|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
มาฝึก ละนันทิ กันเถอะ
มาฝึก ละนันทิ กันเถอะ
..........นันทิ แปลว่า ความเพลิน การฝึก ละนันทิ แปลว่า ฝึกละความเพลิน
..........ทำไมจึงต้องละความเพลิน
ความดับลงแห่งกองทุกข์ มีได้เพราะการดับไปแห่งความเพลิน ละนันทิ จิตหลุดพ้น
ละนันทิ หรือ ละความเพลิน เป็นมรรควิธี ที่พระพุทธเจ้า พูดบ่อยสอนบ่อยมากที่สุด จึงคิดว่า เป็นมรรควิธีที่มีความสำคัญ แล้ว มรรควิธีนี้ ใช้ได้ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้น ไปสู่วิมุติ เลย โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนมรรควิธีอะไร ที่เรียกว่าความเพลิน
ความเพลิน คือ เมื่อจิต ไปรับรู้ สุข ทุกข์ ( เวทนาขันธ์ ), ความจำ ความคิดอดีต ( สัญญาขันธ์ ) ,ความคิดอนาคต ความปรุงแต่ง หรือ ความฟุ้งซ่าน ( สังขารขันธ์ ) เมื่อจิตผูกติดกับอารมณ์ เหล่านี้ พระพุทธเจ้า เรียกว่า เป็นผู้มีความเพลิน
ความเพลิน นั้น คือ อุปาทาน แล้วเมื่อ จิตผูกติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน อุปาทาน ก็ จะไหลไปเป็น ภพ ชาติ ชรา มรณะ ตามสายของปฎิจจสมุปบาท เมื่อเราฝึกละความเพลิน ก็ คือ การละอุปาทาน เป็นการตัดสายปฎิจจสมุปบาท ไม่ให้ เกิดภพ ชาติ ชรา มรณะ
..........แล้ว จะละความเพลินได้อย่างไร
เราทราบมาแล้วว่า เมื่อ จิต เข้าไปรับรู้ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ พระพุทธเจ้าเรียกเพลิน พระพุทธเจ้า จึงให้จิต เข้าไปตั้งอาศัย ที่ รูปขันธ์ ได้แก่ กาย หรือ ลมหายใจ เมื่อ จิต ตั้งอาศัยอยู่ที่กาย พระพุทธเจ้าเรียก เป็นผู้มีสติ แต่พอ จิต ไปตั้งอาศัย ที่ เวทนา สัญญา สังขาร พระพุทธเจ้า เรียก เพลิน
ฉะนั้น ขันธ์ทั้ง 4 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร เราจึงควรให้ จิต หรือ วิญญาณขันธ์ ไปตั้งอาศัยอยู่ที่ รูปขันธ์ คือ กาย หรือลมหายใจ ถ้า จิต ไปตั้งอาศัยอยู่ที่กาย หรือ การเคลื่อนไหวของกาย หรือ รู้อยู่กับปัจจุบัน พระพุทธเจ้า เรียก ว่า กายคตาสติ แต่ ถ้า รู้ ลมหายใจ เข้า หายใจ ออก พระพุทธเจ้า เรียก อานาปานสติ รู้ลมหายใจ ก็ คือ รู้ รูปขันธ์ หรือ รู้กาย เพราะพระพุทธเจ้า บอกว่า ลมหายใจ เป็นกายอันหนึ่งในบรรดากายทั้งหลาย
แล้ว ขันธ์ ทั้ง 3 คือ ภพ เป็นที่ตั้งอาศัยของจิต ที่จะพาเราไปเกิดในชาติถัดไป พระพุทธเจ้า จึงให้ละทิ้งภพ ที่จะพาเราไปเกิดในอนาคต ให้ จิต มาตั้งอาศัย ในภพปัจจุบัน คือ รูปหรือกาย ในปัจจุบัน ถ้า จิตไปสร้างภพในอนาคต คือ เวทนา สัญญา สังขาร ก็ ให้ทิ้งไห้ไวที่สุด ถ้าใครทิ้งได้ไว ดุจกระพริบตา พระพุทธเจ้าจะทรงชมว่าเป็นผู้มีอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ และทรงเปรียบ ภพแม้นชั่ว ลัดนิ้วมือเดียว ก็ ยังน่ารังเกียจดุจ มูต ,คูต ( อุจจาระ, ปัสสาวะ )
ฉะนั้น เราจึงควรให้จิต อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับ กาย หรือ ลมหายใจ อย่าให้จิตไป รับรู้ สุข ทุกข์ ความคิดอดีต ความคิดอนาคต พอจิตหลุดไปคิด ให้ดึงจิตกลับมาให้ไวที่สุด ให้มาอยู่กับ ปัจจุบัน ให้มาอยู่ที่กาย หรือ ลมหายใจ เมื่อ เรา ฝึกดีแล้ว จิต จะไม่ไปสร้างภพ จิต หรือ วิญญาณขันธ์ ก็จะ รับรู้แต่รูปขันธ์ รู้อยู่ที่กาย หรือลมหายใจ พอถึงเวลาตาย ลมหายใจดับ จิต จะไม่มีภพให้เป็นที่ตั้งอาศัย จิตก็จะดับไปพร้อมๆกับลมหายใจ ไม่ไปเกิดอีก
..........ปุณณะ ! เรากล่าวว่า ความดับไม่เหลือแห่งกองทุกข์ มีได้เพราะการดับไปแห่งความเพลิน ดังนี้แล
