ทริปนี้เลือกได้ ว่าจะไปสวรรค์ หรือนรก
ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า แต่ชาตินี้ คุณก็เลือกได้ว่าจะไปสวรรค์ หรือลงนรกจากกรุงเทพฯ ไปทางถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี เมื่อถึงกม. ที่ ๕๕ เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีก ๑๔ กม. จะพบกับสถานที่แห่งนี้อยู่ทางขวามือ นั่นคือ วัดไผ่โรงวัว นั่นเองวัดไผ่โรงวัว ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ๒๔๖๘ โดยเป็นสำนักสงฆ์มาก่อน และได้รับวิสุงคามสีมาในปี ๒๔๘๙ เล่ากันว่า ที่ดินที่เป็นวัดไผ่โรงวัวในปัจจุบัน ในอดีต คือทุ่งโล่งๆ ที่ชาวบ้านนิยมนำวัวมาเลี้ยง บ่อยครั้งที่มีพระธุดงค์มาจากที่อื่นๆ ปักกลดธุดงค์ ณ บริเวณทุ่งแห่งนี้ เจ้าของที่เลยยกที่ดิน ๒๐ ไร่ให้เป็นสำนักสงฆ์ พร้อมทั้งชาวบ้าน ได้พร้อมใจกันไปนิมนต์พระขอม จากวัดบางสาม ให้มาจำวัดที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ในปี ๒๔๗๒แต่หลวงพ่อขอมก็จำวัดได้เพียงปีเดียว ปีรุ่งขึ้น ได้ไปศึกษาพระปริยัติธรรมจนจบนักธรรมเอก ที่วัดพระศรีมหาธาตุ ซึ่งในช่วงเวลาที่หลวงพ่อขอมไปศึกษาพระปริยัติธรรม ก็มีพระรูปอื่นๆ ผลัดกันดูแลสำนักสงฆ์แห่งนี้ มาจนถึงปี ๒๔๗๙ ชาวบ้านก็ไปนิมนต์หลวงพ่อขอม ให้กลับมายังสำนักสงฆ์แห่งนี้อีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อขอม ได้พัฒนาและก่อสร้างสิ่งต่างๆ ไว้มากมาย ที่ดินของวัดจาก ๒๐ ไร่ ได้กลายเป็น ๒๔๘ ไร่ ๑ งาน ๒๑ ตารางวาในปัจจุบัน เมื่อสำนักสงฆ์แห่งนี้ได้รับวิสุงคามสีมาในปี ๒๔๘๙ พร้อมได้รับชื่อว่า วัดโพธาราม แต่ชาวบ้านแถบนั้น ยังคงติดปาก เรียกวัดแห่งนี้ว่า วัดไผ่โรงวัว จวบจนปี ๒๕๓๓ จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดจากวัดโพธาราม เป็นวัดไผ่โรงวัวภายในพื้นที่สองร้อยกว่าไร่ มีสิ่งก่อสร้างที่เกียวกับพุทธศาสนามากมาย อาทิ พระวิหารร้อยยอด วังสามฤดูของเจ้าชายสิทธัตถะ สังเวชนียสถาน พระธรรมจักร ดินแดนนรกภูมิ วิมานสวรรค์ เป็นต้นพระกะกุสันโธ พระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่สุดของไทย ถ้าไม่มาชมที่นี่ ก็ต้องไปไกลถึงอินเดียเข้าไปสักการะพระพุทธรูปภายในวิมานทองเหล่าเทพยดาและนางฟ้า ภายในวิมานสวรรค์ภายในเมืองนรกภูมิมีการจำลองปูนปั้นเป็นเปรตรูปแบบต่างๆ กันนี่ก็เปรตที่ชอบพูดโกหกปิดท้ายกันด้วย "ที่สุด" ของโลก มีให้ชมที่วัดไผ่โรงวัว
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
คงไม่มีใครอยากไปนรกหรอกมั้งครับ
ดูไว้เตือนใจตัวเองก็ดี
โดยเฉพาะพวกนักการเมือง คอรัปชั่น
แวะเข้ามาทักทายกันครับและมาชวนไปดู อัสนี วสันต์ ร่ำไร คอนเสิร์ตด้วยครับ
อยากตามมาโย้วๆ ด้วยกัน คลิกที่รูปได้เลยครับ