OUR LIFE IS SIMPLY A REFLECTION OF OUR ACTIONS. IF YOU WANT MORE LOVE IN THE WORLD, CREATE MORE LOVE IN YOUR HEART!!
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
8 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
"เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน…..ชีวิตในต่างแดน….สุขหรือเศร้า? (ภาค 4)



…..โชคดีที่ฉันไม่เพียงแต่กลับมาได้ “ทันดูใจ” คุณแม่แต่ยังได้
นอนเฝ้าไข้คุณแม่อยู่ในโรงพยาบาลอีกเกือบ 2 เดือน
นับเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าที่ฉันมีโอกาสได้ “ปรนนิบัติ”
รับใช้ “ผู้มีพระคุณ” จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
เป็นความรู้สึกที่ถ้าไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้คงจะรู้สึกเป็นบาป
ไปตลอดชีวิต….




ที่จริงคุณแม่ป่วยเป็นอัมพฤกต์มาแล้วปีแล้ว
ฉันจึงได้ไป “บนบาน” ให้คุณแม่ปลอดภัยและมีสุขภาพแข็งแรง
ด้วยการ “เลิก” กินเนื้อ….
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!

แม้จะเป็นอัมพฤกต์ถึง 4-5 ปีแต่คุณแม่มีสุขภาพจิตที่ดี
และมีความสุขท่ามกลางการ “ดูแลเอาใจใส่” อย่างดีจากลูก ๆ ทุกคน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “น้องรอง” ผู้ที่เสียสละมากที่สุด
ด้วยการลาออกจากงานบ้านญาติเพื่อมาดูแลคุณแม่เพียงอย่างเดียว

ในที่สุดคุณแม่ของฉันก็จากไปอย่างสงบ
ท่ามกลางความโศกเศร้าและอาลัยรักของลูก ๆ…..
ฉันเลิกกินเนื้อเพื่อคุณแม่ประมาณ 4 ปี

ในวันที่คุณแม่เสียชีวิตฉันรู้สึกเศร้าโศกและผิดหวังมาก
ที่ทำไม “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ไม่เมตตาช่วยยืดอายุคุณแม่ให้นานกว่านี้
วันนั้นฉัน “ประชด” และท้าทายเบื้องบน
ด้วยการกลับไปกินเนื้อเหมือนเดิม

คำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!”
น่าจะสร้างอิทธิฤทธิ์ให้ฉันได้ประจักษ์เดี๋ยวนั้นเลย
“น้องรอง” ซึ่งอดหลับอดนอนเพื่อดูแลคุณแม่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เกิดหน้ามืดและ “ล้มตึง” ต่อหน้าฉันขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย…

ทำให้ฉันต้องกลับไปบนบานต่อว่า
ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองและดูแลน้องรองของฉันด้วย
และฉันจะหยุดกินเนื้อ “ตลอดชีวิต”
จากวันนั้นมาถึงวันนี้…ร่วม 20 ปีแล้วที่ฉันเลิกกินเนื้อโดยเด็ดขาด!

คืนที่ 6 ของการจัดงานศพของคุณแม่
ฉันต้องช๊อกระคนกับ “ปลื้มปิติ” กับการ “ปรากฏกาย” ของคุณด๋อง!

ไม่คิดว่าเขาจะ “บินด่วน” มางานศพคุณแม่ของฉัน
จากที่เคยคิดว่าฉันจะไม่กลับไปหาเขาที่ซาอุฯ อีกแล้ว
เพราะตลอดเวลา 2 เดือนที่ฉันอยู่เมืองไทยเราแทบไม่มีการสื่อสารกันเลย
ฉันต้อง “ยอมแพ้” ความดีของเขาในครั้งนี้และตัดสินใจ
บินกลับไปพร้อมเขาหลังจากงานศพเสร็จสิ้น…

มีเรื่อง “ระทึกใจ” เกี่ยวกับเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น
ในระหว่างบินกลับซาอุฯ พร้อมกับคุณด๋อง
เครื่องบินแวะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศบาห์เรน
ซึ่งจะต้องมีการย้ายสัมภาระไปยังอีกสายการบินหนึ่ง
เพื่อเดินทางต่อไปยังซาอุดิอาระเบีย

บางท่านอาจจะเคยทราบมาแล้วว่า
ปกตินักการทูตจะมี Passport พิเศษ
โดยในประเทศไทย Passport สำหรับนักการทูตจะเป็นเล่มสีแดง

ตามข้อตกลงของประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางด้านการทูต
ผู้ถือ Passport นักการทูตซึ่งรวมทั้งสมาชิกในครอบครัว
ที่ประกอบด้วยสามี/ภรรยา และบุตร
จะได้รับ “สิทธิ์พิเศษ” ในระหว่างพิธีการทางกงศุล
หรือด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยได้รับการ “ยกเว้น” ในการตรวจสัมภาระ
ยกเว้นกรณีที่มีการสงสัยว่าจะมีสิ่ง “ผิดกฏหมาย” ในครอบครอง
จึงจะมีการตรวจค้นมิเช่นนั้นก็จะให้ “ผ่านฉลุย” ตลอดทาง

ในระหว่างที่สัมภาระของเราผ่านเครื่องตรวจ X-Ray
ณ สนามบินของประเทศบาห์เรน
เจ้าหน้าที่พบ “สิ่งผิดปกติ” และได้เชิญคุณด๋องเข้าพบ
พร้อมกับแจ้งว่าได้พบ VDO จำนวนหลายม้วนในกระเป๋าใบหนึ่ง

