Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
24 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
๐ ... จันทร์ครึ่งดวง ... ๐ ( บทที่ 4 )



บทที่ 4



“เณร!..เณร!..” เสียงบุญเล็กเรียกเณรที่กำลังจะเดินพ้นร้าน



“บุญเล็ก..” เณรได้แต่ขานรับเฉยๆ ไม่กล้าทักถามอะไร..ท่ามกลางความวุ่นวายเมื่อเช้านี้ที่โรงเรียนเขาเห็นบุญเล็กอยู่ในเหตุการณ์ด้วย

“เดี๋ยวนะ..” บุญเล็กเดินหายไปหลังร้าน เฮียกวงผู้เป็นพ่อมองตามแล้วกลับมามองที่เณร “ฉันเก็บเป้ไว้ให้” บุญเล็กกลับมาอีกครั้ง ยื่นเป้ให้เณร

“ขอบใจนะ” เณรรับเป้จากบุญเล็กแล้วตั้งท่าจะออกเดิน..เขาดีใจที่ได้ของส่วนตัวคืนแม้จะไม่มีค่าอะไร แต่คงยากที่จะหามาใหม่

“เดี๋ยว!..” บุญเล็กยื้อเป้ที่เณรสะพายหลังอย่างเคยชิน “จะไม่พูดอะไรเลยหรือ”

“ฉันขอบใจแล้วไง” ป่วยการที่เณรจะอธิบายชี้แจง..จากภาพที่เห็นและคำโกหกของป๋องใครๆ คงคิดว่าเขาเป็นเด็กชั่วร้าย เขาอายที่จะแก้ตัวซ้ำอีก

“อย่าว่าฉันนะ..” บุญเล็กออกตัว หน้าแดงเล็กน้อย “ฉันแอบดูในเป้..ของเยอะจัง ไม่เหมือนเป้หนังสือเรียน”

“อือ..ฉันเป็นคนไม่เรียบร้อย ทำอะไรไม่เป็นระเบียบ” เณรรับง่ายๆ จะได้หมดเรื่อง

“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันไม่ได้ว่าเณร..” บุญเล็กหน้าแดงอีกครั้ง “ฉันเพิ่งจะรู้ความหมายของการขายถั่ว นายป๋องเป็นคนอธิบายให้เพื่อนๆ ฟัง ถ้านายไม่ได้ทำอย่างที่บอก ทำไม..ทำไมกางเกงในของนายจึงมีคราบ เอ้อ..อุจจาระ”

“เฮ้ย!..” เณรตกใจ ไม่นึกว่าเรื่องของเขาจะถูกเจาะลึกอย่างนี้...เขาจะเหลืออะไรอีก!

“ป่าวนะ!..” บุญเล็กรู้สึกไม่ดีที่ถามออกไป “ฉันไม่ได้จับผิด ป๋องเป็นคนตั้งข้อสังเกตและโชว์กางเกงของเณรให้เพื่อนๆ ดู คุณครูก็อยู่ด้วย”

“ช่างเถอะ ฉันไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นก็แล้วกัน ” เณรตัดบทแล้วเดินออกมา..ทำไมกางเกงในจะไม่มีคราบ ก็เขาถ่ายทุกข์แถวดงไม้ ใช้หญ้าแห้งทำความสะอาด..เขายังไม่มีโอกาสซักเสื้อผ้าสองสามชิ้นที่มีอยู่เลย



เณรเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปตามถนน..เส้นทางที่เคยชินคือทางไปโรงเรียน เขาเดินทอดน่องเหมือนไม่มีทุกข์ร้อนอะไร อากาศยามโพล้เพล้ปิดบังความมอมแมมเหนื่อยล้า

อันที่จริงเณรเป็นเด็กหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่กว่าอายุสิบสี่ที่ควรเป็น อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์จากพ่อ...มีเสียงแซวจากมอเตอร์ไซด์บางคันที่วิ่งสวนมา แต่เณรยังมีจิตใจเป็นเด็กเกินกว่าจะสนใจ

