ความเครียดคนเราทุกวันนี้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาไม่ว่าที่บ้าน ที่ทำงาน ระหว่างไปทำงานหรือที่ไหนก็ตาม และส่วนมากก็ทราบกันดีอยู่ว่าความเครียดเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายต่างๆ ฉะนั้นคนเราต้องพยายามไม่เครียดเพื่อไม่ให้เกิดโรคร้ายต่างๆ แต่ก็อย่างว่าไม่มีใครไม่เคยรู้จักความเครียด เพราะตอนนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมากมาย คนเราก็เปลี่ยนแปลงตามโลก โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็วิวัฒนาการตามคน ทุกวันนี้ จขบ. เครียดหลายอย่างเรียกว่าเครียดเป็นรายวัน ทั้งที่พยายามไม่คิดไม่เครียด แต่บางเรื่องบางสิ่งไม่คิดไม่ได้ อย่างเช่นเรื่องคนในบ้าน หรือเรื่องการงาน ที่มีเรื่องราวของคนและงานที่มาเพิ่มความเครียดให้เกิดขึ้น ทำให้คนเราเปลี่ยนพฤติกรรมปรับตัวเองตามสภาพแวดล้อม บางครั้งกลายเป็นพฤติกรรมซ้ำซากจำเจที่ทำร้ายร่างกายคนเราอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เผอิญเจอเนื้อหาพฤติกรรมประจำวันที่ทำร้ายสุขภาพพวกเราอย่างไม่รู้ตัวและวิธีแก้ไข ดังนี้ค่ะ
1. ความเครียดเป็นตัวทำลายและสร้างความเสียหายกับฮอร์โมนของคุณ
การทำงานในระยะเวลา 8 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นงานที่เร่งด่วน หรือการประชุม ที่คุณต้องจัดมันให้เสร็จสิ้น และหากคุณไม่สามารถจัดการมันได้ ก็จะส่งผลต่อความเครียด และฮอร์โมน ในร่างกายที่แปรผัน รวมไปถึงระบบภูมิคุ้มกันที่จะทำให้คุณปวดศีรษะ,ความดันโลหิตสูง หรือ โรคลำไส้ได้นั่นเอง
วิธีการแก้ไข
อย่าทำชีวิตของคุณให้เครียดเกินเมื่อรู้สึกเครียดให้สูดลมหายใจเข้าออก และบริหารร่างกายกึ่งโยคะ หรือเน้นท่องคาถา ให้ปลงในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันก็จะช่วยให้ลดความเครียดลงได้ไม่มากก็น้อย
2. นั่งทำงานทั้งวันจะทำให้เกิดปัญหากับหลัง
การนั่งนานๆ สร้างความปวดเมื่อยให้ก้นของคุณ โดยเฉพาะการนั่งยาว 8 ชั่วโมงแบบไม่ลุกไปไหน อีกทั้งสายตา ที่ต้องจ้องมองหน้าคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากคุณทำเช่นนี้ไปนานๆ จะส่งผลต่อระบบ สายตา และโครงสร้างร่างกายในระยะยาว สำหรับร่างกายของคนเรานั้นไม่ได้ออกแบบมาให้นั่งอยู่ตลอดวัน และการนั่งนานๆ จะทำให้เกิดอาการปวดหลัง อีกทั้งการพิมพ์และใช้เมาธ์ทั้งวันนั้น ก่อให้เกิดปัญหาที่ข้อมือด้วยเช่นกัน รวมไปถึงระบบสายตาขั้นรุนแรงด้วย
วิธีการแก้ไข
ไปห้องน้ำ หรือว่ามีถ้วยน้ำเล็กๆ เอาไว้ที่โต๊ะเพื่อให้คุณได้เดินไปเติมน้ำบ่อยขึ้น หรือว่าจะลุกไปสูดอากากาศบริสุทธิ์ นอกจากนั้นจะใช้วิธีการพักสายตาสัก 1-2 นาที แล้วกลับมาทำงานใหม่ ....หากคุณไม่สามารถลุกไปไหนได้ ก็ขอให้หาท่าทางที่เหมาะสมที่สุด