คุณด๋องถามฉันว่าได้นำ VDO อะไรมาหรือ?
ฉัน “ปฏิเสธ” ว่าไม่ได้นำอะไรมาเลยและยืนยันกับเจ้าหน้าที่เช่นกัน
แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า “เครื่องฟ้อง” และขอเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจค้น
แถมยังชี้ให้ดูหลักฐานจากเครื่องซึ่งเราก็เห็นเป็นรูปร่างของ VDO จริง ๆ

แต่ฉันยังไม่ยอมให้เปิดกระเป๋าตรวจเนื่องจากมั่นใจว่าไม่ได้ซื้อ
หรือนำ VDO มาด้วยจริง ๆ ตามข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่
งานนี้คุณด๋องปล่อยให้ฉัน “ออกโรง” เอง
เนื่องจากการแพ็คกระเป๋าเป็นหน้าที่ของฉันซึ่งเขาไม่ได้รับรู้
ว่าฉันได้แอบนำอะไรติดกระเป๋ามาบ้าง

สาเหตุที่เจ้าหน้าที่เคร่งเครียดมากในเรื่องนี้
เนื่องจากประเทศในแถบอาหรับห้ามเรื่องการนำ “เทปโป๊” เข้าประเทศ
ดังนั้นถ้ามีการตรวจเจอจะยึด (เก็บไว้ดูเอง?) ทันที

เจ้าหน้าที่เริ่ม “ลังเล” ที่เห็นฉัน “ยืนยัน” ด้วยความขึงขัง
แถมยังได้ “ขู่” เจ้าหน้าที่ว่าถ้าเขาเปิดแล้วไม่พบอะไร
เขาจะต้องรับผิดชอบที่มาทำการ “ละเมิดสิทธิ์” ของฉันในครั้งนี้
เจอไม้นี้พร้อมอาการเอาจริงเอาจังของฉันเข้าเจ้าหน้าที่ทำท่า “เซ็ง”
และปล่อยให้กระเป๋าผ่านไปโดย “ไม่กล้า” เปิด!

หลังจากกลับถึงบ้านคุณด๋องซึ่งแอบสงสัยว่าฉันเอาเทปอะไรมา
แกล้งทำเป็นเดินโฉบเฉี่ยวไปมาช่วงที่ฉันเปิดกระเป๋า
ฉันรู้สึกเคืองเล็กน้อยที่เขาเหมือน “ไม่เชื่อใจ” ฉันเลย
แต่ฉันก็ไม่สามารถตอบคำถามให้กับเขาหรือตัวเองได้เหมือนกันว่า
แล้วไอ้เจ้า “หลักฐาน” ที่เห็นโทนโท่ผ่านเครื่อง X-Ray คืออะไรกันแน่?

หลายวันต่อมาเรามีโอกาสได้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์
ที่บ้านเพื่อนข้าราชการคนหนึ่ง
พี่ตั๊กขอบคุณที่ฉันช่วยหิ้วหนังสือและ VDO จากเมืองไทยมาให้

“อะไรนะ! มี VDO อยู่ในกระเป๋าที่ญาติพี่ตั๊กฝากมาด้วยเหรอ?
ก็ไหนตอนติดต่อขอฝากของเธอบอกว่าฝากแต่หนังสือมาไง?

เวรกรรม!
แล้วนี่ถ้าเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองที่บาห์เรน
บ้าจี้รับ “คำท้า” ของฉันด้วยการเปิดกระเป๋าตรวจแล้วเจอ VDO จริง ๆ
ฉันมิเสียผู้เสียคนไปแล้วหรือเนี่ย?
เพราะตอนนั้นฉันก็ไม่ได้ฉุกใจคิดเรื่องของฝากจากพี่ตั๊กเล๊ย…
เกือบ “ซ...ย” ไปแล้วไหมล่ะ Destinyhurtsme เอ๋ย!

วันหนึ่งซึ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์
ตอนนั้นฉันกำลังเตรียมและปรุงอาหารกลางวันให้คุณด๋อง
อยู่ในอพาร์ทเมนท์ที่เราพักอยู่
พอได้ยินเสียงเคาะประตูฉัน “แอบดู” ผ่านช่องตาปลา
เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนร้องไห้หน้าห้อง

ฉันจึงปรึกษากับคุณด๋องว่าจะทำอย่างไรดี
เราตกลงกันว่า “อย่าเปิด” ประตูดีกว่า
เพราะเด็ก ๆ เขาคงเล่นกันเองและโดนพี่น้องกลั่นแกล้ง
ขืนเปิดประตูออกไปถ้าผู้ปกครองไม่เข้าใจ
จะคิดว่าเราไปทำอะไรเด็กของเขาก็จะเป็นเรื่อง
โดยเฉพาะเป็น “เด็กผู้หญิง” เสียด้วย
เราจึงไม่ได้เปิดประตูออกไป

สักครู่ใหญ่ ๆ เราได้ “กลิ่นควัน”
ฉันรีบวิ่งเข้าไปในครัว
เพราะคิดว่าอาจจะลืมปิดเตาทำอาหาร
แต่ไม่ใช่…
จึงตรวจสอบที่มาของกลิ่นควันทั่วห้อง
ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ

