|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ดอกไม้บาน ละลานตา ที่ป่าดงนาทาม
หลังจากโปรแกรมทุ่งโนนสนช่วงวันหยุดปิยะฯ ต้องมีอันล้มเลิก ผมก็เริ่มหาข้อมูลสำหรับที่เที่ยวแห่งใหม่ที่จะมาทดแทนทุ่งโนนสน และแน่นอน .. พยายามที่จะคงไว้ซึ่งความตั้งใจเดิม คือไปตามหาทุ่งดอกไม้บานบนลานหิน จำพวกดุสิตา สร้อยสุวรรณา มณีเทวา ฯลฯ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่บานในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ สุดท้ายก็มาสรุปได้ที่ป่าดงนาทาม อช.ผาแต้ม จ.อุบลราชธานี
ที่ผาแต้มนี้ ผมเคยไปเยือนครั้งนึงเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ตอนที่มีงานแห่เทียนที่จ.อุบลฯ ในวันเข้าพรรษา 3 เดือนผ่านไป หลังวันออกพรรษาเพียงไม่กี่วัน ผมก็มีโอกาสได้กลับไปอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ แตกต่างจากครั้งที่แล้วนัก เนื่องจากครั้งที่แล้ว ผมไปนอนที่ลานกางเต็นท์ของอุทยานฯ เจอฝนตกทั้งคืน ตอนเช้าก็ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ได้แค่ถ่ายภาพเสาเฉลียงที่หน้าที่ทำการฯและชมภาพเขียนประวัติศาสตร์ 3 พันปีที่บริเวณผาแต้มเท่านั้น แต่ในคราวนี้ แผนการของเราคือไปเดินป่าดงนาทาม ตามหาทุ่งดอกไม้งามอันลือชื่อ ไปกางเต็นท์นอนบริเวณใกล้ๆเสาเฉลียงคู่ เพื่อถ่ายภาพเสาเฉลียงในแสงสุดท้ายของวัน และอีก 1 คืนจะไปนอนที่จุดกางเต็นท์น้ำตกห้วยพอก ใกล้ๆกับผาชะนะได เพื่อจะได้ตื่นมารับตะวันก่อนใครในสยามที่ผาชะนะได
เมื่อทุกอย่างพร้อม
. พวกเราทั้ง 10 ชีวิตก็เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯมุ่งหน้าสู่จ.อุบลราชธานี ในค่ำคืนของวันที่ 21 ตุลาคม 2548
เช้าวันที่ 22 เราแวะเติมพลังอาหารเช้าและซื้อเสบียงกันที่ตลาดอ.โขงเจียม แล้วก็มุ่งหน้าสู่ที่ทำการอบต.นาโพธิ์กลาง ที่ซึ่งเราติดต่อคนนำทางและลูกหาบเอาไว้ น้องบอย คือชื่อของคนนำทางของพวกเรา ลูกหาบอีก 3 คนคือกระแต อาร์ และโด่ง
รถตู้ไปส่งเราที่วัดถ้ำปาฏิหาริย์ และเราก็เริ่มเดินเท้าจากที่นี่ ระยะทางประมาณ 4 กิโลกว่าๆเพื่อไปถึงจุดพักแรมคืนแรกที่เสาเฉลียงคู่ ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปเดินกันแบบสบายๆก็ไม่น่าจะเกิน 2 ชั่วโมง แต่พวกเราใช้เวลาไปกว่า 5-6 ชั่วโมง เพราะมัวแต่คลานต้วมเตี้ยมถ่ายภาพมาโครระหว่างทางแทบจะตลอดเส้นทาง 4 กิโลกว่าๆนั้นเลย
เย็นวันนั้นหลังจากกางเต็นท์และทำอาหารกินกันเรียบร้อยแล้ว เราก็นั่งสนทนาหยอกล้อกันตามประสาพี่น้องเพื่อนฝูงโดยมีน้ำเพิ่มอุณหภูมิเป็นเพื่อนช่วยให้คลายหนาว บ้างก็ปลีกตัวไปนอนนับดาวกันอย่างมีความสุข คืนแรกผ่านพ้นไปด้วยดี
เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นกันตั้งแต่ตีห้า เพื่อเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินสนสองใบ ระยะทางประมาณ 2 กม. เช้าวันนี้ฟ้าไม่เป็นใจเลย เมฆเต็มไปหมด เรามองไม่เห็นพระอาทิตย์ซักเสี้ยวเดียว
ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ยังมีความหวังอยู่ที่ผาชะนะได
พอกลับมาถึงจุดพักแรม เราต้มน้ำชงกาแฟกิน ทำอาหารเช้าและอาหารสำหรับมื้อกลางวัน เก็บข้าวของ เก็บเต็นท์ พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ผมและเพื่อนๆอีก 3-4 คนสะพายกระเป๋ากล้องและขาตั้งออกเดินหามุมถ่ายภาพสำหรับเช้าวันนี้ ทีแรกกะจะใช้เวลาซักชั่วโมงเดียว แต่สุดท้ายก็กลายเป็น 2 และ 3 ชั่วโมงไปในที่สุด กว่าจะเริ่มออกเดินทางก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่าแล้ว เราก็เลยตัดสินใจจัดการกับอาหารกลางวันซะเลย จะได้ไม่ต้องแบกไปให้เมื่อยตุ้ม