3. การเลือกอาหารทำให้ส่งผลกับน้ำหนัก
คุณมีผลไม้หรือผักวางไว้อยู่ที่โต๊ะบางหรือไม่ บางออฟฟิต เรียกว่าแทบจะไม่มี ร้านผลไม้ หรือว่าอาหารที่ทำจากผักเลย จนบางทีทำให้คุณรับประทานมันจนเคยตัวไม่ว่าจะเป็น กาแฟ,น้ำอัดลม หรือจำพวกแป้ง ส่งผลให้เกิดน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งโรคอ้วนถือเป็นโรคในอันดับต้นๆ ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลก
วิธีการแก้ไข
การนำอาหารกลางวันมาเอง นั่นเป็นทางเลือกที่คุณจะเลือกสิ่งที่ควบคุมได้ โดยจะช่วยตัดจำพวกแป้ง หรือ อาหารที่ก่อให้เกิดการเพิ่มน้ำหนัก อีกทั้งการตุนกล้วย,แอปเปิ้ล หรือ สัปปะรด เข้ามาไว้ในตู้เย็น ของออฟฟิต ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก ซึ่งนั่นมันช่วยให้ยามบ่ายของคุณได้รับประทานสิ่งที่ไม่หนักเกิน
4. นอนไม่พออาจทำให้เกิดปัญหาระยะยาว
การนอนไม่พอในช่วงสัปดาห์ การนอนเฉลี่ยที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่นั้นต้องพักผ่อนวันละไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน แต่นั่นมันอาจจะยากเย็นสำหรับผู้คนวัยทำงาน และชีวิตในสังคมที่ต้องหาส่วนเติมเต็มความสุข ทำให้การพักผ่อนในแต่ละวันจะไม่เท่ากัน ซึ่งการขาดการพักผ่อนที่ต่อเนื่องนี่เอง อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้เช่นกัน นอกจากจะไม่ได้มีเวลาเพียงพอในการนอน ความเครียดยังไม่ผลต่อการหลับของคุณ และการหลั่งสารอะดีนารีน อีกทั้งการที่คุณดื่มเครื่องดื่มจำพวกคาแฟอีน ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งด้วย
วิธีการแก้ไข
ถอดปลั๊กและผ่อนคลายก่อนที่จะมุ่งไปยังเตียง ปิดไฟให้มากที่สุดเนื่องจากแสงนั้นมันจะคล้ายแสงแดดและหลอกร่างกายของคุณเหมือนในช่วงเวลากลางวัน อ่านหนังสือหรือทำโยคะเบาๆ ก่อนนอนเพื่อผ่อนคลายร่างกายของคุณ หากคุณเป็นพวกคอกาแฟ ก็ควรลดให้เหลือแค่เพียงวันละ 1 แก้ว
5. พื้นออฟฟิตของคุณเป็นที่สะสมของฝุ่น
ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในทุกออฟฟิต ซึ่งเชื้อโรคดังกล่าว มันจะแพร่ไปยังพนักงาน ไม่ว่าจะทั่งในห้องน้ำ ห้องครัว หรือ ลิฟท์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยจากการศึกษาโดยรัฐเพนน์, 30% ของความเจ็บป่วยเริ่มต้นในที่ทำงาน เมื่อเปรียบเทียบกับที่บ้านแค่ 18% ซึ่งสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมและสถานที่ รวมทั้งอุณภูมิ ที่ไม่โดนแสงแดง ทำให้เชื้อโรคนั้นไม่สามารถตายได้นั่นเอง
วิธีการแก้ไข
ล้างมือให้สะอาด ตลอดเวลาที่คุณเบื่อหรืออยู่ในช่วงเบรค ให้ไปล้างมือของคุณ หากคุณกำลังป่วยก็ให้อยู่บ้านซะ ไม่ต้องมาทำงานเพราะจะทำให้เชื้อเพิ่มขึ้น....นอกจากนั้นเวลาทั่วไปหากคุณออกจากที่ทำงานแล้วรู้สึกปวดศีรษะรุนแรงในทุกๆ คืน คุณเองคงต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในออฟฟิตของคุณ อย่าให้เหตุผลเพียงว่าเกลียดงานตรงนั้น