“แป๊ด!..แป๊ด!..” มอเตอร์ไซด์คันหนึ่งบีบแตรขอทาง

“อุ๊ป!..” เณรสะดุ้ง กระโดดหลบ “ขอโทษครับ” เขาเดินใจลอยจนเกือบถูกรถเฉี่ยว

“ถนนนะคุณ!” เสียงลอยมาจากมอเตอร์ไซด์...รถคันนั้นจอดลงหน้าร้านๆ หนึ่งเลยที่เณรยืนงงอยู่ไม่มาก

“บ้านกล้วยไม้เมื่อเช้าน่ะเอง..” เณรพึมพำเหลียวมองบ้านอีกสองสามหลังถัดไป บ้านที่เกือบทำให้เณรมีมลทิน

“อึ้ด..อึ..อึ้ด..” ชายหนุ่มมอเตอร์ไซด์กำลังออกแรงดึงประตูเฟี้ยมบานพับหน้าร้าน ดึงอย่างไรประตูก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ...ร้านตัดเสื้อนี้เป็นห้องแถวโบราณ ประตูด้านหน้าเป็นประตูบานเฟี้ยมที่เวลาเปิดใช้วิธีพับซ้อนกันไว้สองข้างของห้อง เวลาจะปิดก็คลี่ที่พับไว้ออกมาชนกันตรงกลางหน้าห้อง ลงกลอนและใส่กุญแจสายยู

“อึ๊..อึ๊ด..” โถมแรงเป็นครั้งสุดท้าย..อายเด็กหนุ่มที่ยืนมองอย่างสงสัย

“ผลัวะ!..โครม!..” ประตูหลุดอ้าติดมือออกมาครึ่งบาน ชายหนุ่มกระเด็นหงายหลัง ข้าวของที่ถืออยู่อีกมือหนึ่งหล่นกระจาย

“พี่!..” เณรรี่เข้าประคองแต่ช้าไป หนุ่มมอเตอร์ไซด์หงายลงบนพื้น “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” เณรถามพลางช่วยเก็บรวบรวมของ เว้นแตะต้องกระเป๋าเงินที่หล่นเรี่ยราด

“ขอบใจนะหนุ่ม..” ชายหนุ่มยิ้มแก้เก้อ ปัดเสื้อผ้าลุกขึ้นยืน “ประตูมันฝืด เป็นอย่างนี้ประจำ เดี๋ยวตอกบานพับเข้าที่ก็ใช้ได้เหมือนเดิม”

“นี่ครับ..” เณรยื่นพวงถุงพลาสติกที่รวบรวมได้ “ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ”

“ฮื่อ..ครับ..” ชายหนุ่มก้มลงเก็บธนบัตรและเหรียญเข้ากระเป๋า “ไม่เป็นไร” เขานึกชมความมีน้ำใจและการระมัดระวังตัวของเด็กหนุ่มตรงหน้า

“งั้นผมไปก่อนนะ” เณรไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะยืนอยู่ตรงนั้นอีก อีกอย่างเขาไม่ชอบคำขอบคุณเยินยอจากใครๆ ถึงแม้เขาสมควรได้รับก็ตาม

“ขอบคุณครับ” เสียงไล่ตามหลังเมื่อเห็นชัดๆ ว่าเณรไม่ใช่เด็กอย่างที่เห็นแต่แรก...เขาเข้าใจผิด

“นั่นไง..นึกแล้ว..” เณรอมยิ้มก้มหน้ามองพื้นถนน..อะไรอย่างหนึ่งวาวอยู่บนฝุ่นดิน เณรย่อตัวลงดู “เหรียญสิบ..” เณรเก็บขึ้นมา “เหรียญห้าต่างหาก..คงเป็นของพี่คนนั้นกลิ้งมา หรืออาจไม่ใช่” เณรเถียงตัวเองไปมา..ถึงอย่างไรชายคนนั้นก็เข้าบ้านไปแล้ว



