ปัจจุบันคนที่ประสบความสำเร็จในความรักจนได้ครองคู่กันต้องฝ่าฟันสิ่งต่างๆ มากมาย ไม่ว่าในด้านความรู้สึก ครอบครัวของแต่ละฝ่าย ฐานะทางสังคม ฐานะทางการเงิน ฐานะทางการงาน และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นอุปสรรคให้ความรักของคนสองคนที่ทำให้ไม่สามารถเดินไปสู่จุดหมายได้ ใครๆ ก็ต้องการมีคู่ที่ดี มีความอบอุ่นและมั่นคงในชีวิตคู่

การดำเนินชีวิตของคนเราปัจจุบันจึงยากจะประสบความสำเร็จในความรักได้ ผิดกับชีวิตคู่ในสมัยโบราณ ความรัก ความเข้าใจ จึงเปรียบเหมือนพลังที่ช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้คนที่มีความรักมีความสุขและยืนหยัดในความรักอยู่ได้ ซึ่งเค้าว่ากันว่าอยากให้ความรักอยู่คงทนถาวรชั่วกาลนานนั้นต้องมีสิ่งเหล่านี้


ยกย่อง

การยกย่องให้เกียรติกันและกันมีความสำคัญมากเป็นอันดับต้น ๆ การรู้จักยกย่องอีกคนไม่ว่าต่อหน้าและลับหลัง จะทำให้ชีวิตคู่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่นไร้ปัญหา การยกย่องให้เกียรติกัน ก็ด้วยการไม่คุยถึงอีกฝ่ายหนึ่งในทางเสื่อมเสียถึงแม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม มีอะไรก็ตกลงพูดกันเองให้ได้ก่อนเพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน พูดกันเองดีกว่าเอาไปพูดให้คนอื่นที่ไม่รู้ปัญหาระหว่างคนสองคนจริงๆ ฟัง ถ้าสักวันต้องกลับมาคืนดี หรือหายโกรธกันแล้วเราไม่สามารถไปเอาคำพูดคืนจากคนที่เราไประบายให้เค้าฟังได้ แต่คนๆ นั้นอาจเอาเรื่องราวของเราไปเล่าให้ใครต่อใครฟังได้ และในที่สุดก็มาถึงหูคนของเรา ก็จะกลายเป็นเรื่องใหม่ที่คนของเราอาจไม่ชอบใจในสิ่งที่เราทำในตอนนั้นก็ได้ จงมีสติอย่าใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหาทุกอย่างไม่งั้นเรื่องเหล่านี้อาจเป็นเรื่องที่บานปลายได้



ยินยอม

รู้จัก ยินยอม ตามใจกันบ้าง นั่นเพราะคน 2 คนมาจากที่แตกต่างกัน ต้องมาใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันอาจมีหลายครั้งที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็ต้องปรับตัวเข้าหากันด้วยการพูดคุยอันไหนยอมกันได้ก็ยอมไป อันไหนเป็นเหตุผลที่รับไม่ได้ยอมไม่ได้ก็ปรึกษาหารือกันด้วยเหตุและผลอย่าปรึกษาด้วยการใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ บางคนถึงกับเอาชนะคะคานไม่มีใครยอมใคร แล้วแบบนี้จะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ในขณะที่การอยู่ร่วมกันนั้นมีหลายเรื่องที่ทั้งคู่จำเป็นต้องตัดสินใจร่วมกัน ถ้าต่างฝ่ายต่างถือเหตุผลของตัวเองเป็นใหญ่และเห็นว่าถูกต้องไม่มีใครยอมใคร บางครั้งเกิดเหตุการณ์แบบนี้ที่ที่เรียกว่า การมีทิฐิ ไม่มีใครยอมใครมุ่งแต่จะเอาชนะไม่ยอมกัน สักวันชีวิตคู่แบบนี้ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ในที่สุดก็เจ็บปวดทั้งคู่



