนุกดีเหมือนกัน...
ทางเดินขึ้นออกจะลื่นและชื้นแฉะพอสมควรจากน้ำฝนและน้ำค้าง ท้องฟ้าก็จะค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ปรากฎว่าหมอกลงจัดมาก เหมือนกับว่าเราเดินขึ้นไปในสายหมอกเลยก็ว่าได้ เพราะรู้สึกถึงละอองไอน้ำเย็นๆ ที่ลอยผ่านหน้าเราไป...
ปักหลัก ณ ชัยภูมิเหมาะๆ ให้คนข้างตัวตั้งขากล้องหมอกอันมากมายทำให้ภาพดูเบลอๆ ดูย้อนยุคดี...
ในความขาวมัวสลัวเรือนรางของก้อนหมอก เหมือนมีแค่สองคน แต่จริงๆ แล้วแถวๆ นั้นมีผู้คนเป็นร้อยเป็นพันเลยละค่ะ
ช่างภาพสมัครเล่นกำลังใจตุ๋มๆ ต้อมๆ ว่าหมอกจะหายไปก่อนได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นละป่าวน้า...
เมื่อเริ่มจะเห็นแสงแรกของดวงอาทิตย์ หมอกเริ่มบางตัวลง ยอดภูค่อยๆ เผยตัวพร้อมๆ กับเห็นเงาตัวคนอันมากมาย...
เกือบแล้ว... พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว เอ๊ะ...หรือว่ามันขึ้นไปแล้วอยู่หลังเมฆก็ไม่รู้แฮะ...
หกโมงกว่าแล้วหมอกก็ยังลอยมาเป็นระลอกๆ ไม่หยุดหย่อน เลยเบรคการรอคอยมาถ่ายรูปน้ำค้างบนยอดหญ้าซะหน่อย...
การรอคอยเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นบนหน้าผาสูงนี่มันช่างให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ดีจัง เหมือนกับว่าเราได้มาเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์แห่งธรรมชาติอันมหัศจรรย์... งดงาม... อลังการ...โดยปราศจากการปรุงแต่งใดใด...
ทุกนาทีที่ผ่านไป ภาพของธรรมชาติที่เห็นอยู่เบื้องหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด โดยแสงเงาไม่มีซ้ำกันเลย...
เราไม่ได้เป็นช่างภาพมืออาชีพ ก็เลยเก็บภาพมาได้แบบตามมีตามเกิด... ภาพที่นำมาลงไว้ ณ ที่นี้ บอกได้เลยว่าเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เห็นประจักษ์ด้วยสายตาเราเอง สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ...
ทะเลหมอก ทำให้ยอดเขาดูคล้ายเกาะ... งดงามเหมือนภาพในฝัน...
แค่กะพริบตานิดเดียว พอมองไปอีกที หมอกก็ลอยตัวออกไป ทำให้พอจะมองเห็นทิวเขาเขียวขจีที่แอบตัวอยู่เบื้องล่าง
ตกลงพระอาทิตย์ไปขึ้นอยู่หลังภู...แป่วววว... เอ..หรือว่าเรายืนผิดที่ เราควรจะไปหาจุดที่เบียงไปทางขวามากกว่านี้หรือเปล่า จะได้จับภาพดวงอาทิตย์ได้ชัดๆ แต่นี่มันก็ริมหน้าผาแล้วนา... ยังไงก็แล้วแต่ ไว้มาเที่ยวหน้าละกัน...
คอยแต่เธอ... เฝ้ารอ...อย่างใจจดจ่อ...
ภาพสุดท้ายของภูชี้ฟ้า ณ จุดชมวิวจุดนี้... ปีหน้าฟ้าใหม่ค่อยมาใหม่เน้อ...
หลังจากเก็บภาพยอดแหลมๆ ของภูชี้ฟ้า ณ จุดชมวิวจุดเดิมที่เราตั้งหลักปักฐานอยู่นานเกือบสองชั่วโมง เราก็เดินเท้าขึ้นสู่ยอดแหลมๆ ของภูที่เห็นคนตัวเล็กๆ อยู่บนนั้น...
ระหว่างทางเดินขึ้นยอดภู เลยได้เห็นอีกมุมมองของปลายแหลมๆ ที่มีลักษณะของก้อนหินแถวหน้าผาแปลกตา
วิวบนยอดภู โอ๊ววว...งามแต้ๆ...
วิวบนยอดภูชี้ฟ้า มองไปได้กว้างไกลรอบด้านแบบ 360 องศาเลยเชียว มีทั้งเทือกเขา ทะเลหมอก ท้องฟ้า...
รู้สึกเหมือนได้เป็นผู้พิชิตยอดเขา ยังกับเราได้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของโลกเลยเชียว (ดูสารคดี "เอเวอร์เรสต์" มากไปหน่อย เห็นวิวซัมมิตแล้วอิจฉาๆ)....
ภูกระดึงที่เราเคยไปก็ไม่ได้ความรู้สึกอย่างนี้นะ เพราะที่นั่นเป็นยอดเขาตัดเหมือนเป็นเขียง ไปดูวิวพระอาทิตย์จึ้นหรือตก ก็ไปดูที่หน้าผา ก็จะเห็นวิวแค่ 180 องศา ไม่เหมือนจุดซัมมิตภูชี้ฟ้าอย่างนี้...
ถ้าไม่ได้มาสักครั้งนึงในชีวิตจะน่าเสียดายมาก เพราะการได้ขึ้นไปอยู่บนยอดภูชี้ฟ้า ช่างเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ...
Create Date : 01 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 20:24:55 น. |
|
15 comments
|
Counter : 1699 Pageviews. |
|
|
|
โดย: หน่อยอิง วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:09:15 น. |
|
|
|
โดย: mamminnie วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:12:28 น. |
|
|
|
โดย: chalawanman วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:56:01 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:39:48 น. |
|
|
|
โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:41:42 น. |
|
|
|
โดย: ratta วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:18:20:55 น. |
|
|
|
โดย: ยายเก๋า (ชมพร ) วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:23:38:22 น. |
|
|
|
โดย: mukphuket วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:50:54 น. |
|
|
|
โดย: chinging วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:56:02 น. |
|
|
|
โดย: tuktikmatt วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:4:23:31 น. |
|
|
|
โดย: คนขับช้า วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:43:30 น. |
|
|
|
โดย: น้องหลิน (ย่าชอบเล่า ) วันที่: 14 ธันวาคม 2551 เวลา:17:13:35 น. |
|
|
|
|
|
|
|