กลิ่นก๋วยเตี๋ยวผัดไทยลอยมา...ริมถนนข้างหน้าเป็นหมู่เพิงขายของกินที่ออกมาชุมนุมขายตอนกลางคืน มีร้านผัดไทยหอยทอด ลาดหน้าผัดซีอิ้ว เย็นตาโฟก๋วยจั้บ ขนมถาด หวานเย็นต่างๆ และขนมบัวลอยไข่หวาน...เณรนึกตำหนิตัวเองที่เดินมาแถวนี้

เณรข่มใจเดินผ่านร้านต่างๆ จนเกือบจะพ้นร้านสุดท้าย

“บัวลอยไข่หวานจ้า..หวานมันอร่อย สดๆ ร้อนๆ เจ้าเก่าจ้า..” คุณยายคนหนึ่งนั่งปั้นแป้งเป็นเม็ดกลมเล็กๆ หย่อนลงไปในหม้อที่มีน้ำกะทิหวานข้นเดือดปุดๆ กลิ่นหวานหอม “หนูๆ ช่วยอุดหนุนยายบ้างซิ” ยายยิ้มเชิญชวน

“ผมเพิ่งทานข้าวมา อิ่มแปล้เลยครับ..” เณรกลืนน้ำลาย ขาเจ้ากรรมไม่ยอมขยับเดินต่อ “ขายดีไหมครับ”

“พอขายได้จ้ะ ไม่ดีมากนัก..” ยายหันไปเชิญชวนลูกค้าต่อ “บัวลอยไข่หวานจ้า อร่อยหวานมันเจ้าเก่า”

“ฉันยืนเป็นเพื่อนยายนะ..” เณรพูดเหมือนขออนุญาต “ร้านนี้เป็นร้านสุดท้ายออกจะมืดๆ “ เณรชอบดูยายปั้นแป้งและหย่อนดังป๋อมลงหม้อ..มองไปมองไปความหิวชักกำเริบ

“อ้าว!..ยืนอยู่นี่เองมาซื้อขนมบัวลอยหรือ?” ชายหนุ่มร้านตัดเสื้อร้องทัก

“อ้อ..ครับ..” เณรพูดอะไรไม่ออก..จะโกหกดีไหม? “กำลังตัดสินใจอยู่ครับ..ผมชอบดูยายทำขนม” กึ่งโกหกกึ่งจริง

“ผมตั้งใจมาซื้อพอดี..” ชายหนุ่มหันไปพูดกับยาย “ขอสองถุงครับ ใส่ไข่ด้วย”

“ทานจุเหมือนกันนะครับ” อีกครั้งที่เณรกลืนน้ำลาย

“ใครว่า..” ชายหนุ่มยิ้ม “ของผมถุงเดียว ให้เราถุงหนึ่ง”

“โอ๊ะ!..” หลายอารมณ์อยู่ในเสียงร้อง “ผมอิ่มแล้ว..” ท้องร้องจ๊อกๆ ประจานคนโกหก

“ไม่เป็นไรนี่ใส่ถุงไปกินที่บ้านก็ได้ เดี๋ยวก็หิว” ยิ้มเหมือนรู้ทัน

“ผมกินที่นี่แล้วกัน..อุ๊ป!..”

“อ้าว!..” ชายหนุ่มและยายร้องออกมาพร้อมกัน..เณรอายแทบอยากหายตัวได้ “ไปกินที่ร้านผมแล้วกันนะ..นี่..” ชูถุงก๊อบแก๊บให้ดู “มีผัดไทยอีกสองถุง” ชายหนุ่มเห็นเณรมองตั้งแต่ผัดไทยร้านแรกแล้ว เขาเดินมาที่นี่เพื่อจะหาอะไรกินเช่นกัน

“เอ่อ..ผม..” แล้วเณรก็หุบปากนิ่ง..ไหนๆ เขาก็ห้าแต้มออกมาแล้ว..เลยตามเลยแล้วกัน



“ห้าบาทครับ..” หลังจากกินผัดไทยและบัวลอยไข่หวานหมดแล้วเณรหยิบเหรียญห้าบาทวางบนโต๊ะ