ยืดหยุ่น

ในความเป็นจริงการมีชีวิตคู่ที่อยู่กันอย่างยาวนานนั้นต้องมีการยืดหยุ่นให้กันและกัน ยิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าใด ก็ยิ่งรู้จัก และผูกพันกันมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ให้นึกถึงตอนที่เริ่มรู้จักกัน จนได้อยู่ด้วยกันว่าตอนนั้นอะไรก็ทนได้หมด แต่ไหงพออยู่กันไปกลับทนเรื่องที่เคยทนไม่ได้ มีคนวิเคราะห์เป็นเพราะ ไม่อยากทนเรื่องเดิมๆ ที่เกิดแล้วเกิดอีกซ้ำซาก จึงควรมีความยืดหยุ่นเพื่อให้ชีวิตคู่อยู่กับคนสองคนยาวนานด้วยการรู้จักประนีประนอม ผ่อนปรนให้กันและกันบ้าง



แยกแยะ

ควรแยกแยะทุกเรื่องออกจากกัน เช่นเรื่องงานก็ให้อยู่่ที่ทำงาน เรื่องในบ้านก็ควรให้อยู่ในบ้าน อย่าเอาเรื่องในบ้านไปโพทะนาให้คนอื่นรู้เพราะบางทีคนนอกบ้านก็ไม่ได้หวังดีกับเราเสมอไป ไปเจอคนโรคจิตเข้าจะเสียใจ หรือหงุดหงิดจากที่ทำงานก็อย่ามาทำอารมณ์เสียหงุดหงิดใส่คนที่บ้าน ควรแยกให้ออกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานให้ดีอย่าเอามาปะปนกัน



ยืนหยัด

ไม่ว่าอะไรจะเกิด ไม่ว่าจะมีปัญหาต่างๆ มากมาย ต้องยืนหยัดต่อสู้ร่วมกัน ต้องฝ่าฟันอุปสรรคปัญหาทุกอย่างที่เกิดให้ได้ จงดีใจที่อย่างน้อยไม่ได้โดดเดี่ยวคนเดียวแต่มีใครคนหนึ่งที่รักกันอยู่เคียงข้างและช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างไปด้วยกัน จะล้มลงอีกสักกี่ครั้งก็ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าจะท้อแท้เพียงใดก็จับมือกันไว้ให้มั่นลุกขึ้นยืนใหม่ให้มั่นคงเข้มแข็ง สักวันชัยชนะก็จะเป็นของคนที่ลุกขึ้นต่อสู้..ไม่ทิ้งกันในวันนี้...กลายเป็นความผูกพันที่ประทับใจกันในวันข้างหน้าแล้วแบบนี้คนสองคนจะทิ้งกันได้ลงอีกหรือ...




และจะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ทำไมคนที่เคยอยู่เคียงข้างเรา คนที่เราตัดสินใจจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ทำลายสัมพันธภาพที่มีด้วยการไปมีคนอื่น หรือเลิกราละทิ้งเราได้ สิ่งที่จะบอกเหล่านี้ล้วนมีส่วนที่ทำให้ชีวิตคู่ของใครบางคนอับปางโดยไม่รู้ตัว คือ


ชอบเอาชนะคะคานกัน ความรักไม่ใช่สนามรบ หรือสนามเกมแข่งขัน ที่มาแข่งขันกันแบบเอาแพ้เอาชนะกัน เพราะความรักต้องมีความเสียสละ มีความห่วงใยให้กันต้องรู้แพ้รู้ชนะและยอมอีกฝ่ายหนึ่งบ้างด้วยเหตุและผล ผู้ชายบางคนรู้สึกเสียหน้าขาดความมั่นใจที่ต้องตกเป็นช้างเท้าหลังให้ผู้หญิง ทั้งที่โบราณมักพูดเสมอว่า คนกลัวเมียมักเจริญ...555555...อันนี้ จขบ. ไม่รู้ค่ะว่าจริงหรือเปล่า แต่รู้ว่าการยอมกันบ้างในเรื่องเล็กเรื่องน้อยจนเรื่องใหญ่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แล้วผลที่ตามมาคือ ความเกรงใจ ก็มีใครไม่รู้ตัวเองบ้างล่ะว่าตัวเองแพ้หรือชนะ แต่มีคนมายอมให้แบบนี้ คนดีๆ มักมีความเกรงใจก็เกิดความเกรงใจเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายยอมให้เพราะรัก...