ก็ขอบคุณเนื้อหานี้จาก Teenee.com เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ต้องระวังกันหน่อยนะคะ เพราะโลกเราเปลี่ยนแปลงไปเยอะเราต้องตามโลกให้ทันพยายามเรียนรู้เท่าทัน และหากเครียดจนทำให้เกิดทุกข์ก็ต้องหัดปล่อยวางและทำใจอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะคะเค้ากำหนดมาแล้วอย่างข้อความภาพนี่ล่ะที่บอกว่า "ถ้าไม่ล้มคงไม่รู้จักลุก ถ้าไม่ทุกข์คงไม่รู้จักสุข" นั่นเพราะเราทุกคนมีทางที่เดินแตกต่างกัน บางคนเลือกที่จะคว้าความทุกข์มากกว่าความสุข บางคนพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความทุกข์ เหมือน จขบ. พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความทุกข์ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็น้อมรับด้วยสติ และความคิดว่า มีทุกข์ได้ก็สุขได้ มันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปแบบนี้ล่ะ จึงอยากฝากบทความภาพข้อคิดคำคมที่ได้มาจากในเนทเผื่อใครไม่เคยผ่านตามาค่ะ...
คนเรามีเส้นทางที่เดินไปสู่ความพึงพอใจ และความสุขที่ต่างกัน
การที่พวกเขาไม่ได้เดินไปทางเดียวกับคุณ
ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเดินหลงทาง
โดย Jackson Brown (นักร้อง,นักดนตรีชาวอเมริกัน)
จากหนังสือ กล้าเริ่มใหม่....กล้าเปลี่ยนแปลงตนเอง
รวบรวม,เขียนและแปลโดย เบญญาวัธน์
เวลาถ่ายรูป . . . ส่วนใหญ่เราก็มักจะเก็บภาพ
ที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ความประทับใจ
น้อยคนนักที่จะถ่ายภาพในยามเศร้า เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ
ดังนั้น . . . เราจึงมีภาพถ่ายงานฉลองวันเกิดกัน
แต่ไม่มีภาพถ่ายตัวเอง เป่าเค้กวันเกิดอย่างเดียวดาย
มีภาพงานวิวาห์ที่พรั่งพร้อมสมบูรณ์แบบ
แต่คงมีน้อยมาก ที่จะถ่ายภาพในวันหย่าร้างอันแสนขมขื่น
การทำใจลืมอดีตที่มีแต่ความเจ็บปวด ให้หมดสิ้นไป
โดยไม่ต้องหลงเหลือให้บันทึกไว้ในชีวิต ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เหมาะสมที่สุดกับการดำเนินชีวิตของคน
จากหนังสือ ภาพแห่งชีวิต (The Moments)
เรื่องและภาพโดย - Jimmy Liao
แปลโดย วิลาวัลย์ สกุลบริรักษ์
ฝนยังไม่ตกทุกวัน ฟ้ามีมืดก็มีสว่าง
แล้วจะยึดติดทำไมกับอะไรที่ผ่านเข้ามาล่ะครับ
เพราะไม่ว่าสุขหรือทุกข์ มันก็คงไม่อยู่กับเรานานอยู่ดี
คิดไว้แบบนี้จะได้สบายใจ
แต่ถึงแม้ความทุกข์มันจะรักเรามากกว่า
เพราะมาหาเราบ่อยเหลือเกิน
ก็ให้ถือเสียว่า เป็นการฝึกความแข็งแรงของใจ
และถึงจะต้องร้องไห้ ก็ให้ถือเสียว่า
ดวงตาของเราก็อยากแข็งแรงเหมือนกัน . . .