ทันใดนั้นเราเห็นควันลอดผ่านประตูห้องเข้ามา
คุณด๋องเปิดประตูออกไปแล้วต้องรีบปิดกลับเข้ามา
เพราะพบควันไฟด้านนอกห้องลอยเข้ามาจึงรีบโทรถามประชาสัมพันธ์
ได้รับการบอกกล่าวว่ากำลังเกิด “เพลิงไหม้” ห้องติดกับห้องของเรา

คุณด๋องจึงตะโกนบอกฉันว่า “รีบหนีเร๊วววว...ไฟไหม้!!”
พร้อมกับวิ่งมา “คว้า” ข้อมือของฉันให้รีบออกจากห้องทันที
ฉันบอกขอกลับเข้าไปในห้องนอน
เพื่อเอากระเป๋า “สมบัติ” ซึ่งเป็นเครื่องเพชรและเงินทองก่อน

เขากระชากมือฉันเต็มแรงให้หนีเดี๋ยวนี้เลย
แต่ฉัน “สะบัด” มือหลุดจากคุณด๋อง
และเขาก็ห้ามฉันไม่ทันซะแล้ว

พอหยิบกระเป๋าได้ฉันรีบวิ่งออกจากห้อง
คุณด๋องซึ่งกำลังยืนรอรีบคว้าข้อมือของฉัน
และทันทีที่เปิดประตูห้องควันไฟพุ่งโชยเข้ามา
ข้างนอกมืดสนิท….

คุณด๋อง “กึ่งลากกึ่งกระชาก” ฉันลงบันได
ฉันกำลังจะ “สำลัก” ควันไฟ
แต่พยายามกลั้นลมหายใจตามคำสั่งของคุณด๋อง
สักครู่เราก็เริ่มเห็นแสงสว่างจากด้านนอกตึก

ใช่แล้ว….
เราวิ่งลงมาถึงชั้นล่างแล้ว…
ควันเริ่มจางลง….
ฉันรู้สึกดีขึ้น….

พอออกนอกอาคารฉันพบเพื่อนคนไทยที่อยู่ในตึกเดียวกัน
แต่อยู่ชั้นสูงกว่าเราลงมากันหมดแล้ว
รวมทั้งสมาชิกในอาคารเกือบทั้งหมด

เพื่อนแม่บ้านรวมทั้งบรรดาสมาชิกผู้หญิงคนอื่น ๆ
บ้างก็อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อน
ทำให้รู้ว่ากำลังอยูในระหว่างการทำอาหาร
แต่หญิงมุสลิมหรือชาวซาอุฯ
รวมทั้งเพื่อนแม่บ้านคนไทยของฉัน
ส่วนใหญ่จะอยู่ในชุดคลุมสีดำ
ยกเว้นตัวฉัน….ที่ไม่มีทั้งผ้ากันเปื้อนหรือชุด อบาย่า!
(ไม่ได้อยู่ในชุดวันเกิดนะอย่าคิดมาก!)

เพราะฉันและคุณด๋องกำลังอยู่ในระหว่าง
การกินอาหารกลางวันในช่วงเกิดเหตุ
และใจฉันไปอยู่ที่สมบัติตามที่ว่าไว้
จึงไม่มีชุดดำคลุมลงมาด้วย
และที่ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือฉันไม่มีกระทั่ง “รองเท้า”

บนพื้นถนนในช่วงบ่ายและหน้าร้อนเช่นนี้
ถนนร้อนจัดฉันยืนแทบไม่ได้
เดือดร้อนคุณด๋องต้องวิ่งข้ามถนนไปหาซื้อรองเท้า
แต่ปรากฏว่าร้านค้าปิดในตอนกลางวัน
ฉันจึงต้องยืนแอบหลบแดดอยู่ข้างตึก

คิดแล้วยัง “ใจหาย” กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เลย
นี่ดีว่าเราอยู่แค่ “ชั้นสอง”
ถ้าอยู่ชั้นบน ๆ แล้วฉันยัง “ห่วงสมบัติ” มากกว่าชีวิตตนเองแบบนี้
ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะได้มานั่งเล่าเหตุการณ์ให้พวกเราฟังกันหรือไม่?

ตอนหลังมาทราบสาเหตุของเหตุไฟไหม้ครั้งนี้
เพราะเด็กข้างห้องจุด “ไม้ขีดไฟ” เล่นกันและไฟลุกไหม้พรมในห้อง
ซึ่งผู้ปกครองกำลังทำภาระกิจอยู่ชั้นล่างและโชคดีกลับขึ้นมาทันช่วยลูก

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉันก็ได้เรียนรู้
เพิ่มขึ้นอีกอย่างว่าควันไฟจะ “ลอยตัวสูง”
ดังนั้นหากเกิดเหตุไฟไหม้
และเพื่อให้เราสามารถหายใจได้นานที่สุด
เราต้องพยายาม “หมอบ” ให้ต่ำไว้

สาเหตุหนึ่งที่ฉันและคุณด๋องลงและออกมาจากอาคารที่เกิดไฟไหม้
ช้าที่สุดทั้งที่เราอยู่ห้องติดกับห้องที่เกิดเหตุเพราะ
ควันไฟลอยขึ้นข้างบนทำให้คนที่อยู่ชั้นสูงรู้ตัวก่อน
และที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือประชาสัมพันธ์แจ้งทุกห้อง
ยกเว้นห้องของเราเพราะคิดว่าอยู่ติดจุดเกิดเหตุและน่าจะรู้ก่อนแล้ว