“อะไร!..ทั้งหมดหกสิบบาทรวมทั้งน้ำอัดลม” ชายหนุ่มอำกลับทั้งๆ สงสัยการกระทำของเณร

“ไม่ใช่ครับ..” เณรก้มหน้า นึกละอายใจความไม่ซื่อตรงของตัวเอง “เหรียญห้านี้คือเหรียญที่หล่นจากกระเป๋าคุณ ผมเก็บได้แต่ไม่คืนเจ้าของ”

“อ๋อ..” ชายหนุ่มทึ่งกับคำชี้แจง “อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้นะ เราไม่ได้เห็นตอนมันกลิ้งจากกระเป๋าไม่ใช่หรือ?”

“ก็จริงครับ แต่ผมมั่นใจว่าเป็นของคุณ..ผมเกรงใจที่กินของเขาแล้วยังขโมยเขาอีก” เณรยืนยัน

“ขโมยอะไรกัน..อย่าคิดมากเลยนะ นึกเสียว่าผมเลี้ยงตอบแทนที่เรามีน้ำใจตอนผมทำประตูหลุดแล้วกัน..” ชายหนุ่มตบแขนเณรที่วางอยู่บนโต๊ะ “นะ”

“แค่ช่วยเก็บของ..” เณรสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มใจดีกำลังอยากจบการสนทนา “อย่างไรต้องขอบคุณมากที่เลี้ยงผมมื้อนี้..ผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ”

“ไม่เป็นไร..เดินดีๆ ระวังรถเฉี่ยวล่ะ”



เดินมาได้สักหน่อยเณรหยุดนั่งบนขอนไม้ข้างถนน..เขาจะไปไหน? จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตของเขา เมื่อครู่ที่ได้นั่งอยู่ในร้านน่ารัก กินอาหารมื้ออร่อย เขาลืมความทุกข์ยากเสียสนิท เหมือนอยู่ในความฝัน..แต่ตอนนี้มันคือความจริง!

“แป๊ด!..” ไฟหน้ารถส่องมาที่เณร

“ยังไม่กลับบ้านอีก..เถลไถลหรือเกเรละนี่เรา?” หนุ่มร้านตัดเสื้อนั่นเอง

“ผม..” เณรอึกอัก นึกสงสัยว่าชายหนุ่มจะมาไม้ไหน ถึงจะเป็นเด็กแต่เขาก็รู้จักระแวง..เมื่อกี้ทำดีกับเขาเหลือเกิน

“ผมกำลังจะไปธุระ..บ้านอยู่แถวนี้ใช่ไหม ผมไปส่งให้”

“ผม..ผม..” โกหกอีกหรือ..อย่าดีกว่า “ผมไม่มีที่ไป”

“นึกแล้ว..” ชายหนุ่มยันขากับพื้นถนน “เอ..ผมก็ไม่อยู่จะไปทำธุระ ผมจะช่วยเราอย่างไรดี เอางี้ขึ้นรถมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“คะ..ครับ..” เณรรับคำอย่างหวาดๆ ขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซด์..ถ้าเกิดเรื่องไม่ดีเขาพร้อมจะต่อสู้ พี่คนนี้รูปร่างพอกับเขาแต่คงแข็งแกร่งสู้ไม่ได้ เณรมั่นใจ

รถมอเตอร์ไซด์วกกลับไปที่ร้าน ชายหนุ่มเปิดประตูบานเฟี้ยมออก คราวนี้มันไม่ติดอย่างหัวค่ำ ด้านในเป็นประตูกระจกอีกชั้นหนึ่ง

“เข้ามาสิ” พยักหน้าเรียกเณรที่ยืนลังเลอยู่หน้าประตู

“ผม..ผม..” ความจริงเณรน่าจะกลับไปนอนในพงหญ้ากับดีดีมากกว่า แต่อาจเป็นเพราะวันนี้เณรเจอกับเรื่องอะไรๆ มากมายเสียจนเหนื่อยล้าทั้งกายใจ เมื่อได้พบที่อบอุ่นเขาจึงชะล่าใจ..หารู้ไม่ว่าอาจมีไฟร้อนสุมอยู่ข้างใน