ชอบจับผิด คงไม่มีใครชอบให้ใครมาจับผิดไม่ว่าจะทำผิดหรือไม่ได้ทำผิดก็ตาม ยิ่งคนไม่ได้ทำผิดแล้วมีใครมายัดเยียดข้อหาว่าทำผิดคงมีใครไม่ชอบใจนัก เพราะไม่มีใครอยากเป็นคนผิดแม้คนนั้นจะผิดจริงๆ ก็ตาม ควรเลิกจับผิดอีกฝ่าย รู้ทำเป็นไม่รู้ เห็นทำเป็นไม่เห็นบ้างก็ดี ไม่จำเป็นต้องทำเป็นรู้เท่าทันอีกคนไปซะทุกเรื่อง เข้าใจว่าคนที่ทำผิดก็รู้ตัวว่าผิด แต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองทำผิดมา มีหลายอย่างที่ทำให้เค้าสำนึกในการกระทำโดยไม่ต้องทำให้เค้ารู้สึกว่าผิดด้วยการเฝ้าคอยจับผิด เมื่อใดที่เลิกจับผิดเฉยเสียบ้างก็อาจจะเห็นอะไรที่ดี ๆ ในตัวอีกฝ่ายที่ทำให้เรามากยิ่งขึ้นก็ได้



ต้องเป็นคนที่ถูกอยู่เสมอ ถ้าใครคิดแบบนี้เท่ากับประกาศให้รู้ว่าพร้อมที่จะต่อสู้จนตัวตายแม้ต้องถึงเลิกกันก็ยังไม่ยอม จงจำไว้ว่าคนเราทุกคนมีโอกาสทำผิดกันได้เสมอ ผิดเป็นครู มีใครหลายๆ คนเรียนรู้จากการทำผิดให้เป็นถูก การทำผิดจึงเป็นเหมือนครูที่คอยสอนคนที่ทำผิดให้แก้ไขปรับปรุงและทำให้ดีกว่าเดิม ใครที่มีความคิดว่าตัวเองทำถูกและต้องถูกเสมอจงจำไว้ว่า กำลังก้าวไปสู่การสูญเสียโดยไม่รู้ตัว



ชอบเชือดเฉือน ไม่ว่าด้วยน้ำคำ ท่าทาง วาจา ที่คอยเชือดเฉือนอีกฝ่ายให้เจ็บใจเสียใจเพื่อความสะใจ แต่คิดบ้างมั๊ยว่าสิ่งเหล่านี้สร้างความขมขื่น ร้าวรานใจให้กับอีกฝ่ายไม่ลืม แม้กลับไปคืนดีกันแล้ว แต่วาจา ท่าทางเหล่านั้นยังคงจดจำในส่วนลึกของจิตใจอีกฝ่าย วันใดที่มีโอกาสได้ระบายความทรงจำส่วนนี้ก็จะทะลุออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และทวีความรุนแรงๆ จนอีกฝ่ายไม่อาจรับได้ต่อ และเมื่อนั้นก็หมายถึงจุดจบของคนสองคนแน่นอน



ความไม่จริงใจ สิ่งที่เป็นจริงไม่เคยถูกเผยออกมาและสิ่งที่พูดออกมาก็ไม่เคยเป็นเรื่องจริง อาจเป็นเพราะขาดความกล้าหาญที่จะพูดแบบตรงไปตรงมาในสิ่งที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหา พูดอ้อมๆ หรือเก็บกดเอาไว้ถามอะไรก็ตอบไปอีกเรื่องทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าไม่มีอะไรมากมายกว่าที่พูด แต่รู้บ้างไหมว่า ความอดทนของเรามีขีดจำกัด วันนี้อาจทนได้ แต่สักวันอาจทนไม่ได้กลายเป็นความเก็บกดที่อัดอั้นไว้ในใจ เหมือนระเบิดเวลาที่รอวันระเบิดออกมา เมื่อถึงเวลาระเบิดทุกอย่างก็จบ ไม่มีวันกลับและแก้ไขได้อีกแล้ว



ไม่รู้จักคำว่าอภัยให้กัน คนแบบนี้จะพกแต่ความหมองมัวในจิตใจซึ่งเป็นผลให้ทุกข์ เก็บกด และเก็บกักตัวเองอยู่กับความเจ็บปวดและขมขื่น มองโลกในแง่ลบและแง่ร้าย ซึ่งมีผลกระทบกระเทือนต่อชีวิตคู่อย่างรุนแรง ถ้าหากมีใครคนใดคนหนึ่งทำผิดขึ้นก็จะไม่มีการให้อภัยให้กันโดยลืมไปว่า คนเราทุกคนมีโอกาสที่จะทำผิดด้วยกันทั้งนั้น