จากจุดนี้ไปจนถึงน้ำตกห้วยพอก ระยะทางประมาณ 4 กิโล เราใช้เวลาเดินๆแวะๆ ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงจุดพักแรมคืนที่สองของเรา คืนนี้ที่นี่มีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก(ประมาณไม่เกินร้อยคน)เมื่อเทียบกับคืนวานนี้(ได้ข่าวว่า 4-500 คนเลยทีเดียว) หลังจากตั้งแคมป์เรียบร้อย ผมก็เดินหามุมถ่ายภาพตามเคย ทั้งดอกไม้ น้ำตก และริ้วเมฆสีสวยงามยามตะวันลับฟ้า แล้วก็อาบน้ำชำระล้างร่างกายหลังจากไม่โดนน้ำมา 2 วันเต็มๆ คืนนั้นหลังจากอิ่มหมีพีมันกับอาหารเย็นแสนอร่อยเรียบร้อยแล้ว เราย้ายวิกขึ้นไปนั่งร่ำสุรากันบนลานหิน ได้กีตาร์เสียงดีของน้องบอยมาช่วยสร้างเสียงเพลงเป็นเพื่อนแก้เหงา กว่าจะนอนกันก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง พอตีห้าก็ลุกขึ้นมาเตรียมตัวเดินไปรับตะวันที่ผาชะนะได จากแคมป์ เราเดินไปผาชะนะไดเพียงไม่กี่นาที (ระยะทาง 500 เมตร) เราไปถึงหน้าผาเป็นกลุ่มแรก และมีนักท่องเที่ยวตามมาอีกซัก 20 คนได้ ถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับคืนวันก่อน ที่พี่ไกด์บอกว่าทั้งหน้าผามีนักท่องเที่ยวมาดูพระอาทิตย์ขึ้นเป็นร้อยๆคนเลยทีเดียว
แต่แล้ว
ฟ้าก็ยังไม่เป็นใจอยู่ดี เมฆหนาพอสมควร เว้นช่องระหว่างยอดเขากับขอบเมฆให้เราเห็นพระอาทิตย์แค่นิดเดียวเอง ทำให้ผมยังไม่ได้เก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาชะนะไดแบบเต็มๆตาเลย ไม่เป็นไรครับ ซักวันผมจะกลับมาแก้แค้นใหม่ให้ได้
ฝากไว้ก่อนเถอะ และเช้าวันนั้น หลังจากจัดการกับเสบียงอาหารที่เหลือจนหมดแล้ว เราก็เก็บของเพื่อฝากกับรถกระบะลงมาไว้ที่ที่ทำการอบต. (โชคดีของน้องๆลูกหาบที่ไม่ต้องแบกของหนักอีกต่อไป) และเริ่มเดินกลับลงมาที่วัดถ้ำปาฏิหาริย์อีกครั้ง ขากลับนี้ระยะทางประมาณเกือบ 8 กิโล เราใช้เวลากันน้อยมาก เนื่องจากไม่ค่อยได้แวะถ่ายภาพเท่าใดนัก เพราะจะรีบไปน้ำตกแสงจันทร์และน้ำตกสร้อยสวรรค์กันต่ออีก
จากวัดถ้ำปาฏิหาริย์ ใช้เวลาเดินทางด้วยรถตู้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงน้ำตกแสงจันทร์หรือน้ำตกลงรู หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว Unseen in Thailand เราใช้เวลาถ่ายภาพที่นี่ไม่นานนักก็ออกเดินทางกลับที่ทำการอบต.เพื่อกินอาหารกลางวันและเอากระเป๋าขึ้นรถตู้ ประมาณบ่ายสาม เราก็มาถึงน้ำตกสร้อยสวรรค์ และตั้งใจจะไปเก็บภาพทุ่งดอกไม้ที่อีกด้านหนึ่ง แต่เดินเท่าไรก็หาไม่เจอ เจอแต่ทุ่งเล็กๆแค่ไม่กี่ดอก ก็เลยเปลี่ยนใจข้ามฝั่งไปถ่ายภาพน้ำตกสร้อยสวรรค์จากมุมสูงซะเลย จากนั้นก็ออกมาขึ้นรถตู้กลับมาแวะที่ที่ทำการอช.ผาแต้ม เพื่อชมพระอาทิตย์ตกก่อนกลับกรุงเทพฯ พอมาถึงอช. ก็ได้เวลาพระอาทิตย์ตกพอดี เราวิ่งหามุมถ่ายภาพกันจ้าละหวั่นจนเด็กๆแถวนั้นตกใจกันไปหมด
และเราก็ลาแสงสุดท้ายของวันนั้นที่ผาแต้ม พร้อมกับเก็บความรู้สึกดีดีที่เกิดขึ้นทั้งจากผู้คนและธรรมชาติในทั้งสามวันของการเดินทางในครั้งนี้อยู่ในใจตลอดไป.
Create Date : 28 ตุลาคม 2548 |
Last Update : 28 ตุลาคม 2548 12:23:33 น. |
|
6 comments
|
Counter : 657 Pageviews. |
|
|
|
โดย: หมาน้อย IP: 202.57.137.157 วันที่: 28 ตุลาคม 2548 เวลา:12:41:08 น. |
|
|
|
โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 28 ตุลาคม 2548 เวลา:18:32:05 น. |
|
|
|
โดย: ป้านิด IP: 80.128.246.227 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2548 เวลา:1:08:31 น. |
|
|
|
โดย: 2 กุมภาพันธ์ 2549 IP: วันที่: 14:12:24 เวลา:203.121.153.163 น. |
|
|
|
โดย: สาลิตา IP: 203.121.153.163 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:14:13:00 น. |
|
|
|
|
|
|
|