OUR LIFE IS SIMPLY A REFLECTION OF OUR ACTIONS. IF YOU WANT MORE LOVE IN THE WORLD, CREATE MORE LOVE IN YOUR HEART!!
Group Blog
 
 
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
29 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
แสบซ่าส์วาสนา “แจ๋ว”! ตอนที่ 3…โห้…ได่เงิ่นหมื๊นแล่วเด้อออ!!



…..ท่านผู้อ่านทราบไหมว่าคนทำงานส่วนใหญ่เก็บเงินออมได้เดือนละเท่าไร
และเงินออมที่เก็บกันนั้นคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้
แล้วตัวท่านเองล่ะได้มีการวางแผนเก็บเงินออมด้วยหรือไม่และเก็บได้เดือนละเท่าไร?

ไม่ได้มีเจตนาหรือตั้งใจจะจั่วหัวด้วยเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มาให้รู้สึกเครียดกันนะ
แต่มีความหวังเล็ก ๆ ว่าเรื่องที่เล่าจะสอดแทรกข้อคิดและมุมมองต่าง ๆ
ที่เป็นประโยชน์ในการช่วยสร้างกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับเพื่อน ๆ
ในการนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขต่างหาก…

สำหรับคนที่ไม่มีภาระอาจจะเก็บเงินออมได้มากเกือบจะทั้งหมดของเงินเดือน
บ้างก็เก็บได้เป็นครึ่งหนึ่งของเงินเดือนหรือน้อยกว่า
แต่ปัญหาก็คือทุกคนมีภาระที่จะต้องใช้จ่ายทุกเดือน
เงินเดือนหรือรายรับที่ได้มาแต่ละเดือนส่วนใหญ่
จึงหมดไปกับค่าใช้จ่ายประจำเดือนที่มักจะประกอบด้วย

>ค่าอาหาร/ค่าเครื่องดื่ม
>ค่าที่พักอาศัย/ค่าเช่าบ้าน
>ค่ารถ/ค่าน้ำมัน/ค่าเดินทาง
>ค่าเล่าเรียนบุตร/ตนเอง
>ค่าน้ำ/ค่าไฟ/ค่าโทรศัพท์
>ค่าเสื้อผ้า/ค่าเครื่องแต่งกาย
>ค่าดูหนัง/ฟังเพลง/ค่าไปเที่ยว
>ค่าภาษีสังคม/ค่าเลี้ยงลูกน้อง
>ค่าจีบหนุ่ม/จีบสาว
>สารพัดค่าโสหุ้ยต่าง ๆ นับสิบนับร้อยรายการ

คนที่เป็นผู้นำของครอบครัวก็จะต้องรับผิดชอบทั้งค่าใช้จ่ายของตนเอง
แถมพ่วงด้วยค่าใช้จ่ายของสมาชิกทุกคนภายในครอบครัว
ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องบุตรและญาติพี่น้อง

บางคนต้องส่งเสียน้อง ๆ เรียนหนังสือ
ทั้งที่เป็นน้องแท้ ๆ ของตนเองหรือน้องที่แสนน่ารักของคนอื่น
บางคนต้องทำงานไปด้วยและส่งเสียตัวเองเรียนไปด้วย

เห็นไหมว่าทุกคนมีภาระต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายมากมายด้วยกันทั้งสิ้น
แต่จะมากหรือน้อยกว่ากันขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจของแต่ละครอบครัว
ถ้าทุกคนต่างก็มีภาระที่จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายมากมายเช่นนี้แล้ว
การที่จะเก็บออมเงินให้ได้มากที่สุดหรือแม้แต่เพียงครึ่งหนึ่งของเงินเดือน
หรือมากกว่าก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายนัก

สำหรับบางคนหรือหลาย ๆ คนแล้วอย่าว่าแต่เงินออมเลย
แม้แต่การที่จะทำให้รายรับที่ได้มาแต่ละเดือน
สามารถใช้ได้จรดเดือนต่อเดือนและไม่เป็นหนี้เป็นสินได้ก็นับเป็นบุญโขแล้ว