เป็นคนถมไม่เต็ม จะเป็นคนที่ไม่รู้คุณค่าความรักที่มีอยู่ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะรักมากแค่ไหน ทำดีสักเท่าไร ก็ไม่เคยได้พึงพอใจ เป็นคนที่ชอบเรียกร้องความรักความใส่ใจ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายให้มากเกินพออยู่แล้ว จนในที่สุดอีกฝ่ายทนไม่ไหวและไปหาใครบางคนที่เห็นคุณค่ามากกว่า



เป็นคนยอมแพ้ทั้งที่่ยังไม่ได้ต่อสู้ มีความรู้สึกเศร้า สิ้นหวัง เหงาหงอย จงจำไว้ไม่มีใครอยากอยู่กับคนที่มีแต่ความทุกข์และจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ไปจนตาย โดยไม่คิดลุกขึ้นมาต่อสู้ และแก้ไขเพื่อตัวเองและครอบครัว หรือแม้แต่คนอื่น เอาแต่นั่งก่นบ่นชีวิตที่ล้มเหลวผิดหวังโดยไม่คิดหาทางแก้ไข หรือทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าอยากเป็นบุคคลที่สูญเสียก็ทำแบบนี้เข้าไว้รับรองต้องสูญเสียคนข้างๆ ตัวไปสักวัน




ประเทศสารขันธ์ ตอนที่ 8

สังคมประเทศสารขันธ์ตอนนี้เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นในสังคม รัฐบาลจะคอยใส่ไคล้ว่าเกิดจากน้ำมือของฝ่ายตรงข้าม เหมือนกรณีมีคนปาอึและสิ่งปฏิกูลบ้านนายกประเทศสารขันธ์ ก็เช่นกัน ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลก็ตกเป็นจำเลยว่าเป็นคนเอาอึไปปา วันนี้มีข่าวว่าได้มีการรวบตัวชายที่ปาอึใส่บ้านนายกได้แล้ว เป็นชายมีอาการทางประสาท แต่เมื่อนั่งดูข่าวและเห็นหน้าตาคนปาแล้ว ก็เห็นปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป เอ๊ะ หรือว่าน่าจะเป็นโรคเกลียดนายกหลอกหลอน...ฮ่า ฮ่า ฮ่า...เอ...ได้ทราบข่าวว่าตอนที่นายกโดนปาอึบ้านใหม่ๆ ทั้งนายก รองนายก โฆษก ฝ่ายรัฐบาลทุกตัว...เอ๊ย...ทุกคนออกมาเย๊วๆ ให้ข่าวว่าเป็นฝีมือของฝ่ายตรงกันข้าม...ตอนนี้ทุกอย่างก็กระจ่างแจ้งแล้ว ทำไมไม่เห็นใครออกมาเย๊วๆๆ...ขอโทษในสิ่งที่เคยไปใส่ไคล้ ใส่ความตามนิสัย ..เอไม่ใช่สิ ..ตามสันดาน ที่เคยชินเคยทำมาตลอดที่ได้เป็นรัฐบาล ไม่ใช่ตั้งแต่อยู่ในพรรคนี้ต่างหาก...นักข่าวอยากรู้จริงๆ ว่ามีสปิริตทางการเมืองหรือไม่ ขอโทษเป็นบ้างมั๊ย...หรือดีแต่ใส่ไข่ ใส่ไคล้ ตลบแตลงแจงสี่เบี้ยแบบเมกขึ้นมาตลอด...จากเรื่องนี้จิ้งจก ตุ๊กแก ที่เกาะฝาบ้านนายกได้นินทากันว่า...นี่ขนาดแค่คนมีอาการทางประสาท (อย่างที่ข่าวว่า) ยังมีความสามารถเอาอึ สิ่งปฏิกูลมาปาฝาบ้านเล่นได้ แล้วพวกเราจิ้งจก ตุ๊กแก ที่ไม่มีหน่วยรักษาความปลอดภัยปกป้องดูแลหลายชั้นแบบนายก พวกเราจะเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการถูกอึ ปาถูกหัวถูกหางสักแค่ไหนกันหนอนี่...พวกจิ้งจก ตุ๊กแกต่างหวาดผวาอึ..ได้ข่าวว่าตอนนี้ต่างพากันอพยพไปอยู่ค่ายกักกันการโดนอึแห่งชาติจิ้งจก ตุ๊กแกเกือบหมดบ้านนายกแล้ว...และตอนนี้ได้ทราบข่าวว่า...นายกเกิดโรคหวาดระแวงแทน..เพราะก่อนออกจากบ้านเวลาที่จะไปไหนมาไหน จะฟังเสียงจิ้งจกทักก่อนออกจากบ้าน แต่วันนี้ไม่มีจิ้งจก หรือตุ๊กแก ที่คอยร้องทัก ว่าอย่าออก..จุ๊ๆๆ..อย่าออก..เดี๋ยวจะโดนปาอึ ๆ ๆ...(ไหงจิ้งจก ตุ๊กแก เหมือนนกแก้ว นกขุนทองหว่าคะเนี่ย)

