เรื่องแรดแรด..เมืองอัสสัม
แรด...ไม่ได้เป็นคำสรรเสริญเยินยอใคร แต่จะมาเล่าถึงแรด - สัตว์สี่เท้าที่หากเพ่งดูดีๆแล้ว หน้าตาก็น่ารักเอาการอยู่ไม่น้อยไม่ใช่แรดในสวนสัตว์เมืองไทยแต่อย่างใด แต่เป็นแรดที่นู่นค่ะ อัสสัม ประเทศอินตะระเดียอันที่จริงว่าจะเขียนถึง อัสสัม มานานแล้ว ติดที่ว่าหาไฟล์รูปไม่เจอ เลยค้างๆไว้ก่อนมาวันนี้อากาศดีๆ เย็นสบาย ...ยังหาไฟล์รูปไม่เจออยู่ดี ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการถ่ายรูปจากรูปที่อัดไว้แล้วมาลงแทน ความชัดเลยอาจไม่เท่าของจริงนะคะหลายปีก่อนมีโอกาสไปรัฐอัสสัม อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียค่ะนักภาษาศาสตร์หรือนักมานุษยวิทยาต้องคุ้นชื่อรัฐนี้ เพราะเป็นที่อยู่ของกลุ่มคนไท-ชาติพันธุ์เดียวกับคนไทยแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานี่ล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นภาษาหรือวัฒนธรรมจึงมีความคล้ายคลึงกันอยู่ส่วนดิฉันผู้ไม่ค่อยคุ้นอะไรสักอย่างก็ได้แต่มึนๆงงๆ แต่ก็สนุกไม่น้อยบางช่วงบางตอนของแม่น้ำพรหมบุตร หนึ่งในแม่น้ำที่ไหลผ่านอัสสัม ชาวอินเดียเรียกว่า Mighty Brahmaputra รูปนี้ถ่ายตอนนั่งเรืออยู่ในแม่น้ำค่ะ แม่น้ำพรหมบุตรกว้างมากจนน่าทึ่งในความยิ่งใหญ่ สมแล้วกับที่ชาวอินเดียขนานนามให้ จะข้ามฝั่งแม่น้ำพรหมบุตรทางรถก็ต้องใช้เวลานานอยู่บนสะพานเพราะแม่น้ำกว้างมากๆ ปริมาณน้ำเยอะขนาดนี้ ถึงฤดูน้ำหลากเมื่อไหร่ น้ำจากแม่น้ำพรหมบุตรจะทะลักเข้าท่วมเรือกสวนไร่นาบ้านเรือนชาวบ้าน...เสียหายเยอะทีเดียวค่ะออกจากเมืองกูวาฮาติ ที่ประมาณว่าเป็นเมืองหลักของรัฐอัสสัมแล้ว ก็นั่งรถมุ่งหน้าไปโบกาคัต อยู่ห่างจากกูวาฮาติประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร จะไปเที่ยว อุทยานแห่งชาติคาซิรังก้า อุณหภูมิ 20 องศาหน่อยๆ เท่ากับเมืองกูวาฮาติ แต่หนาวกว่า เพราะเป็นที่โล่งลมโกรกที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวท่องซาฟารีด้วยนะคะ นั่งรถจี๊ปเปิดประทุนคันละ 3-4 คน ตะลอนๆตะลุยๆไปตามทางเล็กๆแคบๆ กระเด็นกระดอนโยกเยกอยู่บนรถ อารมณ์ไหนไม่รู้ดันเปิดขวดน้ำอัดลม หลังจากผ่านการตกหลุมตกหล่มมาจนได้ที่แล้ว แรงอัดในขวดก็ส่งให้น้ำโชะมาโดนเสื้อ...เหนียวไปเลยสองข้างทางจะเป็นทุ่งหญ้าซะเป็นส่วนใหญ่ สัตว์ที่อาศัยอยู่ตรงนั้นก็มีอย่าง ช้างป่า ควายป่า กวางป่า สุนัขจิ้งจอก ชะนี ฯลฯ และ...เสือ ที่เจ้าหน้าที่ประจำรถชี้ให้ดูร่องรอยตรงที่รถจอดอยู่ว่า นี่ล่ะ ตะกี้เสือเพิ่งเดินผ่านไปเอ๊ง!