เมื่อเห็นถูกต้อง ย่อมเบื่อหน่าย เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ จึงมีความสิ้นไปห่งราคะ เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ จึงมีความสิ้นไปแห่งนันทิ เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและราคะ กล่าวได้ว่า จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี ดังนี้
Create Date : 31 สิงหาคม 2553 |
|
13 comments |
Last Update : 31 สิงหาคม 2553 21:52:39 น. |
Counter : 7522 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: อะไรกัน o-> IP: 118.174.191.241 1 กันยายน 2553 13:26:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: อะไรกัน o-> IP: 118.174.191.198 2 กันยายน 2553 1:08:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: อะไรกัน o-> IP: 118.174.191.191 2 กันยายน 2553 23:33:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตัวน้อยตัวนิด IP: 125.24.59.154 3 กันยายน 2553 21:08:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 4 กันยายน 2553 12:02:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 6 กันยายน 2553 14:03:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: nava IP: 27.130.80.101 28 กุมภาพันธ์ 2560 11:52:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: nava IP: 27.130.80.101 28 กุมภาพันธ์ 2560 11:54:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: nava IP: 27.130.80.101 28 กุมภาพันธ์ 2560 12:06:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: nava IP: 27.130.80.101 28 กุมภาพันธ์ 2560 12:14:56 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
๑.ที่กล่าวว่า...(กาม พยาบาท เบียดเบียน) นั้น ทำไม ต้องเอา พยาบาท และ เบียดเบียน มาบอก ต่ออีก 2 คำ หรือครับ ก็ เพราะ อกุศล ก็ครอบคลุมหรือรวมอยู่ในคำว่า กาม หมดแล้ว ไม่ใช่หรือครับ เพราะถ้าบรรยาย อกุศล ให้หมด ก็ต้องมีมากกว่า คำว่า พยาบาท เบียดเบียน อีกตั้งหลายข้อ ทำไมต้องเป็น 2 คำนี้ต่อท้าย ด้วยหรือครับ ?
๒.ใน ปฏิจจสมุปาท นั้น การปฏิบัติ เจริญสติ นั้น เริ่มที่ ผัสสะ ใช่ไหมครับ...แล้วที่กล่าวว่า ให้ละการเกิดของจิต นั้น หมายถึงตัว จิตสังขาร ที่มี อวิชชา เป็น ปัจจัย ใช่ไหมครับ คือให้ละการปรุงแต่ง ไปใน กรรมดำ และ กรรมขาว เท่านั้น เพราะ คงไม่ใช่ไห้ละการเกิดของจิต ขณะแรกที่เป็นผัสสะ ใช่ไหมครับ เพราะ ผัสสะต้องเกิด ไปตามเหตุตามปัจจัย ละการเกิดไม่ได้เพราะถ้าได้ก็คือ ตาย น่ะสิครับ !!! ?
๓. วิญญาณ ที่เป็นเหตุให้เกิด นามรูป นั้น นามรูป ตรงนี้ หมายถึง ร่างกายและจิตใจเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับพวก โต๊ะ เก้าอี้ บ้าน รถ ต้นไม้ ฯลฯ...ใช่ไหมครับ...หรือรวมด้วย ??
๓.๑ แล้ว วิญญาณ ตัวนี้ เป็นจิตแบบเดียว กับที่บอกว่า จิตเกิด ก็คือภพเกิด หรือเปล่าครับ เพราะบอกว่า ขันธ์ ทั้ง 3 คือ ภพ เป็นที่ตั้งอาศัยของจิต ที่จะพาเราไปเกิดในชาติถัดไป ถ้างั้น ภพตัวนี้คือ รูปนาม ที่เป็น เพียง (เวทนา สัญญา สังขาร)หรือครับ หรือว่ารวมทั้ง กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยไหม ถ้ารวม มันก็ไปซ้ำกับ นามรูป ที่ ต่อจาก วิญญาณ ที่รวมทั้ง ร่างกายและจิตใจ และ โต๊ะ เก้าอี้ บ้าน รถ ต้นไม้ ฯลฯ ใช่ไหมครับ ตรงนี้แหละครับ ว่า รูปภายนอก มาเกี่ยวกันตรงไหน งง...??
๔. ถามเรื่อง จิต ที่ตอนนั้นเคยถามไป แต่ยังไม่ได้คำตอบครับ 55 คือ ขณะที่นอนหลับ แต่ไม่ฝัน นั้น เป็นจิตอะไรครับ ถ้าไม่ใช่ ภวังค์จิต(ที่เป็นจิตเกิดสืบต่อ ดำรงภพชาติของการเป็นบุคคลนั้น) ???