วันนี้เป็นวันหยุดค่ะ
นอนอยู่ห้องไม่ได้ไปไหนเลย ตื่น 7:30 เป็นคอมเล่นเกมเปิด facebook ทำนู่นทำนี่
สุดท้ายก็หยิบกีต้าร์ขึ้นมาเกา ตุ้งแหน่ว ตุ้งแหน่ว หุหุ
ไม่รู้ว่าไอ้คนข้างห้องมันจะกำลังเอาหมอนปิดหูอยู่รึเปล่า
(ห้องที่อยู่เป็นห้องมุมค่ะเลยมีเพื่อนบ้านอยู่แค่ 2 ห้อง)
แต่เดินสำรวจรอบ ๆ ห้องแล้วนะว่าห้องตรงข้ามอ่ะไปทำงานแล้ว
แต่ห้องข้าง ๆ นี่ไม่แน่ใจแฮะบางทีก็อยู่ตลอด บางที่ก็อยู่กลางวัน
บางที่ก็กลับมาเฉพาะกลางคืน บางทีก็หายไปเลยนาน ๆ
นี่แอบได้ยินเวลาเค้าเปิดปิดตู้หรอกนะคะ
ถ้าเสียงใดเล็ดลอดเข้าไปก็ขอโทษด้วยนะค๊าาา
วันนี้อากาศเย็น ๆ ครึ้ม ๆ คงเป็นผลจากที่ฝนตกใหญ่เมื่อวาน
เลยออกไปขี่จักรยานเล่นรอบหมู่บ้าน
พอกลับมาห้องเหงื่อโชก
พอเกือบค่ำกำลังจะไปอาบน้ำก็ได้ยินเสียงจักจั่นดังขึ้นมาจากหลังห้อง
พอลุกจะเดินขึ้นไปดูก็เงียบไป หึ เสียงมาจากไหนอ่ะ
อ๊ะ พอเดินสำรวจก็ได้ยินเสียงบนพรึ่บ ๆ ตรงกระจกที่ระเบียงหลังห้อง
โห เสียงจักจั่นตัวแรกของปีนี้เนี่ย
เป็นเสียงมาจากหลังห้องเราเองเหรอเนี่ย
ปลื้มมากกกกก เพราะถ้าได้ยินเสียงจักจั่นแสดงว่าฤดูร้อนกำลังมาถึงแล้ว
มันอาจจะร้องมาหลายวันแล้วก็ได้นะแต่เจได้ยินวันแรกนี่หน่า
เลยเหมาเอาว่าเป็นวันแรกที่มันร้องแถมมาร้อง Delivery ถึงหลังห้องเราซะด้วยซิ อิอิ
พอได้ยินเสียงแล้วมันก็นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ขึ้นมาทุกที ภาพต้นไม้แห้ง ๆ
ไม่มีใบ ตั้งตระง่านอยู่ตามสวนป่าของโรงเรียน
ใบไม้สีแดงร่วงเต็มเกลื่อนพื้นเต็มไปหมด
อากาศร้อน ๆ เปลวแดดระยิบ
บรรยากาศแห่งความพลัดพรากที่เราจะไม่ค่อยชอบนัก
ภาพแรกที่นึกถึงคือการปิดเทอม
ความรู้สึกว่าต้องลุ้นเกรดว่าจะได้ตามเป้าจะถูกใจพ่อรึเปล่า
ความเครียดที่ต้องอ่านหนังสือสอบเพื่อเลื่อนชั้นเรียน
สอบเข้า ม.1 ม.4 เอ็นทรานส์ summer อะไรอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยเฉพาะตอนเรียนมหาวิทยาลัย ทุก ๆ หน้าร้อนต้องมีพี่ ๆ เพื่อน ๆ หายไป
ต้องมาคอยลุ้้นกันว่าจะมีใครจากไป หรือกลับเข้ามาใหม่เป็นน้องใหม่อีกปีรึเปล่า
หน้าร้อนอากาศแห้ง ๆ เงียบ ๆ ทีไรจะรู้สึกว่ามันโหวง ๆ ทุกที
ความรู้สึกที่ต้องลุ้นเกรดตัวเองหน่ะมันยังเหมือนเป็นสิ่งที่ฝังหัวยังเป็น
ฝันที่คอยหลอกหลอนอยู่บ่อยครั้ง...(พ่อจะซีเรียสเรื่องเกรดมากๆ)
คงเหมือนกันกับรุ่นพี่คนนึงที่แกจะชอบเล่าให้ฟังว่าแกจะฝันว่า
แกเข้าห้องสอบไม่ทันอยู่บ่อยครั้งตื่นขึ้นมาก็ลนลานรีบแต่งตัวจะไปสอบ
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ตัวแกอายุ 40 กว่าแล้วอ่ะ แกเล่าประวัติแกให้ฟัง
ปรกติเค้าเรียนปริญญาตรีเค้าเรียนกันมากสุดก็ 8 ปี แต่แกเป็นรุ่นเดียวที่สามารถ
เรียนได้ 10 ปี แล้วแกก็เป็นอีกคนที่ใช้สิทธิอย่างเต็มที่
ไม่ต้องบอกก็รู้นะคะว่าแกจะเฮี้ยวขนาดไหน
และเลือดรักคณะและสถาบันนี่เรียกว่าเข้มข้น...
แต่ตอนนี้แกก็เป็นเจ้าของบริษัทและประกอบธุรกิจที่ใหญ่โต
และแกก็จะบอกเสมอ ๆ ว่าแกไม่เสียดายเวลาที่ใช้ไปกับการเรียนเลย
เพราะตอนนี้แกยังได้ยิ้มทุกทีที่นึกถึงวีรกรรมของแกและเพื่อน ๆ
เพราะนั่นคงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและสนุกที่สุดในชีวิตของหลาย ๆ คน
และ เราเองก็มีความสุขที่สุดกับ 4 ปีในช่วงปริญญาตรีเหมือนกัน
ตอนเรียนเรียกได้ว่าเป็นเด็กกิจกรรมของคณะคนนึง พูดได้ว่ากิจกรรมทุกอย่างเคยผ่านมือมาแล้วทั้งนั้น
จึงไม่แปลกใจที่จะจบมาด้วยเกรดนิยม หุหุ (จบก็บุญแล้ว)
แต่พอกลับไปเรียนโทเนี่ยบรรยากาศมันก็ไม่เหมือนกับตอนเรียนตรีหรอกนะ
แก่แล้วจะไปยุ่งไปทำอะไรเหมือนเด็ก ๆ ไม่ได้แล้วเราก็ไม่มีเวลาไปทำด้วย
ก็ได้แต่ดูอยู่ห่าง ๆ ดูความเป็นไปของน้อง ๆ ที่เดินตามทางที่เราเคยผ่านมา
อาจจะเหมือนหรือต่างออกไป
แต่บรรยากาศใกล้เคียง
ทำให้ยังนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ พี่ น้อง เก่า ๆ (ที่ตอนนี้เริ่มแก่ 555)
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ได้ย้อนกลับไปนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ
คิดถึงป่าข้างตึกเชียร์ คิดถึงคาเฟ่เพดานต่ำ
"แค่ได้คิดถึงก็เป็นสุขใจ"