อุจจาระพิสูจน์หมา เงินตราพิสูจน์คน
Group Blog
 
<<
กันยายน 2549
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
23 กันยายน 2549
 
All Blogs
 
รู้จักกระหรี่

...รู้จักกระหรี่
เด็กบ้านนอกคอกนาอย่างผมและผองเพื่อนนอกจากงานวัด งานบุญ ( งานวัดในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าผมศรัทธาในพุทธศาสนาแต่เพราะเมื่อใดที่มีงานวัด ก็มักจะมีสาวๆ มีรำวง มีร้านขนมจีน ข้าวยำ มีมโหรสพต่างๆ ให้ดู ) แล้วก็ไม่รู้จะหันหน้าไปเที่ยวที่ไหน ไอ้ครั้นจะถ่อสังขารไปเที่ยวในตัวจังหวัดก็ไม่คุ้ม ระยะทางกว่า 35 กิโลเมตร
แม้น้ำมันในขณะนั้นไม่แพงมาก แต่การข้ามไปต่างถิ่นอาจทำให้เป็นที่เขม่นของวัยรุ่นแถบนั้น ดีไม่ดีจะมีสำลีแปะหัวมาด้วย
ไม่นานนักข่าวของเมืองใหม่ก็แพร่สะพัด เพื่อนรุ่นพี่เริ่มเข้ามาชักชวน ผมเองก็พร้อมจะลองของใหม่ จึงตอบปากรับคำอย่างง่ายดาย เราทั้ง 3 ชีวิต ( ใช้มอเตอร์ไซค์อัดซ้อน 3 ) จึงมุ่งหน้าด้วยความเร็ว 25 น๊อตต่อชั่วโมง
พุ่งตรงยังเมืองใหม่ ทางเข้าแม้ในยามหน้าแล้ง ยังพอมองเห็นหลุม โลกพระจันทร์ได้เป็นระยะ นี่ถ้าติดช่วงหน้าฝนรับรอง เลอะเทอะ ไปทั้งคนทั้งรถแน่ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราก็สามารถแหวกถนนหนทาง เข้ามาอยู่ยังที่ตั้งของเมืองใหม่อย่างสง่าผ่าเผย แสงไฟระยิบระยับ สาวน้อย สาวใหญ่นั่งโชว์เรียกแขกอยู่บริเวณหน้าร้าน ผมก้าวลงจาก
รถ ( ความจริงควรเรียกว่าฉีกแข้งขาลงมาจะเห็นภาพชัดกว่า ) กางเกงทรงจิ้งเหลน พร้อมเสื้อลายสก๊อตแลนยาร์ด
ทำให้ สาวๆที่นั่งเรียกแขกอยู่หน้าร้านหวีดว๊ายกระตู้หู้พอสมควร “ แห้ง ไปนั่งร้านเด็กกูดีกว่า มีเพื่อนมันสวยๆเยอะเลย เดี๋ยวแนะนำให้รู้จัก “ เสียงไอ้โอ๋ อดีตนักเรียนเทคนิคที่ผันตัวเองมาเป็นเซียนพนันไก่ชนเป็นคนเชื้อเชิญ
ผมพยักหน้ารับ ร้านที่ว่าต้องเดินผ่านหน้าร้านร่วมๆ 10 ร้านกว่าจะถึง ก็ดี ผมนึกในใจจะได้เดินดูของสวยๆงามไปพลางๆ จากการเดินเรื่อยเปื่อย ก็พลันมาสะดุดอยู่ที่ ร้านตอง9 มีสาวๆนั่งอยู่ประมาณ 3 – 4 อนงค์นาง หล่อนนั่งทำหน้าเฉยเมย ผิดกับหลายๆร้านที่พวกเราเดินผ่าน เพราะหญิงสาวเหล่านั้นลากถูลู่ถูกังเราให้เข้ามาในร้านจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด หนึ่งในอนงค์นางที่ว่า ทำให้ผมสะดุดตาอย่างที่สุด ทั้งผิวขาวเนียน ตากลมคมขำ ผมยาวประบ่า กระโปรงสั้นที่เธอสวมใส่ช่างรับกับเรือนร่างจริงๆ
เรามาถึงร้านที่นัดหมายกัน ชื่อร้านคือ “ ลานชมพู “ แขกในร้านดูคับคั่งเป็นพิเศษ ส่วนมากมักเป็นคนไทยมุสลิมที่เข้ามาหาความสุขความสำราญ บางคนก็ดื่มเหล้า บางคนก็ดื่มแค่น้ำอัดลม แล้วแต่ใครจะถนัดอะไร
“ ไอ้แห้ง ตั้งแต่เลิกต่อยมวย มึงหันมาเที่ยวซ่องเลยเหรอว่ะ “ สำเนียงพูดภาษาไทยไม่แข็งแรงของเพื่อนมุสลิม