ผมมักจะบอกตัวเองอยู่เสมอๆ ว่า
ถ้ามองทุกอย่างในแง่จริง แล้วมันเจ็บปวดนัก
ก็ให้มองมันในแง่ดี ส่วนแง่ร้ายก็ลืมๆ มันไป
ทำเป็นมองไม่เห็นมันเสียบ้าง
คงไม่เสียโอกาสอะไรในชีวิตไปหรอก
ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่ให้เลี่ยงที่จะรับรู้ความจริง
แต่ความจริง ก็มีหลายด้านให้เลือกมองไม่ใช่หรือ
โดย สุวัชชัย แก้วพระอินทร์ (นักจัดรายการวิทยุ)
จากนิตยสาร ELLE ฉบับที่ 120
เรื่องสำคัญที่มักบอกกับลูกๆ เสมอ คือ อย่าประมาท
ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ . . . อย่ายอมสูญเสียความสุข
วิธีทำให้คนอื่นรัก . . . ง่ายมาก คือ รีบรักคนอื่นเสียก่อน
อย่าพูดถึงใครในแง่ร้าย ถ้าอยากสวย . . . ยิ้ม !
สำคัญ คือ ผมจะสอนในสิ่งที่ผมสามารถทำได้
โดยให้เขาเห็นตัวอย่าง จากการปฏิบัติของผม
เช่น การตรงต่อเวลา ไม่โกหก ฯลฯ
เมื่อเขาเห็น เขาก็จะทำอย่างเราเอง
โดย เชิด ทรงศรี (นักเขียน,ผู้กำกับภาพยนตร์)
จากนิตยสาร Kid & Family ปีที่ 9 ฉบับที่ 97
ความเศร้า . . . เป็นสัจจะของความสุขนะครับ
ความเศร้าชั่วนิรันดร์
แต่ความสุขเหมือนพ่นลมหายใจรดกระจก
ถ้าคุณผ่านความทุกข์เศร้ามาได้แม้เพียงครั้ง นั่นก็ทำให้คุณแกร่งขึ้น
และขณะเดียวกัน . . .
มิใช่ความแกร่งที่ด้านชาเหมือนผาหิน
แต่เป็นภาวะของการเติบโต ตระหนัก
และยอมรับสรรพสิ่งอย่างที่มันเป็น และดำรงอยู่
โดย พิบูลศักดิ์ ละครพล (นักเขียน)
จากนิตยสาร ขวัญเรือน ฉบับที่ 779
ดวงตาเหมือนๆ กัน แต่มีมุมมองต่างกัน
หูเหมือนๆ กัน แต่มีการฟังต่างกัน
ปากเหมือนๆ กัน แต่มีวิธีการพูดเหมือนกัน
หัวใจเหมือนๆ กัน แต่ก็มีความรู้สึกต่างกัน
เป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่านะ
คนเหมือนๆ กัน . . .
ถึงได้มีความสุขและความเศร้าแตกต่างกัน
ส่วนหนึ่งจากบทกวี ความสุขกับความเศร้า
จากหนังสือ ทำไม (Pourquoi)
เรื่องและภาพโดย - Jimmy Liao
แปลโดย เจ้าเปี๊ยก
"ปัญญา" คือสิ่งสำคัญที่สุด ที่คุณต้องมี
"ความรู้' ช่วยให้คุณรู้ว่าจะทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จได้อย่างไร
แต่ปัญญาที่มีความหมาย รวมถึงสามัญสำนึก
จะทำให้คุณสามารถตัดสินใจว่าจะทำอะไร
และทำไมต้องทำสิ่งนั้น
มีแต่ปัญญาเท่านั้นยังไม่เพียงพอ
คุณต้องรู้จักตัวเองเสียด้วย
คุณต้องรู้ว่าคุณคือใคร คุณชอบอะไร
และคุณต้องการเป็นอะไร . . .