โชคดีที่เด็กคนที่มาเคาะประตูห้องปลอดภัย
มิเช่นนั้นเราคงไม่ให้อภัยตัวเองเป็นแน่
ที่มัวแต่กลัวว่าผู้ปกครองจะเข้าใจผิดคิดว่าเราไปกลั่นแกล้งเด็ก
ตอนมาเคาะประตูห้องร้องไห้

อีกหนึ่งบทเรียนที่เราได้จากเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้ก็คือ
มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้ห้องของเราเป็นทางเข้า-ออก
ในการปฏิบัติการดับเพลิงในครั้งนี้ด้วย

เมื่อภาระกิจเสร็จสิ้นและเรากลับเข้าห้องได้ปกติ
เราพบว่าแหวนหมั้นและนาฬิกาของคุณด๋อง
ที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะรับแขก
ซึ่งเป็นทางผ่านของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังอยู่ครบ

ทำให้นึกถึงความซื่อสัตย์ของคนที่นี่ทั้งที่เป็นชาวต่างชาติ
ที่ส่วนใหญ่มาจากแถบประเทศฟิลิปปินส์ อินโดฯ อินเดีย และปากีสถาน
หรือประเทศอื่น ๆ แถบตะวันออกกลางที่มาใช้แรงงานที่นี่
ซึ่งคนซาอุฯ เจ้าของประเทศส่วนมากจะไม่ทำงานที่ใช้แรงงานกันเลย

เราจะพบว่าคนซาอุฯ ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของกิจการ
หรือไม่ก็ทำงานในส่วนราชการหรือบริษัทเอกชน
แต่งานที่เป็นบริษัทตามห้างร้านต่าง ๆ จะเป็นต่างชาติเกือบทั้งสิ้น

เกี่ยวกับเรื่องความซื่อสัตย์ของเจ้าหน้าที่ฉันไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นที่อื่น
ประเทศอื่นหรือแม้แต่เมืองไทยของเรา
เราจะพบข้าวของมีค่าเหลืออยู่หลังจากกลับเข้าห้องหรือไม่

แต่เหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องซื่อสัตย์ก็คือ
ประเทศนี้มี “กฏหมาย” ที่เคร่งครัดมาก
การขโมยของมีโทษโดน “ตัดข้อมือขวา” ก่อน
สำหรับการขโมยครั้งแรกและ “ข้อมือซ้าย” สำหรับการขโมยครั้งต่อไป

หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นและเมื่อครบสัญญาเช่า 2 ปี
เราได้ย้ายออกจาก Apartment แห่งนั้น
และไปเช่าบ้านเป็นหลังขนาด 2 ชั้นมี 3 ห้องนอนและ 2 ห้องรับแขก
ภายในบริเวณบ้านมีต้นอินทผาลัมอยู่ด้วย 1 ต้น
มีผลให้รับประทานได้ด้วยแต่รสชาดไม่ดีเหมือนกับที่มีขายกัน

จากการที่คุณด๋องไปงานศพคุณแม่ก่อนหน้านี้
และเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เขาช่วยชีวิตของฉัน
รวมทั้งการที่เขาปฏิบัติตนต่อฉันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ค่อย ๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกประทับใจและความรู้สึกดี ๆ
ที่ฉันเริ่มมีให้เขาซึ่งได้ทำลาย “ทิฐิ”
และความ “จองหองถือดี” ของฉันไปจนหมดสิ้น
ความสัมพันธ์ของเราเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คุณแม่ผู้ล่วงลับไปแล้วของฉันมาเข้าฝันและพูดว่า
“ต้องให้ฉันตายไปก่อนแล้วจึงจะยอมใช่ไหม?”
จนบัดนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจความหมายของประโยคข้างต้น
แต่จากนั้นไม่นานฉันก็ตั้งครรภ์ได้ลูกคนแรกเป็นโซ่ทองคล้องใจ

คุณด๋องพาฉันไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล
Dr. Abdul Rahman Al Mishari Hospital, Riyadh
หมอที่ดูแลฉันเป็นชาวอียิปต์แต่พูดภาษาอังกฤษได้
ซึ่งหมอที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวอาหรับจากประเทศข้างเคียงเช่น
อียิปต์, เลบานอน, ซีเรีย, เป็นต้น
ส่วนพยาบาลจะมาจากประเทศฟิลิปปินส์เป็นส่วนใหญ่
ซึ่งสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ดี

โรงพยาบาลแห่งนี้จึงเป็นโรงพยาบาลที่มีคนต่างชาติมาใช้บริการกันมาก
และถ้าเป็นชาวพื้นเมืองก็จะต้องเป็นกลุ่มคนที่
สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ด้วย

ขอเล่าประสบการณ์การ “คลอดบุตร” ครั้งแรกสำหรับคุณผู้หญิงที่กำลัง
คิดจะมีบุตรหรือกำลังอยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
และสำหรับคุณผู้ชายที่กำลังจะเป็นคุณพ่อ

ในระหว่างการตั้งครรภ์ฉันได้อ่านและปฏิบัติตนตามคำแนะนำในตำรา
เป็นที่ทราบกันดีว่าการคลอดบุตรสามารถเลือกได้ว่า
จะคลอดเองตามธรรมชาติหรือผ่าตัดก็ได้

ฉันเลือกที่จะ “คลอดเอง” ตามธรรมชาติเนื่องจากสุขภาพแข็งแรงพอ
และคิดว่าไม่น่ากลัวเหมือนการผ่าตัดซึ่งฟื้นตัวได้ช้ากว่า
ที่สำคัญฉันคิดว่าผู้หญิงตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
สามารถคลอดบุตรได้เองโดยวิธีธรรมชาติ
ฉันก็ควรที่จะทำได้เหมือนกับผู้หญิงทั้งโลก