ร้องทักจนผมค้อนอาย “ ว่าแต่มึงเถอะ มีเด็กร้านไหนแนะนำกูบ้าง” ผมเลียบเคียงถาม “ ร้านนี้คนแยะว่ะ ที่นั่งก็เต็ม เพราะเด็กสวยๆมันมีมากกว่าร้านอื่น คืนนี้มึงไม่มีทางได้นั่งหรอก “ ไอ้ลีแนะนำ “ มึงว่างัยไอ้โอ๋ ไม่เคลียร์กับเด็กมึงก่อน เอาไว้วันหลังค่อยมาตอนตะวันยังไม่ตกดิน” ผมบอกสหายร่วมอุดมการณ์เพราะในใจอยากไปนั่งร้านที่เดินผ่านมาเมื่อสักครู่มากกว่า หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย ผมก็เชื้อเชิญให้ไอ้ลีเพื่อนมุสลิม ที่คบเอาไว้บ้างก็ดีในยามที่มาถิ่นมุสลิมเช่นนี้ อย่างน้อยมีปัญหาจะได้ช่วยพึ่งพาอาศัย
เมื่อไม่ได้นั่งในร้าน”ลานชมพู” พวกเราก็ย้ายก้นกันมาร้านตอง9 เด็กเสริฟ ( จริงๆทำอย่างอื่นด้วยนอกจากเสริฟ ) เข้ามาถามไถ่เรื่องเครื่องดื่มพอเป็นกระษัย ไม่เกิน 5 นาที เหล้า 1 ชุดก็ถูกจัดวาง “ น้องๆช่วยไปเรียกเด็กที่นั่งอยู่หน้าร้านมาคุยกับพวกพี่ๆหน่อยซิ “ โอ๋ ในฐานะรุ่นพี่ เนื่องจากมันมาเที่ยวก่อน เริ่มใช้กลอุบายของนักเที่ยวกลางคืน สาวๆ ทั้ง 3 คนมาอย่างเซ็งกะตาย เก้าอี้ถูกจัดวางอย่างเหมาะเจาะ 1สาวต่อ 1หนุ่ม ผมในฐานะเพิ่งมาเป็นครั้งแรก ตื่นตาตื่นใจพอสมควร เพราะปกติผมก็ไม่เคยสุงสิงกับผู้หญิงซักเท่าไหร่ แม้จะชอบในตัวแต่ไอ้ครั้นจะให้ไปจีบเป็นเรื่องเป็นราว ผมกลับมองว่าเป็นความยุ่งยาก สุดแสนรันทดของลูกผู้ชาย อยู่ไปเรื่อยๆ ถ้ามีก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็นไร ผมคิดของผมอย่างนี้เลยครองตัวเป็นโสดจนถึงทุกวันนี้ แต่วันนี้ผมเริ่มมีความหวังเพราะน้องนางที่นั่งข้างๆ จริงๆอายุเค้าแก่กว่าผมเป็นแน่แท้ ดูจากโครงสร้างของเส้นผมผนวกกับฟันกรามซี่ในสุด
หลังจากคุยกันพอเป็นพิธีทำให้เราทราบว่า ทั้งสามคน มาจากคนละทิศละทาง คนแรกชื่อ อ้อ ผิวขาว ผมยาว รูปร่างอวบอั้น เป็นคนอีสานตอนบน คนที่สองชื่อ มีมี่ คนนี้นั่งใกล้ผม และเป็นคนที่ผมหมายปองไว้ตอนแรกที่เดินผ่านหน้าร้าน หล่อนเป็นคนที่ไม่สามารถระบุสัญชาติได้อย่างแน่ชัด เข้าใจว่าเป็นชาวต่างด้าวรุ่นบุกเบิกที่เข้ามาทำมาหากินอาชีพนี้ในย่านดังกล่าว หล่อนบอกว่าเป็นคนทางภาคเหนือ แต่ฟังจากสำเนียงไทยกระท่อนกระแท่นน่าจะ เป็นชาวพม่า หรือไทยใหญ่มากกว่า คนที่สามชื่อ อ้อม บุคลิกเป็นสาวห้าว เหมือนนักร้องยอดนิยมในสมัยนั้น ผมสั้น ผิวขาว เป็นคนเมืองหลวง