สมมุติว่าท่านผู้อ่านไม่ได้เป็นคนที่โชคร้ายถึงขนาดที่จะมีรายได้ไม่พอใช้
หรือเป็นหนี้เป็นสินที่สูงท่วมหัวจนกลายเป็นภาระรัดตัวแบบหายใจไม่ออก
แต่ท่านสามารถจัดสรรเงินเดือนหรือรายได้ส่วนหนึ่งมาเป็นเงินออมได้ก็แล้วกันนะ

เอาเป็นว่าเรามากำหนดการเก็บเงินออมเริ่มต้นที่เดือนละ 10% ของรายได้กันก่อน
ซึ่งถ้าหากท่านต้องการที่จะออมเงินให้ได้เดือนละ 1,000 บาทหรือ 10%
นั่นก็หมายความว่าท่านจะต้องมีรายได้หรือเงินเดือน ๆ ละ 10,000 บาท

และถ้าท่านต้องการออมเงินเดือนละ 2,000 หรือ 3,000 หรือ 4,000 บาท
ท่านก็จะต้องมีรายได้เดือนละ 20,000 หรือ 30,000 หรือ 40,000 บาท
แม่นบ่?

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แล้วหากคนที่ทำงานอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ
คิดจะหยอดเงินใส่กระปุกให้ได้เดือนละ 10,000 บาท
ท่านผู้อ่านคิดว่าคนทำงานคนนั้นจะต้องได้เงินเดือนเท่าไรจึงจะสามารถเก็บเงินก้อนนี้ได้
แน่นอนว่าท่านจะต้องมีรายได้ถึงเดือนละ 100,000 บาทใช่ไหม?

ท่านผู้อ่านที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่หลาย ๆ ท่านอาจจะสามารถทำได้เช่นนั้นจริง ๆ
แต่คนส่วนใหญ่คงจะไม่สามารถทำเช่นที่ว่านี้ได้เป็นแน่
หรือถ้าจะมีใครทำได้ก็คงจะเป็นเพียงกลุ่มคนส่วนน้อยเท่านั้น

นั่นก็หมายความว่าคนส่วนน้อยที่จะเก็บเงินออมให้ได้เดือนละ 10,000 บาท
ก็จะต้องเป็นผู้ที่มีรายได้เดือนละ 100,000 บาทอย่างที่ว่าไว้แต่ต้นนั่นเอง!!

ท่านเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้หรือไม่?
ถ้าใช่...
ขอแสดงความยินดีด้วย
ท่านโชคดีกว่าคนจำนวนมากในโลกนี้!

ถ้าไม่ใช่..
ท่านไม่ใช่คนที่โชคร้าย
เพียงแต่ท่านยังไม่ได้เริ่มต้นลงมือทำมันต่างหาก
หรือถ้าจะโทษฟ้าลิขิตก็คงเพราะว่าเวลานั้นของท่านยังมาไม่ถึง

เวลาของฉันได้มาถึงและฉันก็ทำได้แล้ว…
เพราะตอนนี้ฉันสามารถออมเงินได้เดือนละเป็น 10,000 บาทเหมือนกัน
(ห้ามถามนะว่าเป็นกี่ % ของเงินเดือนเพราะจ้างก็ไม่บอก!)

แต่เงินออมที่ฉันเก็บได้นั้นก็อยู่ได้ไม่ทน…
เพราะพอเก็บไปได้เป็นแสนพอให้ชื่นใจว่าใกล้รวยแล้ว
ก็ต้องเบิกออกมาจ่ายเป็นค่าเทอมของเด็ก ๆ จนหมดเกลี้ยงทุกทีไป
จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าการลงทุนในด้านการศึกษา
เป็นการลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงสุดคืนกลับมาเมื่อเด็ก ๆ เติบโตขึ้น…

แต่คุณเชื่อไหมว่า “นังแจ๋ว” ก็ทำได้เหมือนกัน???
นังแจ๋วสามารถเก็บเงินได้เดือนละเป็นหมื่น
แถมเงินยังอยู่ในบัญชีได้ทนซะด้วย!!