แต่จากการอ่านตำราฉันพบว่าการฉีดยา Block ไขสันหลัง
จะช่วยลดอาการเจ็บปวดก่อนและระหว่างการคลอดได้
ถึงแม้โอกาสที่หมอจะฉีดยาผิดพลาดทำให้พิการหรือมีปัญหาได้
จะมีเปอร์เซ็นต์น้อยนิดแต่ฉันก็อดรู้สึกกลัวไม่ได้

แต่ความกลัวเรื่องความเจ็บปวดก่อนและระหว่างการคลอดมีมากกว่า
เพราะภาพความเจ็บปวดแสนสาหัสระหว่างการคลอดลูก
ที่ฉันเคยเห็นในหนังยังติดตาและอยู่ในความทรงจำตลอด
ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจขอให้หมอฉีดยา “Block ไขสันหลัง”
ในระหว่างคลอดให้ด้วย
หมอจึงได้นำแบบฟอร์มาให้คุณด๋องเซ็นต์อนุญาตให้ฉีดยาได้
และเพื่อยืนยันไม่เอาผิดกับหมอหากเกิดปัญหาหรือความผิดพลาด

หมอกำหนดวันคลอดประมาณกลางถึงปลายเดือนกันยายน
เราได้เตรียมชื่อลูกไว้แล้วเป็นชื่อของคนที่เกิดประจำเดือนนั้น
จำได้ว่าหลังจากฝากครรภ์ได้ประมาณ 5 เดือน
หมอได้ทำ Ultra Sound เพื่อตรวจความปกติของทารกในครรภ์
ซึ่งสามารถดู “เพศ” ของเด็กทารกได้แล้ว
แต่ฉันตกลงกับคุณด๋องว่าเราจะไม่ให้หมอบอกเพศก่อน
เพราะต้องการ “ลุ้น” หรือ Surprise ในวันคลอด

ใจฉันอยากได้ “ลูกสาว” แต่คุณด๋องอยากได้ “ลูกชาย”
เรามาช่วยกัน “ลุ้น” ว่าเด็กคนนี้จะเป็นผู้หญิงสมใจฉัน
หรือเป็นผู้ชายสมความปรารถนาของคุณด๋อง?

เช้าวันที่ 1 ของเดือนตุลาคมคุณด๋องต้อง “งด”
การไปร่วมฉลองงานวันชาติของสถานทูตจีนในตอนเย็น
เพราะในระหว่างที่ฉันกำลังทำภาระกิจในห้องน้ำ
ฉันพบว่ามีเส้นเลือดเส้นบาง ๆ ไหลติดออกมากับเมือกใส ๆ ด้วย

ฉันได้โทรเล่าอาการให้เพื่อนสมาชิกชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่ง
ซึ่งเธอมีประสบการณ์เกี่ยวกับการคลอดบุตรถึง 8 คน
เธอบอกให้ฉันรีบไปโรงพยาบาลทันทีเพราะนี่คือสัญญาณ
ที่เด็กกำลังจะออกมาดูโลก…

ฉันรีบอาบน้ำชำระร่างกายและสระผมให้สะอาด
เพราะหลังคลอดจะไม่ได้สระผมหลายวัน
คุณด๋องพาฉันไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 8 โมงเช้า
หลังจากนางพยาบาลสวนของเสียออกจากร่างกาย
พร้อมทำความสะอาดชำระล้างเรียบร้อยแล้ว
ช่วงเวลาประมาณใกล้เที่ยงฉันเริ่มรู้สึกถึงการ “บีบรัดตัว” ของมดลูก

พอเริ่มมีอาการ “ปวดหลัง” ฉันขอให้นางพยาบาลเอาหมอนมาหนุนหลังให้
ซึ่งทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้น
แต่พอหมอนหนุนหลังได้สักครู่ฉันเริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก
และขอให้นางพยาบาลดึงหมอนออก

จากนั้นรู้สึกเย็นที่ปลายเท้าและขอถุงเท้าจากนางพยาบาลแต่ไม่มี
สักครู่รู้สึกปวดหลังและขอหมอนหนุนอีก
หนุนได้สักพักก็อึดอัดขอให้เอาหมอนออก
ทำสลับกันเช่นนี้หลายรอบ….

ในขณะที่ฉันกำลังอยู่ในอาการปวดหลังและอึดอัด
จากการบีบรัดตัวของมดลูกอยู่นั้น
ฉันได้ยินเสียงร้อง “กรี๊ดดดดดดดด” แสดงอาการเจ็บปวดแสนสาหัส
เป็นเสียงที่ฉันคุ้นเคยเหมือนในหนังที่มีฉากการคลอดลูกไม่มีผิด
เสียงกรี๊ดดังเป็น “ระลอก” หลายครั้ง

พยาบาลบอกฉันว่าเป็นเสียงของคุณแม่ในห้องคลอดข้าง ๆอีก 3-4 ราย
ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกกลัวว่าเมื่อไรจะถึง “คิว” ของฉัน
ที่จะต้องแผดเสียงร้องเสียงดังแบบนั้นบ้าง
พยาบาลมองหน้าฉันและพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“You are very quiet”
เพราะฉันไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้องแสดงความเจ็บปวดออกมาเลย
มีแต่การแสดงความเจ็บปวดออกทางสีหน้าและร้องครางเบา ๆ เท่านั้น