ด้วยการจับคู่ชนิดที่ไม่ต้องอาศัยมาลัยเสี่ยงรักของไทยรัฐ โอ๋นั่งกับอ้อม ผมนั่งกับมีมี่ เดชนั่งกับอ้อ ในพวกเราทั้งสามคน โอ๋จะคุ้นเคยที่นี่บ่อย ส่วนผมกับเดชมาเป็นครั้งแรก ท่าทีเหนียมอายจึงยังปรากฏให้เห็น หันไปดูโอ๋ ไอ้นั่นมันเล่นจับโน้นจับนี่ แถมพอเผลอมันหอมแก้มหน้าตาเฉย ผมคุยกับมีมี่ ไม่ค่อยเข้าใจนัก เหมือนหล่อนจะไม่ค่อยเข้าใจภาษาไทยเท่าที่ควร เช่นถามว่า “ มาทำงานที่นี่นานหรือยัง “ หล่อนกลับตอบว่า “ คืนนี้แขกไม่ค่อยเยอะ “ หรือ “ ไม่เหงาคิดถึงบ้านบ้างเหรอ” หล่อนบอกว่า “ พักอยู่ที่โรงกะปิ อยู่ห่างจากนี้ไปอีก 2 กิโล” ความชอบที่ผมเพิ่งจะมีจากหล่อนเมื่อตอนต้น เริ่มจะหดหาย ถ้ามีพรวิเศษผมอยากเศกหล่อนให้เป็นใบ้ไปด้วยซ้ำ เพราะยังจะสื่อสารกันง่ายกว่าเป็นไหนๆ หันมาดูที่เดชกับอ้อบ้าง แม้จะไม่หวือหวาเท่าคู่ของโอ๋หรือลำบากลำบนอย่างคู่ผม แต่เหมือนศรรักปักจิต ทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาด เหมือนคู่รักเก่าในอดีตชาติที่ผลัดพรากจากกัน แขกทยอยเข้ามาในร้านบ้างประปราย บางคนไม่ได้นั่งโต๊ะ แค่มาถามไถ่หน้าเคาเตอร์ก็พาสาวขึ้นห้องไป บางคนก็พาสาวๆออกไปข้างนอก ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มสร้างความมึนงงให้กับผมพอควร หลังจากพูดคุยกับ มีมี่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องผมเลยถือโอกาสออกมาเดินเล่นข้างนอก สูดอากาศบริสุทธิ์ “ แห้ง เดี๋ยวนี้หัดมาที่นี่ด้วย เรอะมึง นั่งร้านไหนว่ะ “ ไอ้ดี้ เพื่อนในตลาดร้องทักผม พร้อมๆกับการลากผมไปนั่งยังร้าน “ลานชมพู” สถานที่ร้านแรกที่กลุ่มของเราจะไปกันแต่ดันไม่มีโต๊ะว่าง ดี้มาตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน มันบอกว่าติดเด็กร้านนี้อยู่คนนึง สวยเช้ง ถ้าไม่สานต่อประจำ เดี๋ยวพวกเอาไปทำเมียตกเมียแต่ง จะอดเสียดาย ดี้มาคนเดียว มันไม่ทานเหล้า ดื่มแต่น้ำอัดลม แต่ก็ยังดีที่สั่งมาให้ผมซด 1 ชุด “ นี่พี่แห้ง เคยเรียนสมัยประถมมาด้วยกัน เคยต่อยมวยด้วยน่ะ เก่ง แต่ไม่เคยชนะ “ ไอ้ดี้มันบรรยายสรรพคุณผมเสร็จสรรพต่อหน้าเด็กมัน หล่อนสวัสดีผมเป็นธรรมเนียม ผมยิ้มทักทาย ผู้หญิงคนนี้ ไม่สวยมากนัก แต่ดูมีเสน่ห์ เท่ห์ ซึ่งผมเองก็บรรยายไม่ถูก ยิ่งได้เห็นหล่อนคุยด้วยแล้ว มันแฝงไปด้วยสัจธรรม และความจริงที่ยากจะรับได้ ลืมบอกไป หล่อนชื่อ “ ผา “ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่ามาจากชื่อจริงว่า “บุบผา” หรือ “ ภูผา” ผมนั่งได้ไม่นานนัก ดี้ก็ขอตัวตามประสาลูกกตัญญูไม่อยากกลับบ้านดึกมากนัก
พร้อมกับบอกให้ผมนั่งต่อ เนื่องจากเหล้าเพิ่งจะหมดไปครึ่งแบน มันบอกพลางจ่ายตังค์ไว้เสร็จสรรพ “ มิกเซอร์ที่เหลือ มึงออกเองน่ะ กูไปก่อน “ ผมนั่งละเลียดเหล้าที่เหลือโดยมี ผาเป็นเพื่อนคุย “ นึกยังงัยถึงมาทำอาชีพอย่างนี้” เป็นคำถามแรกหลังจากดี้กลับที่ผมยิงใส่หล่อน แม้จะพยายามปกปิดความในใจแต่สีหน้าที่หล่อนแสดงออกก็สื่อให้เห็นว่าลำบากใจสำหรับคำตอบที่จะมีให้ผม “ ผาก็เหมือนหญิงสาววัยรุ่นทั่วๆไป ที่อยากเรียนหนังสือ อยากมีความรู้ อยากมีครอบครัวที่ดี แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ค่านิยมในหมู่บ้าน