ท่านผู้อ่านคงจะไม่เชื่อละซิว่านังแจ๋วสามารถเก็บเงินได้เดือนละเป็นหมื่นจริง ๆ
(Oops! จะมีใครท้าให้โชว์หลักฐานไหมเนี่ย?)
ถ้ามีก็ยินดีรับท้าแต่จะขอไม่ถึง 5 แสนหรอก
ขอแค่เลี้ยงข้าวแกง 1 จานก็พอ…555

เงินออมที่นังแจ๋วเก็บนั้นคิดเป็นเกือบ 100% ของเงินเดือนทีเดียวแหละ
เพราะตอนนี้นังแจ๋วได้เงินเดือน ๆ ละประมาณ 11,000 บาท
ไม่รวมเงินพิเศษอื่น ๆ ที่มักจะได้รับเสมอ ๆ จากคนนั้นคนนี้
แต่เท่าที่ฉันได้สอดรู้สอดเห็นและพอจะแอบนำมาเม้าท์ให้ท่านผู้อ่านฟังได้ก็คือ

เงินพิเศษเดือนละประมาณ 200-300 บาทจากน้องเล็ก
สำหรับค่าหนังสือดาราภาพยนตร์คู่สร้างคู่สมและอื่น ๆ
ที่น้องเล็กอ้างว่านังแจ๋วชอบอ่านแต่จริง ๆ พอซื้อมาปุ๊บน้องเล็กชิงอ่านก่อนเพื่อน

เงินพิเศษ 1,000 บาทจากตัวฉันเองที่ให้นังแจ๋วเป็นประจำทุกเดือน
ตั้งแต่เดือนแรกที่ได้งานทำหลังจากตกงานแต่เหตุผลของฉันต่างจากน้องเล็กนะ
แต่จะเป็นด้วยเหตุผลอะไรนั้นแล้วจะเล่าให้ฟังในตอนต่อ ๆ ไป

เงินพิเศษสองรายการข้างต้นไม่รวมเงินแถมเล็กน้อย ๆ
ไม่รวมเงินพิเศษจากคนอื่น ๆ หรือเนื่องในโอกาสพิเศษต่าง ๆ
เช่นวันเกิดของนังแจ๋ววันตรุษจีนหรืองวดที่สมาชิกในบ้านถูกหวย 555
ฯลฯ

อ้อ..แล้วก็ไม่รวมเงินดอกเบี้ยของนังแจ๋วเอง
ที่มีเงินถุงเงินถังฝากประจำแบบไม่เผื่อเรียกกับเขาด้วย!!

เนื่องจากสาเหตุของเงินพิเศษต่าง ๆ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ที่นั่งแจ๋วสามารถเก็บออมเงินได้เดือนละเป็นหมื่นเพราะเดือนหนึ่ง ๆ
นังแจ๋วแทบไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย!!

เดี๋ยวนี่นั่งแจ๋วบ่ต่องให่เงิ่นอีผ่ออีแม่ไซ่แล่ว
มื่ออื่นซิม่าบอกว่าเป่นอิหยัง
ใน่ต๋อน “ส่งแอ๋วเรียนรามฯ” เด้อออ…

ฮั่นแน่…อยากจะเป็นนังแจ๋วกันเป็นแถวเลยใช่ไหมอ้า?
เรไร…เอ๊ย…“เลขาฯ ตัวแสบ!” เองก็ยังอยากเป็นนังแจ๋วเหมือนกัน
แถมยังรู้สึกอิจฉานังแจ๋วมาตลอดเสียด้วยซิ

ถ้าจะให้ร่ายรายการที่น่าอิจฉาของนังแจ๋วในตอนนี้
ก็คงจะยาวเป็นหางว่าวและคิดไม่ออกทั้งหมด
เอาเป็นว่าจะเล่าไปเรื่อย ๆ คิดอะไรได้ก็คิดไปเขียนไปก็แล้วกัน

มันก็แปลกดีนะ…
ไม่มีใครพอใจในสิ่งที่ตนเป็นและมีอยู่
เราจึงมักเห็นสิ่งที่คนอื่นเป็นและมีอยู่เป็นสิ่งที่น่าอภิรมณ์
และใคร่อยากได้อยากเป็นอยู่เสมอ ๆ

จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยคุยกับ CEO พันล้านของฉันนี่แหละ
อยู่ ๆ นายก็บอกว่าอิจฉาฉันที่ดูน่าจะมีความสุขมาก
เพราะนายคิดว่าฉันน่าจะมีชีวิตที่หลาย ๆ คนปรารถนา