แรดนี่ล่ะค่ะ พระเอกนางเอกของอุทยานแห่งชาติคาซิรังก้า ดูซิทำตาโตเชียว ฮ่าๆ สงสัยตกใจมีคนแอบดูอุทยานฯ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อพ.ศ.2528 เพราะเป็นแหล่งธรรมชาติที่สมบูรณ์มากๆแห่งหนึ่ง ที่สำคัญอุทยานฯ ยังเป็นแหล่งรักษาพันธุ์แรดนอเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยถามเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่บอกว่าที่นี่มีแรดนอเดียวอยู่ประมาณ 1,600-1,800 ตัว (ตอนนั้นคือปี 2548 นะคะ) แต่ถ้าเกิดน้ำท่วมใหญ่ก็ต้องทำใจ เพราะจะพัดพาชีวิตแรดไปหลายสิบตัวจะเข้าไปดูแรดได้มี 2 วิธีค่ะ หนึ่ง. คือ นั่งรถจี๊ป สอง. คือ ขี่ช้างจับตั๊กแตนตอนที่ไปเลือกการนั่งบนหลังช้าง ตื่นเต้นพอสมควร กลัวช้างทำหล่น แรกๆนั่งเกร็ง สักพักค่อยเอียงตัวไปตามจังหวะการเดินของช้าง สนุกไปอีกแบบค่ะฝ่าพงหญ้าที่ขึ้นสูงท่วมหัวเราแล้ว มองซ้ายมองขวาก็เห็นเป้าหมายแล้วค่ะ แรด แรด แล้วก็แรด ดูท่าทางเบิกบานสำราญใจน่าดูดูแรดจนอิ่มแล้วก็ออกจากอุทยาน ไปหาชาจิบดีกว่า ไปถึงอัสสัมทั้งทีไม่ชิมชาได้ไง...เสียเที่ยวชาอัสสัมขึ้นชื่อมากค่ะเรื่องรสชาติที่เข้มข้น หากใส่นมสดเข้าไปด้วย รสชาติจะอร่อยมากขึ้น ไร่ชาที่แวะเป็นหนึ่งในหลายร้อยหลายพันไร่ชาในอัสสัม อาศัยน้ำจากแม่น้ำพรหมบุตรรดให้ต้นชาเจริญเติบโต ตอนที่เข้าไปในไร่ชารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของสีสัน สีเขียวของใบชาและต้นไม้ที่รายรอบพื้นที่ไร่ - สีน้ำตาลของพื้นดิน - สีชมพูจัด, สีเหลือง, สีฟ้า ฯลฯ ของส่าหรีที่หญิงซึ่งกำลังทำหน้าที่เก็บใบชาสวมใส่ ..เสียดายที่รูปหายไปไหนแล้วไม่รู้ เลยมีแต่ไร่ชาเขียวๆมาให้ดูแทนลองเก็บใบชาท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ดูสักพัก เห็นท่าตัวเองจะไม่รุ่งเพราะเด็ดแล้วใบขาดซะเป็นส่วนใหญ่ (เสียของจริงๆ) เลยเข้าไปในห้องชิมชา มีชาหลายสายพันธุ์หลายชนิดให้เลือกชิม กลิ่นหอมบาง กลิ่นหอมเข้ม แตกต่างไป-ไม่เหมือนกัน ไม่ค่อยได้จิบชาเท่าไหร่ แต่พอไปอัสสัมแล้วเรื่องการจิบชาเป็นเรื่องปกติไปเลย เพราะเขามีวัฒนธรรมการดื่มชานั่นเองมีนาปีหน้าก็จะ 3 ปีแล้วที่ได้ไปเที่ยวอัสสัม แต่สิ่งที่ได้เห็นก็ยังแจ่มอยู่ในความทรงจำบางคราวยังหวังว่าจะได้กลับไปที่นั่นอีกครั้ง...
น้องแรดดูแล้วบึกบึนดีจัง พอได้อยู่ตามธรรมชาติอย่างนี้ คนละแบบกับแรดเฉาที่เขาดินเลย (aka "แรดไม่ออก")
เห็นชาอัสสัมแบบนี้ นึกถึงการ์ตูนที่มีเจ้าชายเทวดาจิ๋วในน้ำชา เจ้าชายอัสสัมดาร์กทอลล์แอนด์เวรี่แฮนซั่ม