เรื่องความอิจฉา ริษยาในจิตใจของคนนิสัยไม่ดีจะมีให้เห็นกันอยู่ดาษดื่น จากเรื่องนี้ผู้สื่อข่าวสายข้างๆ ทำเนียบรัฐบาลประเทศสารขันธ์ได้รายงานว่า...วันนี้นายปากหมา ตระกูลเลวได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า...กระผมอิจฉานายพันทักษิโดจริงๆ ขนาดรัฐบาลอายัดทรัพย์ตั้งหลายพันล้านแล้ว นายพันทักษิโดยังมีปัญญาไปซื้อโน่น ซื้อนี่มากมาย..อย่าหาว่าผมเสือกเรื่องของนายพันทักษิโดไปซะทุกเรื่อง (ความจริงแล้วกระผมเสือก..ม๊ากกก..จริงๆ) ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของผมหรอกนะที่เค้าจะร่ำรวยแล้วเอาเงินไปซื้ออะไรต่ออะไรมากมายในขณะที่ผม ตระกูลเลวของผมไม่มีปัญญา ผมทำได้แค่แอบอิจฉาแบบออกนอกหน้า จนผู้คนเห็นตาผมร้อนลุกเป็นไฟลุกโชกช่วงด้วยความริษยา เพราะผมไม่มีปัญญาพอจะหาเงินได้เท่าเค้า อีกอย่างผมแค่สมองควายๆ โง่ดักดานแล้วอวดฉลาดมีปัญญาแค่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน วันๆ ผมไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน งานหลักผมคือ เลียแข้งเลียขานาย จนแข้งขาเจ้านายผมมันแพล่บไปแล้ว เจ้านายบางตัว...เอ๊ย...บางคนแข้งขาเปื่อยเพราะการเลียของผมก็มี...กรั่กๆๆๆ... งานหลักอีกอย่างคือ คอยสอดแนมเรื่องของชาวบ้าน ใครร่ำรวยกว่าผมจะตามไปอิจฉาและทำให้เค้าล่มจมจะได้ไม่ร่ำรวยเกินหน้าเกินตาผม อะไรแบบนี้...นักข่าวได้ฟัง...เอ่อ...ที่พูดมาทั้งหมดกำลังว่าตัวเองนะครับ..นายปากหมา ทำหน้าตกใจ....อ่าว..เหรอ..นี่ผมกำลังว่าตัวเองอยู่เหรอ...ตายๆๆ...เผลอด่าตัวเองไปได้ยังไงเนี่ย...มันคงเคยชินกับการเที่ยวด่าใครต่อใครน่ะ จริงบ้างไม่จริงบ้างด่าสะเปะสะปะไปตามนิสัย ไม่งั้นผมจะได้ชื่อ นายปากหมา เหรอครับ...แหะๆๆ....มีผลทำให้นักข่าว งง เป็นไก่ตาแตกสรุปรัฐบาลประเทศสารขันธ์ยุคนี้จ้างคนบ้า คนปัญญาอ่อน สติแตก มาทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาลได้ยังไงกันหนอนี่...55555555.....