การที่ลูกคนโน้นคนนี้ สามารถสร้างบ้านให้พ่อให้แม่อยู่อย่างรโหฐาน มีเงินทีทองใช้ไม่ขาดมือ ทำให้หญิงสาวหลายคนในหมู่บ้านต้องหักเหชีวิตไปตามๆกัน ก่อนหน้าที่จะมาทำทีนี้ผาทำงานอยู่ที่หาดใหญ่ เป็นเด็กนั่งดริงซ์ในคาราโอเกะ มีแขกชาวมาเลเซียส่งเสียเลี้ยงดูอยู่พักใหญ่ แต่ด้วยทัศนคติไม่ตรงกัน เพราะแขกชาวมาเลเซียต้องการให้อยู่แต่บ้านคอยปรนนิบัติรับใช้และสนองตัณหาราคะเพียงอย่างเดียว ทำให้ผาเหมือนขาดบางสิ่งบางอย่างไป เหมือนเราไม่ใช่คนเป็นเพียงเครื่องมือในการบำบัดทางเพศ มาที่นี่ก็หนีมา ไม่มีใครรู้ ทรัพย์สินที่ได้จากแขกคนนั้นมีเพียงสร้อยคอทองคำ 1 บาท กับเงินในบัญชีอีกกว่าหมื่นบาท ต่อเดือนผาต้องส่งเงินให้ทางบ้านซึ่งมีพ่อ แม่และน้องชายอีกคนตกเดือนละ 5000 บาท น้องชายกำลังเรียนชั้นมัธยมต้น นี่ดีที่มันเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงสงสัยจะเดินตามรอยพี่มัน “ ผมเล่าและยิ้มเยาะติดตลกในวรรคสุดท้าย “ ชีวิตกระหรี่มันก็อย่างนี้แหละพี่ ต้อง ด้านได้อายอด เสแสร้งมันไปวันๆ ทั้งๆที่ความจริงมันน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด พี่ลองนึกดูต่อวันผาถูกบุ๊ควันละประมาณ 6 ครั้ง เดือนหนึ่ง หากนับช่วงประจำเดือนมาก็ตัดไปประมาณอาทิตย์นึง ตกต้องรับแขกต่อเดือนประมาณ 140 ครั้ง หากบุ๊คแบบชั่วคราวทั้งหมดก็เป็นเงิน 14000 บาท หักให้เถ้าแก่ต่อครั้ง 40 บาทเหลือเก็บจริงๆ 8400 บาท หากเดือนไหนโชคดีหน่อยมีแขก
บุ๊คออกไปข้างนอก ซึ่งค่าตัวขึ้นเป็น 3 เท่าตัวคือ 300 บาท รายได้ก็จะมีมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะโชคดี เพราะแขกบางคนบุ๊คพาไปข้างนอกแต่กลับพาเราไปเรียงคิว ดีไม่ดีภายในเสียหายอาจต้องหยุดยาวเป็นเดือน “ ผาสาธยาย แม้ผมจะมึนงงกับศัพท์คำว่า “ บุ๊ค “ อยู่พอสมควรแต่ก็อีออไปกับหล่อนด้วย “ บุ๊ค” ในที่นี้ต่อมาผมถึงทราบว่าเป็นคำที่ใช้เรียกกรณีต้องการขึ้นห้อง ( หรือจะเรียกว่าออฟเด็กก็ได้ ) บุ๊คมีทั้งแบบชั่วคราวคือ 1ชั่วโมง หรือค้างคืนซึ่งราคาจะเหมือนกับ “ บุ๊คออกไปข้างนอก” แต่กรณีบุ๊คออกไปข้างนอก เด็กต้องคุ้นเคยกับแขกพอสมควร เพราะมีกรณีพาไปเรียงคิวให้เห็นอยู่บ่อยๆ โดยการบุ๊คออกไปข้างนอกต้องมีข้อตกลงว่าจะมาส่งเด็กในตอนเช้ากี่โมง
ผมสนทนากับผาจนเกือบเลยเที่ยงคืน และลืมไปว่ามิตรสหายนั่งดื่มกินอยู่อีกร้าน ผมบอกผาเช็คบิล หล่อนโบกมือให้ “ ไม่เป็นไรพี่ หนูเลี้ยงมิกเซอร์เอง แต่อย่าบอกพี่ดี้น่ะ เดี๋ยวเค้าหึง “ แม้ผมจะพยายามจ่ายแต่เพื่อไม่ให้ขัดศรัทธาจึงต้องเลยตามเลย ผมกลับมาร้านตอง 9 แต่ไม่มีใครอยู่สักคน สอบถามเด็กภายในร้านทราบว่าพากันขึ้นห้องไปหมด นั่นงัย “ ความเงี่ยนไม่เข้าใครออกใคร” ผมสบถกับตัวเอง