“เข้ามาเถอะ ผมจะรีบไปธุระ..ชื่ออะไรล่ะเรา?..” ชายหนุ่มถามพลางเดินเปิดสวิชไฟให้เณรดู “ถ้าไม่ใช้ก็ปิดเสียนะ”

“เณรครับ” เณรอ้อมแอ้มตอบ

“ไปทางซ้ายผ่านส่วนรับแขกจะเจอห้องครัว ห้องนอนและห้องน้ำ..ช่วยเฝ้าบ้านให้ด้วยนะเณร” แล้วชายหนุ่มก็ออกประตูไปดื้อๆ

“คุณ..คุณ..” เณรยังงง เขาเข้ามาในบ้านคนอื่น ใครก็ไม่รู้..ไว้ใจเขาได้ยังไง?

“ผมชื่อกัน..” ชายหนุ่มเปิดประตูยื่นหน้าเข้ามา “ผมจะปิดกุญแจด้านนอกนะ เพื่อความปลอดภัย..ใครมาเรียกอย่าเปิดล่ะถึงจะเป็นผมก็เถอะ..ฮะ..ฮะ”

“ทำไม..” ยังไม่ทันที่เณรจะพูดจบประตูกระจกก็ปิดดังกริ๊ก ตามด้วยประตูบานเฟี้ยมและเสียงสับสายยูใส่กุญแจ

“เฮ้ย!..” เณรได้สติ เพิ่งคิดได้ว่าเขากำลังถูกขังโดยคนแปลกหน้าที่หลอกล่อฉวยโอกาสจากความหิวโหยของเขา..หรือเขาคิดระแวงมากไป



“ตรืด..ตรืด..ตรืด..”

“ตรืด..ตรืด..ตรืด..”


เณรมองหาที่มาของเสียง...มือถือเครื่องหนึ่งดิ้นสั่นอยู่บนโต๊ะ

“ตรืด..ตรืด..ตรืด..” เณรหยิบขึ้นมาแต่ไม่รู้วิธีรับ และคนโทรฯ มาคงไม่ได้ตั้งใจจะสนทนากับเขา..คือไม่ใช่เรื่องของเขานั่นเอง

“กรี้งๆ..กรี้งๆ..”

“กรี้งๆ..กรี้งๆ..”


“อะไรอีกล่ะ!..” คราวนี้เป็นเสียงจากโทรศัพท์บ้านที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานด้านใน

“กรี้งๆ..กรี้งๆ..” เณรตัดสินใจเดินไปยกหูขึ้นฟัง ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเครื่องคงดังทั้งคืน

“เณร..นี่ผมเองนะ..” เสียงหนุ่มกันดังขึ้นทันที “ผมลืมมือถือไว้ที่ร้านใช่ไหม..ช่วยดูให้หน่อย”

“ที่มันดิ้นบนโต๊ะเมื่อกี้ใช่ไหมครับ” เณรรู้สึกแปลกกับการพูดคุย..ใครจะเชื่อว่าเขาเพิ่งเคยพูดกับเจ้ากระบอกดำๆ อย่างนี้

“ใช่..แล้วไป..ทำไมไม่รับสายล่ะ”

“ผมไม่..”

“อือ..เข้าใจ..ผมมาบ้านแม่นะ ถ้าเราหิวเปิดตู้เย็นหาอะไรกินได้ นอนบนเตียงผมก็ได้แต่อาบน้ำก่อนล่ะ มอมแมมใช้ได้เลยนะเรา”

“อือ..ครับ..”