สักครู่หมอทำคลอดมาถึงและถามพยาบาลว่าได้ฉีดยา
Block ไขสันหลังให้ฉันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม
พยาบาลตอบว่า “ยังไม่ได้ฉีด”
หมอขมวดคิ้วถามว่า “อ้าว…ทำไมล่ะ?”
พยาบาลตอบว่าเห็นว่าฉันยังไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดมาก
และสามารถทนได้จึงยังไม่ได้ฉีดยา

หมอจึงบอกว่าถ้าเช่นนั้นก็ “ไม่ต้อง” ฉีดยาแล้ว
เพราะเส้นกราฟแสดงว่าฉันได้ผ่านจุดที่มดลูกบีบตัวสูงสุด
และผ่านอาการที่จะต้องเจ็บปวดสูงสุดไปแล้ว

ได้ฟังหมอพูดเช่นนั้นฉันรู้สึก “โล่งอก”
เพราะใจจริงฉันก็รู้สึกหวั่น ๆ และกลัวความผิดพลาด
จากการต้องฉีดยา Block ไขสันหลังอยู่เหมือนกัน
หมอถามว่าหมอจะฉีดยาเร่งคลอดให้เอาไหม
ฉันตอบตกลงเพราะรู้สึกอึดอัดมาตั้งแต่ก่อนเที่ยง

หลังจากฉีดยาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง
ประมาณบ่ายสามโมงยี่สิบสี่นาที
หมอเห็นว่าปากช่องคลอดเปิดมากพอแล้ว
จึงเริ่มปฏิบัติการและออกคำสั่งกับฉันว่า “Pushhhhh”

ตอนแรกคิดว่าหมอสั่งให้ฉัน “ผลัก” อะไร (หว่า?)
แต่ด้วยสัญชาตญาณฉันก็เดาได้ว่าน่าจะหมายถึง “เบ่ง”
ขออนุญาตใช้คำศัพท์ “Rate R” ในการบรรยายให้เห็นภาพ
การ “เบ่ง” จะมีอาการเหมือนการเบ่งอุจจาะ
แต่การเบ่งคลอดลูกเหมือนการเบ่งปัสสาวะที่ต้องการให้สุด ๆ ประมาณนั้น

หลังจากทำตามคำสั่งของหมอให้ Push 2-3 ครั้ง
ก็เหมือนมีอะไร “หลุด” พลุ๊บ! ออกมาจากร่างกาย
พร้อมกับความรู้สึก “โล่ง” และ “หมดแรง”
จากนั้นสักครู่ใหญ่ก็ตามด้วยการคลอด “รก” ที่ห่อหุ้มตัวทารก
แล้วตามด้วยการเย็บช่องคลอดให้เข้าที่
ในระหว่างที่เย็บไม่รู้สึกเจ็บเพราะคิดว่าหมอคงฉีดยาชาให้

อีกครู่ต่อมาจึงได้ยินเสียง “อุ๊แว๊” ของเด็กทารก
หลังจากพยาบาลชำระล้างตัวเด็กและห่อหุ้มด้วยผ้าเรียบร้อยแล้ว
จึงอุ้มมาให้ฉันดูหน้าในขณะที่ฉันกำลังรู้สึกอ่อนเพลีย
ทันทีที่เห็นลูกน้อยฉันยิ้มด้วยความ “ชื่นใจ” และก่อนที่จะหมดแรง
ฉันได้ยินพยาบาลพูดว่า
“It’s a girl!”
“She weighs 3,300 grams.”

และพอได้คำตอบว่า “มีอาการครบ 32 ประการ”
ฉันก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย….

เราได้ตั้งชื่อทารกน้อยคนนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงดินแดนแห่งนี้ว่า
“Sandy” ซึ่งหมายถึงทะเลทรายนั่นเอง
ส่วนชื่อจริงที่ตั้งตรงกับคนเกิดเดือนกันยายนเราก็ไม่ได้เปลี่ยนใหม่
ให้เป็นชื่อของคนเกิดเดือนตุลาคมเพราะรู้สึกหลงรักชื่อนั้นไปแล้ว…

ช่วงอยู่เดือนคุณด๋องช่วยฉันทำงานบ้านทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้
การดูดฝุ่นปัดกวาดเช็ดถูและซักรีดเสื้อผ้า
ยกเว้นการทำอาหารเพราะเขาจะหิ้วอาหารมาจากร้าน

สิ่งที่เขาปฏิบัติยิ่งทำให้ฉันรู้สึกประทับใจในตัวเขาเป็นทวีคูณ
ความสัมพันธ์ของเราเริ่มดีวันดีคืน
ปีต่อมาฉันก็ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2
(อุ๊ย…อะไรจะสามารถปานนั้น!!)

คราวนี้ฉันไม่ต้องการลุ้นหรือ surprise แล้วเพราะอยากได้ลูกผู้ชาย
ดังนั้นในวันที่ไปทำ Ultra Sound
หลังจากที่คุณหมอเดินออกจากห้องไปคุณด๋องก็เดินสวนเข้ามา
ฉันบอกเขาว่าหมอบอกว่า
“It’s a girl!” again…

เขาหัวเราะและพูดว่า
“ไม่ต้องมาหลอกผม…คุณหมอบอกผมแล้วว่า..
It’s a boy!”
“ไอ้หมอบ้า!” ฉันคิดในใจ
มาแอบขโมย Scene ฉันไปได้ยังไงเนี่ย?