วันนี้มีอดีตคณะกรรมการคตส. (ย่อมาจากคณะกรรมการควาย เต่า สุนัข มีหน้าที่กำกับดูแลการทำงานของพวกควาย พวกเต่าและพวกสุนัขจรจัดที่ลืมตัวเองและอยากเป็นใหญ่ในประเทศสารขันธ์) ได้เผยตัวออกมาอย่างร้อนรนเหมือนไฟจี้ก้น สืบเนื่องมาจากกรณีฟ้องร้องทรัพย์สินของนายพันทักษิโด ที่อดีต คตส.ผู้นี้ชอบให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับคดีนี้และถูกตอกหน้า (หนักกว่าตราหน้า)ว่าเป็นคนหนึ่งที่ชอบบิดเบือนข่าว ชอบทำให้ผู้คนเข้าใจผิดในตัวนายพันทักษิโดและครอบครัวตลอดมา...นักข่าวได้รายงานจากเหตุการณ์นี้ว่า...อดีต คตส. คนนี้ได้ให้สัมภาษณ์กรณีนี้ด้วยท่าทีพิกลมีอาการเหงื่อตกและเหงื่อแตกพลั่กๆ จะว่าร้อนก็ไม่ใช่เพราะอยู่ในห้องแอร์ตลอด..นักข่าวก็เลยสันนิษฐานกันเองว่า...อาจเป็นเพราะกลัวผลหลังจากการตัดสินแล้วกระมัง กลัวเรื่องที่พวกตนชอบบิดเบือน ใส่ความ ใส่ไข่ นายพันทักษิโดมาตลอดแล้วจะไม่บังเกิดผลสำเร็จและจะมีผลสะท้อนกลับมาหาตนเองและพรรคพวกถ้าหากคดีนี้สิ้นสุด อาจยกฟ้อง หรือนายพันทักษิโดพ้นข้อกล่าวหา ได้กลับมาประเทศสารขันธ์ แล้วพวกตนจะเป็นหมาลำบาก..เอ๊ย..เป็นเสือลำบาก จะไม่มีแผ่นดินจะอยู่เหมือนที่เคยไปทำกะคนอื่นมา..เมื่ออดีต คตส. คนนี้รู้ถึงความคิดของนักข่าว ก็จ้องกลับไปแล้วพูดขึ้นว่า...ผมรู้ความคิดของพวกคุณนะว่าคิดยังไงที่เห็นเหงื่อผมออก..ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกคุณคิดหรอก...(แน่ะนอกจากชอบบิดเบือน ใส่ความ ใส่ไข่ ใส่ไคล้ แล้วยังแสนรู้ความคิดคนอื่นอีกแฮะ) เอ๋อ..ที่เหงื่อผมออกเพราะผมไม่ค่อยได้ใส่สูทโก้ๆ แบบนี้นัก...นอกจากเวลาต้องออกตามสื่อให้สัมภาษณ์ แต่วันนี้เมียผมย้ำนักย้ำหนา..อยากเห็นผมหล่อบ้าง...ก็เลยจัดชุดใหญ่ให้ผมใส่มาให้สัมภาษณ์ทีนี้กางเกงมันก็ตัดมานานมากแล้ว จะว่าจะมีส่วนไหนในร่างกายขยายใหญ่ขึ้นก็ไม่ใช่เพราะเมียผมก็บอกว่า...ก็ยังเท่าเดิมหนำซ้ำยังเหี่ยวลงทุกวัน...แต่พอมาใส่กางเกงมันก็คับมาก...คับจนผิดสังเกต..ผมเลยหาสาเหตุว่าทำไมกางเกงถึงคับ เมียผมบอกว่า...ผ้ามันหดน่ะ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า...แบบว่านานๆ จะได้ใส่สูทซะทีเวลาลงทุนตัดผมก็ไม่กล้าลงทุนสูงใช้ผ้าดีๆ เพราะโอกาสที่จะใส่ไม่มี นอกจากวันไหนที่ ท่านหงอกของผมให้มาออกข่าวบิดเบือน หรือเรียกความสนใจจากประชาชนซะที นั่นล่ะถึงจะมีโอกาสได้ใส่สักที...ว่าแล้วก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อปลดปล่อยสิ่งที่คับอยู่....มีผลทำให้นักข่าวเกิดอาการ...?????...มันจะมาบอกให้เป็นข่าวทำไมฟระ.....555555....

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2553 12:04:54 น.		17 comments
Counter : 1682 Pageviews.
Share Tweet