“โอเคนะ”

เณรวางหูโทรศัพท์บนแป้นตามเดิมเดินออกจากส่วนทำงาน..เป็นมุมรกๆ ด้วยกระดาษดินสอไม้บรรทัดกรรไกรและกองผ้าสีสวยมากมาย ถัดออกมาเป็นจักรเย็บผ้าชนิดต่างๆ เรียงแถวอยู่หกเจ็ดเครื่อง ด้านขวาของร้านเป็นกระจกใสโชว์เสื้อผ้าที่ตัดเย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ด้านซ้ายส่วนรับแขกเป็นฝาทึบสีขาวมีหน้าต่างบานไม้สองบานติดเหล็กดัดและม่านบังตาผ้าลูกไม้ฉลุลายสีขาวสะอาด

เลยส่วนรับแขกไปด้านข้างร้าน เณรเดินไปบนพื้นห้องที่ปูด้วยเสื่อกกสานหยาบคล้ายที่เขาใช้ปูนอนบนแคร่ใต้ถุนบ้าน มีกระถางต้นเพิร์นสีเขียวอ่อนประดับเป็นระยะๆ ทำให้ห้องสีขาวและพื้นกกสีกากีดูสดใสเป็นธรรมชาติ

ด้านหน้าของส่วนครัวมีประตูเปิดสู่สวนเล็กๆ และศาลพระภูมิริมรั้ว แต่ประตูปิดแน่น เหนือเอวขึ้นมาเป็นแผ่นกระจกใสถึงเพดานบังไว้ครึ่งหนึ่งด้วยผ้าลูกไม้สีขาวเหมือนส่วนรับแขก เคาน์เตอร์ขาวสะอาดวางเครื่องครัวสแตนเลสเงาวับ เตาแกสตั้งพื้น ตู้ติดผนังและตู้เย็นขนาดปานกลางสีขาวเช่นกัน..เณรเปิดออกดูแต่ไม่ได้หยิบอะไรกิน

มู่ลี่ไม้ไผ่แขวนบังเกือบครึ่งห้องถัดจากตู้เย็นคือส่วนนอน เตียงเหล็กง่ายๆ สีดำคลุมด้วยผ้าลายสก็อตใหญ่ขาวดำ..เณรเลิกผ้าคลุมออกเห็นชุดเครื่องนอนสีขาวอยู่ด้านใน เขาคลุมผ้าไว้ตามเดิม มองไปด้านในซึ่งคงเป็นห้องน้ำ...ถึงตอนนี้เขาเดินสำรวจต่อไปไม่ไหวแล้ว..จากสภาพความเป็นอยู่ที่เห็นคุณกันคงไม่ใช่คนร้ายแน่นอน..ตาหรี่ปรือลงหลังจากได้ข้อสรุป

พื้นเสื่อกกหน้าเตียงยังสะอาดกว่าที่เขาปูนอน เณรวางเป้ลงบนพื้นแทนหมอน..ไม่ลืมที่คุณกันสั่งให้อาบน้ำก่อนนอน..ก็เขาไม่ได้นอนบนที่นอนนี่นะ

ตากำลังจะปิดสนิท เณรหวนคิดถึงดีดี เม่า แม่และพ่อ..ป่านนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง ถึงแม้คืนที่ผ่านมาเขาจะไม่ได้อยู่บ้านแต่ก็นอนอยู่ในพงหญ้าข้างๆ นั่นเองไม่ได้ไปไหน

คืนนี้เณรนอนอยู่ตรงนี้ไกลจากพ่อแม่ ดูเหมือนจะสุขสบายกว่าเดิมแต่ไม่ใช่บ้าน ไม่ได้ยินเสียงแม่ไอพ่อบ่น เม่าละเมอและเสียงงี๊ดๆ ของดีดี เขาอยากกลับบ้าน..อยากกลับบ้าน..


ไม่รู้เณรหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่...





Create Date : 24 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2552 12:13:44 น. 1 comments
Counter : 725 Pageviews.

 
ยังเข้ามาอ่านและให้กำลังใจเสมอนะคะ อาจจะช้าไปบ้าง แต่ไม่ลืมน้องชายคนนี้เลยนะคะ


สู้ๆค่ะ


โดย: sandhurst IP: 58.136.48.239 วันที่: 2 ธันวาคม 2552 เวลา:14:24:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาเรน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add ดาเรน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.