จากประสบการณ์การคลอดลูกในครั้งแรก
ทำให้ฉันไม่รุ้สึกเครียดหรือกลัวแล้วสำหรับครั้งนี้
ฉันจึงไม่คิดเรื่องการฉีด Block ไขสันหลัง
เพื่อลดความเจ็บปวดเหมือนที่เคยคิดจะทำในครั้งแรก
ส่วนอาการก่อนคลอดเหมือนกันคือ
ตอนเข้าห้องน้ำมีเส้นเลือดบาง ๆ ติดออกมากับเมือกด้วย

หลังทำและรับประทานอาหารเย็นเสร็จคุณด๋องรีบพาฉันส่งโรงพยาบาล
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 6 โมงเย็นของวันกองทัพไทย
หลังจากพยาบาลทำการสวนของเสียในร่างกายออกและทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ฉันนอนอยู่บนเตียงคลอดได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงปากช่องคลอดก็เปิดเต็มที่
หมอบอกให้ Push เพียงครั้งเดียว
ทารกน้อยน้ำหนักตัว 3,700 กรัมก็โผล่ออกมาลืมตาดูโลก!

เราตั้งชื่อลูกน้อยคนนี้เป็น “ภาษาอาหรับ” ที่หมายถึงเจ้าแห่งทะเลทราย
แต่ตอนกลับมาเมืองไทยเขาได้ฉายาเพิ่มจนเรียกกันติดปากว่า “ด๊อกเตอร์”
เป็นด๊อกเตอร์ตั้งแต่ยังเป็นทารกและไม่ได้เรียนหนังสือเลยนะเนี่ย!
แต่ตอนนี้น้องด๊อกเตอร์กำลังตั้งใจเรียนด้วยความคร่ำเคร่ง
เพราะกลัวจะ “ขายหน้า” และเสีย “ศักดิ์ศรี” ลูกผู้ชายหากเรียนไม่เก่ง
มาช่วยกันลุ้นต่อไปว่าโตขึ้นเด็กคนนี้จะได้เป็นด๊อกเตอร์ “สมชื่อ” หรือไม่?

หลังจากผจญภัยกับสงครามอ่าวเปอร์เซียและเหตุการณ์ต่าง ๆ
ในซาอุดิอาระเบียเป็นเวลา 4 ปี 1 เดือน
เราจึงเดินทางกลับเมืองไทยพร้อมลูกน้อย 2 คน
ตอนนั้นน้องแซนดี้อายุเกือบ 2 ขวบ
และน้องด๊อกเตอร์อายุ 6 เดือน
เท่ากับเดินทางไป 2 คน แต่กลับ 4 คน
“กำไร” เห็น ๆ เลยใช่ไหมท่านผู้อ่านที่รัก?

กลับมาเมืองไทยอยู่อีก 2 ปีซึ่งเป็นช่วงที่ฉันกลับไปทำงานกับเตี่ยสมัยที่ 2
จากนั้นฉันและลูก ๆ จึงได้เดินทางติดตามคุณด๋อง
ซึ่งไปรับหน้าที่ในตำแหน่งเลขานุการเอก
ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเอเธนส์ประเทศกรีซ…..

โปรดติดตาม “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอนต่อไป
ตอน…..ชีวิตในต่างแดน….สุขหรือเศร้า? (ภาค 5)

อ่านต่อว่าเกิดเหตุการณ์อะไรกับ “เลขาฯ ตัวแสบ!” ในระหว่างการใช้ชีวิตในประเทศกรีซ
ประเทศที่ทำให้เกิดมรสุมครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นกับชีวิตของเธอจนต้องหอบลูกน้อย 2 คน
กลับเมืองไทยทันทีทั้งที่ยังไม่ครบระยะเวลา 4 ปีตามกำหนด?
เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคู่ของ “เลขาฯ ตัวแสบ!” คนนี้ ?


ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว:

(1) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน.....วันที่ฉันถูกเลิกจ้าง!!!
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6083075/B6083075.html

(2) “เลขาฯตัวแสบ!” ตอน.....แสร้งไปทำงานตามปกติ!!!
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6085280/B6085280.html

(3) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....พบทนายความเรื่อง "การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม"
พร้อมกับการได้รับ "เงินชดเชย" เกือบแสน!!!
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6095870/B6095870.html

(4) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....วันสัมภาษณ์กับ 12 วันก่อนถูกเลิกจ้าง!!!
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6105777/B6105777.html

(5) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....ชีวิตหลังการตกงาน
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6110725/B6110725.html

(6) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....เย้…! ในที่สุดฉันได้งานใหม่แล้ว!!! ภาค 1
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6125583/B6125583.html

(7) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน.....เย้…! ในที่สุดฉันได้งานใหม่แล้ว!!! ภาค 2
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6131814/B6131814.html

(8) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... 4 เดือนระทึกกับช่วงทดลองงาน!!!
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6136610/B6136610.html

(9) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... เลขาฯ ตัวแสบกับ “CEO” เจ้าของธุรกิจ 5,000 ล้าน!!! (ภาค 1)
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6152716/B6152716.html

(10) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... เลขาฯ ตัวแสบกับ “CEO” เจ้าของธุรกิจ 5,000 ล้าน!!! (ภาค 2)
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6159240/B6159240.html

(11) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน..... เลขาฯ ตัวแสบกับ “CEO” เจ้าของธุรกิจ 5,000 ล้าน!!! (ภาค 3)
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6170648/B6170648.html