นายมองว่าฉันมีหน้าที่การงานที่ดี (ตอนพูดนายคงลืมไปว่าฉันได้ดีเพราะนาย!)
นายมองว่าฉันมีญาติพี่น้องที่ดี (อันนี้จริง)
นายมองว่าฉันมีลูก ๆ ที่น่ารัก (อันนี้ก็จริง)
นายมองว่าฉันมีทุกอย่างเพรียบพร้อมน่าอิจฉา
(อันนี้...ไม่จริง…เพราะไม่มีใครพอใจในสิ่งที่ตนเป็นและมี)

อืมมม…
ฉันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือ?
อาจจะจริงในสายตาคนอื่น
แต่ในความรู้สึกของฉันเองแล้ว
ฉันว่าฉันไม่ใช่เป็นคนที่น่าอิจฉาเลยสักนิดนะ…

นายต่างหากที่เป็นคนที่น่าอิจฉามากที่สุดในโลก
นายร่ำรวยเป็นพันล้าน
นายมีทุกอย่างและสามารถทำในสิ่งที่อยากได้อยากทำ
นายเป็นอะไรที่คนทั้งโลกอยากจะเป็น…

เพียงแต่เงินทองและทรัพย์สินจำนวนมหาศาลของนาย
อาจจะนำมาซื้อความสุขหรือแม้แต่ความรักที่นายต้องการไม่ได้
เป็นปัญหาโลกแตกที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
หรือว่านี่กระมังที่เป็นปัญหาลึก ๆ ในใจของนาย
ที่ทำให้นายบอกว่าอิจฉา “เลขาฯ ตัวแสบ!” คนนี้?

ฉันเองก็อิจฉานาย…
อิจฉาท่านผู้อ่านที่มีเวลามาอ่านและเสพสุขกับเรื่องเล่าของฉันในขณะนี้
ในขณะที่ฉันอาจจะกำลังเครียดว่าฉันจะนำเสนอเรื่องอย่างไร
ที่จะทำให้ท่านผู้อ่านได้ประโยชน์มากที่สุดจากการอ่านในครั้งนี้

ทำอย่างไรให้ท่านผู้อ่านได้ข้อคิดที่ดี ๆ
ทำอย่างไรที่จะทำให้ท่านผู้อ่านที่อาจจะกำลังท้อแท้
เกิดกำลังใจและมีแรงบันดาลใจอยากจะลุกขึ้นมาทำสิ่งดี ๆ
ให้กับชีวิตของตนเองบ้างทั้งที่ไม่เคยคิดว่าอยากจะทำหรือจะทำได้

ทำอย่างไรจะให้เรื่องที่เขียนออกมาเป็นเชิงบวกที่เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด
แทนที่อ่านแล้วจะเกิดโทษทำให้รู้สึกหดหู่หรือห่อเหี่ยวหนักกว่าเดิม
ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันคงจะรู้สึกเสียใจมากเพราะนั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์
ของการนำเรื่องต่าง ๆ จากประสบการณ์จริงมาเล่าสู่กันในครั้งนี้…

มาฟังเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของนังแจ๋วกันต่อดีกว่า
ในช่วงปีแรก ๆ ของเทศกาลตรุษจีน
นังแจ๋วจะใส่ซองอั่งเปาหรือแต๊ะเอียให้กับลูก ๆ ทั้ง 3 ของฉันคนละ 200 บาท
เท่ากับเด็ก ๆ จะได้เงินจากซองอั่งเปาของนังแจ๋วรวม 600 บาท
ส่วนฉันจะใส่ซองให้นังแจ๋ว 1,000 บาทซึ่งหล่อนก็จะได้กำไร 400 บาท

ปีต่อ ๆ มานังแจ๋งเริ่มมือเติบใส่ซองอั่งเปาให้เด็ก ๆ คนละ 500 บาท
ฉันก็เพิ่มซองให้นังแจ๋วเป็น 2,000 บาทเพื่อไม่ให้หล่อนขาดทุน
ทั้งนี้ไม่นับรวมเงินพิเศษที่ให้นังแจ๋วเป็นประจำอีกเดือนละ 1,000 บาท
สรุปแล้วหล่อนก็จะได้กำไรจากฉัน 500 บาท