การรู้จักตัวเองมากขึ้นนั้น
บางครั้งเรียนรู้ได้จากข้อผิดพลาด
และความล้มเหลวที่คุณประสบ
สิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนกำแพงที่ขวางคุณ
และคุณต้องพยายามทำลายกำแพงนั้น
หรือไม่ก็ปีนข้ามมันให้ได้
เมื่อคุณทำได้แล้ว . . . คุณจะพบตัวตนที่แท้จริงของคุณ
ปาฐกถาของ : Robert B.Reich
(อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริกา
กล่าวไว้ในงานพิธีมอบปริญญาบัตร Grinnell College เมื่อปี 2545)
แปลโดย ปวเมศวร์ เจตนาการณ์สกุล
เรียบเรียงโดย หนุ่มเมืองจันทร์
จากนิตยสาร มติชนสุดสัปดาห์ ปีที่ 24 ฉบับที่ 1238
ใจกลางความรู้สึกดีๆ
แม้และถึงแม้วันเวลาผ่านเพียงไหน
ฉันนั้นก็พร้อมที่จะไปกับเธอได้สุดทาง
ที่ๆ จะมีเธอและฉัน
มันก็เป็นเหมือนใจกลาง ความรู้สึกดีๆ
อย่าคิดท้อแท้ไปว่าตัวเธอไม่มีใคร
อย่าหมดความหวังเรื่องจะเจอคนที่เธอมุ่งหมาย
เธอคิดไปเองหรือเปล่า เคยมองรอบตัวหรือไม่
มีคนๆ นั้นยืนอยู่ไม่ไกล
อาจจะเพราะว่าเขาได้แต่มองเธอกลัวๆ กล้าๆ
อาจจะเพราะว่าเขายังไม่ดีพอในวันที่ผ่านมา
แต่ในวันนี้จะบอกให้รู้ว่าเขาคือใคร
จะบอกไปผ่านในเสียงเพลง ฟังดูก็จะรู้เอง
ขอฉันนั้นขอดูแลเธออยู่ตรงนี้
พร้อมเพราะฉันพร้อมจะเข้าใจ ใส่ใจมอบสิ่งดีๆ
จะวันนี้หรือพรุ่งนี้ จะทำให้เธอมั่นใจ
แม้และถึงแม้วันเวลาผ่านเพียงไหน
ฉันนั้นก็พร้อมที่จะไปกับเธอได้สุดทาง
ที่ๆ มีเธอและฉัน
มันก็เป็นเหมือนใจกลาง ความรู้สึกดีๆ
ตั้งแต่ฉันได้พบเธอไม่มีใครเปลี่ยนใจฉันได้
ตั้งแต่ฉันได้พบเธอ ก็มองไปได้ไกลถึงจุดหมาย
ตลอดชีวิตฉันอยู่ตรงนี้มาเพื่อรอใคร
จะบอกไปผ่านในเสียงเพลง ฟังดูก็จะรู้เอง
ขอฉันนั้นขอดูแลเธออยู่ตรงนี้
พร้อมเพราะฉันพร้อมจะเข้าใจ ใส่ใจมอบสิ่งดีๆ
จะวันนี้หรือพรุ่งนี้ จะทำให้เธอมั่นใจ
แม้และถึงแม้วันเวลาผ่านเพียงไหน
ฉันนั้นก็พร้อมที่จะไปกับเธอได้สุดทาง
ที่ๆ มีเธอและฉัน
มันก็เป็นเหมือนใจกลาง ความรู้สึกดีๆ
จะบอกไปผ่านในเสียงเพลง ฟังดูก็จะรู้เอง
ขอฉันนั้นขอดูแลเธออยู่ตรงนี้
พร้อมเพราะฉันพร้อมจะเข้าใจ ใส่ใจมอบสิ่งดีๆ
จะวันนี้หรือพรุ่งนี้ จะทำให้เธอมั่นใจ
แม้และถึงแม้วันเวลาผ่านเพียงไหน
ฉันนั้นก็พร้อมที่จะไปกับเธอได้สุดทาง
ที่ๆ มีเธอและฉัน
มันก็เป็นเหมือนใจกลาง ความรู้สึกดีๆ
คือความรู้สึกดีๆ
ไม่เครียดซะอย่าง สบายไปล้านแปดจริงๆครับ