(12) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน…การปกครองพนักงานแบบพ่อปกครองลูกในสไตล์ของ “เตี่ย”!!! (ภาค 1)
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6174623/B6174623.html

(13) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน…การปกครองพนักงานแบบพ่อปกครองลูกในสไตล์ของ “เตี่ย”!!! (ภาค 2)
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2007/12/B6181617/B6181617.html

(14) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน….กว่าจะเป็น “เลขาฯ ตัวแสบ!”
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2008/01/B6189644/B6189644.html

(15) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน….ความรู้แค่หางอึ่ง!!! (ภาค 1)
//topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2008/01/B6202133/B6202133.html

(16) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน….ความรู้แค่หางอึ่ง!!! (ภาค 2)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6218284/B6218284.html

(17) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน….ความรู้แค่หางอึ่ง!!! (ภาค 3)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6224365/B6224365.html

(18) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน….บังอาจทำธุรกิจส่วนตัว!!! (ภาค 1)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6236460/B6236460.html

(19) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน….บังอาจทำธุรกิจส่วนตัว!!! (ภาค 2)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6245103/B6245103.html

(20) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน…..เรื่องกุ๊กกิ๊กชีวิตทำงาน (ภาค 1)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6247789/B6247789.html

(21) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน…..เรื่องกุ๊กกิ๊กชีวิตทำงาน (ภาค 2)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6255596/B6255596.html

(22) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน…..เรื่องกุ๊กกิ๊กชีวิตทำงาน (ภาค 3)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6263517/B6263517.html

(23) “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน…..เรื่องกุ๊กกิ๊กชีวิตทำงาน (ภาค 4)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6280648/B6280648.html

(24) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน…..ชีวิตในต่างแดน….สุขหรือเศร้า? (ภาค 1)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6289483/B6289483.html

(25) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน…..ชีวิตในต่างแดน….สุขหรือเศร้า? (ภาค 2)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6300333/B6300333.html

(26) "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน…..ชีวิตในต่างแดน….สุขหรือเศร้า? (ภาค 3)
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6306792/B6306792.html




***************************************************************************


*********ขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านและเพื่อน ๆ ทุกท่าน**********

ที่กรุณา Click เก็บเข้าคลังกระทู้ทุกครั้งหลังการอ่านจึงทำให้ยังมีข้อมูล
เก็บอยู่ในคลังกระทู้เก่าที่ท่านสามารถนำกลับมาอ่านและใช้ประโยชน์ได้อีก…


ตอนสุดท้ายที่อยากจะเล่าสู่กันฟัง:

*******************************************************
**********D E S T I N Y H U R T S M E!!!**********
(ตอนจบที่จะเฉลยทุกคำตอบที่ยังเป็นปริศนาในวัน Valentine’s?)
*******************************************************

เรามีนัดกันเช้าตรู่วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551........


***กระทู้พิเศษหลังจากตอนจบ***

***********************************************
“20 คำถามกับเลขาฯ ตัวแสบ!”
***********************************************

เพื่อตอบแทนท่านผู้อ่านทุกท่านสำหรับแรงบันดาลใจ
และกำลังใจในการเขียนประสบการณ์ในครั้งนี้จนจบ
ผู้ตอบคำถามถูกต้องและได้คะแนนสูงสุดจะได้รับบัตรเชิญ
รับประทานอาหารเย็นกับ “เลขาฯ ตัวแสบ!”
หรือเลือกรับบัตรกำนัลซื้อหนังสือจาก Thailand Book Tower
มูลค่า 1,000.- บาท
หรือบัตรชมภาพยนตร์ในเครือ Major มูลค่า 1,000 บาท

โปรดติดตามกระทู้พร้อมกติกาหลังตอนจบ…..



Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2551 13:27:03 น. 8 comments
Counter : 612 Pageviews.

 
สนุกเหมือนเดิมค่ะ


โดย: สามสิบเอ็ดธันวา วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:31:38 น.  

 
แวะมาดู


โดย: คนก่อน IP: 124.120.216.138 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:7:13:48 น.  

 
^^^

ขอบคุณ "คุณคนก่อน" ที่แวะมาดูถึงใน Blog ด้วย!


โดย: "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme ) วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:14:38 น.  

 
ขอบคุณ "คุณสามสิบเอ็ดธันวา" ที่ติดตามอ่านและเข้ามาให้กำลังใจโดยตลอด...


โดย: "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme ) วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:16:08 น.  

 
รออ่านตอนต่อไปค่ะ


โดย: Muay Ja IP: 58.8.38.168 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:26:42 น.  

 
Thanks Muay Ja!


โดย: "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme ) วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:26:11 น.  

 
ดีใจด้วยมากๆเลยค่ะ ที่ได้ทั้ง sandy และ ด๊อกเตอร์ ครอบครัวที่อบอุ่น คือ สิ่งที่ทุกคนปรารถนา


โดย: หิ่งห้อยพราวแสง IP: 118.172.158.122 วันที่: 13 มีนาคม 2551 เวลา:13:30:56 น.  

 
คุณหิ่งห้อยพราวแสง

ขอบคุณมากที่เข้ามาทักทาย

ทีจริงมีน้องพอลด้วยอีกหนึ่งคนรวมเป็น 3
คือน้อง Sandy, น้อง Docor และน้อง Paul..
:D


โดย: "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme ) วันที่: 13 เมษายน 2551 เวลา:11:51:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Destinyhurtsme
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add Destinyhurtsme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.