ซึ่งการใส่ซองอั่งเปาโดยนังแจ๋วและตัวฉันก็จะทำเช่นนี้ติดต่อกันมาหลายปีแล้ว
ล่าสุดในปีนี้ฉันก็ให้ลูก ๆ จดรายการซองอั่งเปาของตนเองเหมือนทุก ๆ ปี
ว่าได้รับจากญาติ ๆ คนไหนเท่าไรและรวมเป็นเงินเท่าไรก่อนนำไปหยอดกระปุก
พอมาถึงซองของนังแจ๋วเด็ก ๆ บอกว่า “พี่แจ๋ว” ใส่ซองให้คนละ 1,000 บาท

จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก…!!
แล้วฉันจะรู้ไหมนั่นว่าปีนี้นังแจ๋วเกิดใจป้ำ
ขนาดใส่ซองอั่งเปาให้ลูก ๆ ของฉันทั้ง 3 คน ๆ ละ 1,000 บาท
ในขณะที่ฉันก็ยังคงใส่ซองแต๊ะเอียให้หล่อน 2,000 บาทเท่าเดิม
สรุปปีนี้นังแจ๋วขาดทุนจากฉัน 1,000 บาท!!

ฉันบอกกับเด็ก ๆ ว่าคุณแม่ไม่รู้มาก่อนว่าปีนี้พี่แจ๋วใส่ซองให้เด็ก ๆ คนละ 1,000 บาท
จึงให้พี่แจ๋วแค่ 2,000 บาทเหมือนทุกปี
แต่ปีหน้าคุณแม่คิดว่าจะใส่ซองให้ “พี่แจ๋ว” 4,000 บาท
พี่แจ๋วก็จะได้กำไร 1,000 บาท
แต่ถ้าคุณแม่ใส่ซองให้ 2,000 บาทเท่าเดิม
พี่แจ๋วก็จะขาดทุน 1,000 บาทซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ

ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันคิดและถ่ายถอดให้เด็ก ๆ น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้เขาได้เรียนรู้
และสามารถนำไปใช้หรือปฏิบัติกับผู้อื่นตอนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่ได้

แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันคิดในใจและไม่ได้บอกลูก ๆ ก็คือ
ถ้าปีหน้านังแจ๋วดันเกิดใจป้ำใส่ซองอั่งเปามากกว่าเดิมหรือคิดจะเกทับฉันอีกละก็
ตัวใครตัวมันเด้อออ!!!

พูดถึงเรื่องซองอั่งเป่าแล้วก็มีเรื่องความมีวาสนาดีของนังแจ๋วเพิ่มเติมให้อีก
ทุกปีเวลาไปซินเจียหยู่อี่ในเทศกาลตรุษจีนกับญาติผู้ใหญ่
นอกจากจะพาลูก ๆ ทั้ง 3 ของฉันไปด้วยแล้วก็จะมีนังแจ๋วติดตามไปด้วยเสมอ

ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทุกครั้งเวลาพาลูก ๆ ไปไหนมาไหนในวันหยุด
จะต้องมีนังแจ๋วนั่งเป็นเหมือนตำรวจจราจรคอยบอกทางฉันเสมอ
เพราะนังแจ๋วเป็นคนที่มีความจำดีและรู้จักเส้นทางมากมาย
ในขณะที่ฉันจะเป็นคนที่มีเรื่องของ Sense of Directions แย่ถึงแย่มาก ๆ

ดังนั้นทุกปีนังแจ๋วก็จะได้ซองอั่งเปาจากญาติผู้ใหญ่ทุกคนเหมือนกับลูก ๆ ของฉัน
ตั้งแต่ซองละประมาณ 400-1,000 บาทติดตัวกลับมาด้วยทุกครั้ง
เฉพาะซองอั่งเปารวมแล้วน่าจะได้ร่วมหมื่นบาท
นี่ไม่รวมโบนัสที่หล่อนจะได้จากบริษัทอีกหนึ่งเท่าของเงินเดือนเป็นอย่างต่ำนะ
โอ้ย…คิดแล้วอยากเป็นนังแจ๋วซะจริง ๆ