Create Date : 23 กันยายน 2549
Last Update : 7 ตุลาคม 2549 19:43:06 น. 5 comments
Counter : 684 Pageviews.

 
อ้าว
ไม่ได้ใครเลยเหรอครับเนี่ย


โดย: เ ม ฆ ค รึ่ ง ฟ้ า วันที่: 23 กันยายน 2549 เวลา:15:13:47 น.  

 
เขียนสำนวนดี อ่านเพลินเลยค่ะ ถ้ามีเว้นวรรคบ้างจะทำให้อ่านง่ายขึ้น...ว่าแต่บล็อคของอดีตนักมวยนี่หวานแหววจังนะคะ..:)


โดย: แม่ของจิตร วันที่: 23 กันยายน 2549 เวลา:15:28:24 น.  

 
อีกฟากหนึ่งของสังคม เหมือนจะโกหกแต่จริง เนอะ ชีวิต


โดย: sugarhut วันที่: 23 กันยายน 2549 เวลา:15:43:47 น.  

 
อ่านแล้ว งง เลย


โดย: หมิว (xiaoyang ) วันที่: 23 กันยายน 2549 เวลา:15:50:57 น.  

 


โดย: oato_janza วันที่: 13 ตุลาคม 2549 เวลา:10:52:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาราเดช
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]












Google



นักรบจากที่ราบลุ่มแม่น้ำตากใบ
Friends' blogs
[Add ดาราเดช's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.