พูดถึงเรื่องเงินทองของนังแจ๋วแล้วมีเรื่องเม้าท์อีกมากมาย
เรื่องหนึ่งที่ฉันยังจำได้จนทุกวันนี้ด้วยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ก็เรื่องเงินเดือนและการขึ้นเงินเดือนของนังแจ๋วนั่นแหละ

จำได้ว่าในปีที่ฉันเพิ่งเข้าไปทำงานใหม่ ๆ กับบริษัทที่ยังคงทำอยู่ถึงตอนนี้เป็นปีที่ 7 แล้ว
ในปีแรกฉันได้ขึ้นเงินเดือน 5,000 บาทตามข้อตกลงที่นายจะขึ้นให้หลังทดลองงาน
ปีที่สองเป็นปีหลังการถล่มตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ซึ่งได้กระทบผลกำไรของบริษัทอย่างมาก
แต่ฉันก็ยังโชคดีได้ขึ้นเงินเดือนกับเขาด้วยเป็นเงิน 1,000 บาท
กระนั้นถ้าเทียบเป็น % แล้วเป็นการขึ้นเงินเดือนน้อยที่สุดในชีวิตการทำงานของฉัน

แต่ในปีเดียวกันนั้นนังแจ๋วก็ได้ขึ้นเงินเดือน 1,000 บาทเท่ากันกับฉัน!!

นี่ CEO ของฉันไม่รู้เรื่องนี้นะเนี่ย
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้านายรู้แล้วจะรู้สึกอย่างไร
แล้วทุกท่านล่ะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

แต่สำหรับฉันในตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าควรจะ “หัวเราะ” หรือ “ร้องไห้”
ร้องไห้เพราะแม้แต่นังแจ๋วที่เป็นลูกจ้างที่บ้านได้ขึ้นเงินเดือนเท่ากับฉัน
ซึ่งเป็น “เลขาฯ CEO” ของบริษัทมหาชนยอดขาย 5,000 ล้านบาท
ถึงแม้ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เป็นผู้จัดการระดับบริหารก็ตามที

หัวเราะดีใจเพราะขนาดช่วงนั้นบริษัทประสบภาวะขาดทุน
ฉันไม่ได้ถูกลดเงินเดือนเหมือน CEO หรือผู้บริหารระดับซูเปอร์บิ๊กบางท่าน
หรือไม่ถูกเลิกจ้างเพราะยอดขายถูกกระทบก็บุญที่สุดแล้ว

จำได้ว่าตอนนั้นเพื่อนซี้ของฉัน Cathy ที่ว่าเจ๋งแล้วก็ได้ขึ้นเงินเดือนเท่ากับฉัน
ที่จริงเธอไม่ได้บอกตัวเลขตรง ๆ แต่บอก % ซึ่งเท่ากับฉันและฉันก็มั่นใจว่า
ด้วยโครงสร้างเงินเดือนและตำแหน่งในตอนนั้นเงินเดือนของเธอไม่ได้แตกต่างจากฉัน

สรุปแล้วคนที่ “เจ๋ง” ที่สุดคือนังแจ๋ว
ที่ได้ขึ้นเงินเดือนเท่ากับ Cathy ซึ่งจบปริญญาโทและกำลังทำเอกด้านการเงิน
เป็นเจ้าแม่แห่งวงการการเงินการลงทุนที่มีประสบการณ์การทำงานร่วม 20 ปี

แสบจริง ๆ นังแจ๋วคนนี้
“เลขาฯ ตัวแสบ!” ที่คิดว่าแสบแล้ว
เจอนังแจ๋วที่แสบกว่าแบบนี้
ก็ต้องชิดซ้ายไปตามระเบียบ!



15 วิธี การเก็บเงินแบบง่าย ๆ
อ่านเจอใน Google Group เอาไว้เตือนตน
"เงินแต่ละบาท กว่าจะหามาได้ ปาดเหงื่อไม่รู้กี่รอบ
ได้มาแล้ว ต้องเก็บรักษาให้อยู่กับเรานาน ๆ
เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นและยามแก่เฒ่า
1. เริ่มเก็บเงินวันนี้
อ่านเรื่องนี้จบ เดินไปหยอดกระปุกเลย
แค่ 10 บาท ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดี
แต่ที่สำคัญต้องเริ่มเสียแต่เดี๋ยวนี้เลย

2. เงินออม = บิล รักษาวินัย
เอาเงินเข้าบัญชีเงินออม เหมือนเวลาที่คุณต้องไปจ่ายบิล
แค่นี้ คุณก็จะมีเงินออมเข้าบัญชีทุกเดือน

3. หากล่องออมสิน ซองใส่เงิน กระเป๋าเศษตังค์
แล้วหยอดเงินจำนวนเท่าเดิม เป็นเวลาเท่าๆกันทุกวัน
เช่น 10 บาท ทุกๆวัน หรือ ทุกๆวันเสาร์ และอย่าไปนับ อย่าไปใช้
(แนะให้เป็น กระปุกออมสินแบบ ไม่มีรูแงะ จะดีที่สุด )

4. ตกเย็นกลับถึงบ้าน เทกระเป๋า
เทเอาเศษเหรียญลงในกระปุกให้หมด
อย่าดูถูกเหรียญบาท เพราะ 100 เหรียญ
ก็เท่ากับ แบงก์ ร้อย หนึ่งใบนะ

5. ใช้ การ์ด แคชแบ็ค
ใช้บัตรเครดิตแล้วได้เงินคืนบ้างก็ยังดี

6. เก็บแบงค์ใหญ่ไว้ให้ติดกระเป๋า
จ่ายแบงค์ย่อยๆให้หมดก่อน
พอจบวัน เก็บแบงค์ที่เหลือลงกระปุก

7. จ่ายหนี้ให้หมด
นี่คือหน้าที่สำคัญที่คุณต้องทำให้เสร็จ
ถ้าคิดจะร่ำรวยในอนาคต

8. ถ้าเปลี่ยนโปรโมชั่นมือถือใหม่
ให้ได้ราคาดีกว่าเดิม หรือถูกกว่าเดิม
ให้เก็บเงินที่เป็นส่วนต่างเข้าบัญชีเงินเก็บ

9. ใช้บัตรห้างสรรพสินค้า ลดราคา
ถึงจะแค่ 5% แต่ก็เงินนะจ๊ะ

10. เก็บเงินคืนจากหักภาษี
พอได้คืน อย่าเอาไปใช้ เอาเข้าบัญชีเงินออมซะ

11. ถ้าคุณใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย
ลองดูรายการแลกของรางวัล
ที่แลกเป็นบัตรเงินสดได้

12. เวลาที่คุณคืนหนังสือ หรือหนังเช่าตรงเวลา
ให้เก็บค่าปรับที่เราต้องจ่าย (ในกรณีคืนช้า)
ให้ตัวเอง ดีกว่าแบ่งให้คนอื่นรวยนะ

13. แบ่งเงินไปลงทุน ในกองทุนรวม หรือซื้อหุ้นบ้าง
(การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรใช้วิจารณญาณ)

14. ซื้อพันธบัตรรัฐบาลดอกเบี้ยดี ๆ เก็บไว้ใช้ยามแก่

15. เก็บเงินเพื่อครอบครัว
คุณจะได้รู้สึกว่า มีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น
เมื่อเก็บได้ถึงเป้า ก็แบ่งเงินส่วนหนึ่ง
พาที่บ้านไปเที่ยวบ้าง แต่ไม่ต้องแพงนะ



Create Date : 29 เมษายน 2551
Last Update : 29 เมษายน 2551 21:38:51 น. 1 comments
Counter : 777 Pageviews.

 
Funny Comments For Hi5

Hi5 Comments & MySpace Comments

Hi5

แวะมาอ่านวิธีการเก็บเงินค่ะ
อิจฉาคุณแจ๋วจังเลยนะคะ
มีเงินเก็บเยอะเลย
แล้วจะแวะมาทักทายใหม่นะคะ



โดย: นู๋กิ๊ฟ&นู๋เปิ้ล วันที่: 29 เมษายน 2551 เวลา:22:29:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Destinyhurtsme
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add Destinyhurtsme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.