ผ่านทะเลเห็นน้ำไร้ความหมาย
Group Blog
 
<<
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
25 มกราคม 2549
 
All Blogs
 

ใจ ฤา คือ พรานผู้เปล่าเปลี่ยว --- The Heart is the Lonely Hunter by Carson McCullers



The Heart is the Lonely Hunter เป็นหนังสือที่เขียนโดย Carson McCullers นักเขียนหญิงของสหรัฐทีมีชีวิตอยู่ราว 1920-1967 เธอเกิดมาในชื่อ Lula Carson Smith จากครอบครัวมีฐานะดี ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยเรื่องซึมเศร้า เธอร่างกายอ่อนแอ ป่วยบ่อยเมื่อตอนยังเล็กทำให้ไม่ค่อยได้เล่นกับเด็กคนอื่นมากนัก

เมื่อโตขึ้นได้เข้าศึกษา Creative Writing ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย จากนั้นก็แต่งงานกับรีฟส์ แมคคัลเลอร์ส์ ชีวิตแต่งงานไม่ได้ราบรื่นเลยสำหรับเธอ ทั้งรีฟและลูล่าต่างก็มีชู้ซึ่งเป็นเพศเดียวกับตัวเอง ไม่นานทั้งสองคนก็เลิกรากันไป แต่แล้วก็กลับมาแต่งงานกันอีกในช่วงไม่กี่ปีให้หลัง เหตุการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น ความเครียดและปัญหาที่รุมเร้าทำให้ลูล่าพยายามฆ่าตัวตาย แต่ไม่สำเร็จ ไม่นานรีฟส์ก็ทิ้งเธอและปัญหานานาไปโดยกินยานอนหลับเกินขนาดโดยตั้งใจ

ลูล่าต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยทางกายอีกหลายครั้ง ก่อนที่จะเสียชีวิตเมื่ออายุเกือบ 50 ปี แต่เธอได้ฝากงานเขียนชิ้นเยี่ยมไว้จำนวนหนึ่ง นิยายเรื่องแรกของเธอคือ The Heart is the Lonely Hunter ตีพิมพ์ในปี 1940 และนิยายที่ประสบความสำเร็จอีกเล่มหนึ่งคือ Reflections in a golden eye

นิยายของเธอที่เป็นที่รู้จักมาในเมืองไทยก็คือ the ballad of the Sad Cafe

บรรยากาศในนิยายของMcCullers ที่เคยอ่าน คือ หม่นมัว ตัวละครทุกตัวโหยหาอะไรบางอย่างในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรัก และความเข้าใจจากคนคนหนึ่ง ตัวละครทุกตัวพิการ ถ้าไม่พิการกาย ก็พิการใจ หรือทั้งสองอย่าง

แต่ในความหม่นมัวนั้น แฝงด้วยความลึกล้ำ เฉียบคม และมองเข้ามาในวิญญาณของมนุษย์ได้อย่างหมดเปลือก อ่านแล้วรู้สึกเหมือนว่าคาร์สัน แม็คคัลเลอร์สได้รู้เห็นและสัมผัสความกลัวอันลึกล้ำของมนุษย์ที่มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ นั่นก็คือ ความกลัวความโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา กลัวว่าการมีอยู่ของเราจะเป็นเรื่องไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง....

The Heart is the Lonely Hunter ใจ ฤ คือ พรานผู้เปล่าเปลี่ยว เป็นเรื่องราวของ John Singer หนุ่มช่างทอง ผู้ที่แม้จะได้ยินหรือพูดได้(แม้จะไม่ค่อยดีนัก)แต่เขาก็ไม่ยอมพูดจนใคร ๆนึกว่าเขาเป็นใบ้ เขาอาศัยอยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เป็นใบ้และหูหนวกร้อยเปอร์เซนต์ และแถมยังไม่เต็มเต็งอีกต่างหาก แต่จอห์นรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้เท่านั้นที่เขาสามารถจะสื่อสารด้วยได้ อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนถูกส่งไปอยู่โรงพยาบาลบ้า จอห์นรู้สึกเปล่าเปลี่ยว เขาทิ้งห้องเช่าเดิมและย้ายเข้าไปเช่าห้องของครอบครัวหนึ่ง เขาได้พบและผูกพัน ขัดแย้ง รวมทั้งได้รู้ปัญหาของคนอื่น ๆในเมือง แต่ไม่มีใครเข้าถึงเขาได้ เมื่อรู้ว่าเพื่อนในโรงพยาบาลบ้าเสียชีวิต จอห์น ซิงเกอร์ยิงตัวตายเพราะรู้สึกว่าไม่มีใครให้เขาได้สื่อสารด้วยต่อไปอีกแล้ว

The Heart is the Lonely Hunter เป็นหนังสือที่อยากแปล และก็ได้เคยแปลบางบทไว้นานมากแล้ว เมื่อไปค้นเจอก็เลยเอาแปะไว้ณ.ที่นี้




 

Create Date : 25 มกราคม 2549
4 comments
Last Update : 25 มกราคม 2549 22:00:47 น.
Counter : 1442 Pageviews.

 

ภาคหนึ่ง

1
ในเมืองมีคนใบ้อยู่สองคนที่เป็นเพื่อนรักกัน ทุกเช้าเมื่อออกจากบ้าน ทั้งสองจะเดินคล้องแขนกันไปตามถนนมุ่งหน้าสู่ที่ทำงาน เพื่อนทั้งสองต่างกันลิบลับ คนที่มักจะเดินล้ำหน้าเสมอเป็นชายกรีกร่างอ้วนฉุ ท่าทีเลื่อนลอยราวกับอยู่ในฝัน ยามหน้าร้อนเขามักจะใส่เสื้อโปโลสีเขียวหรือไม่ก็เหลือง ชายเสื้อข้างหน้าถูกยัดเข้าไปในกางเกงแบบขอไปที ข้างหลังปล่อยไว้ยาวเป็นหาง ถ้าอากาศหนาว เขาก็จะใส่เสว็ตเตอร์สีเทาที่ยืดจนย้วยแล้วทับเข้าไป ใบหน้ากลมเป็นมันเยิ้ม นัยน์ตาหรี่ปรือ มีรอยยิ้มน้อย ๆที่ดูโง่เขลาประดับอยู่ที่ริมฝีปากตลอดเวลา ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นสูง เพรียว ประกายตาแจ่มใสและชาญฉลาด แต่งกายประณีตเรียบร้อย


ทุกเช้า เพื่อนทั้งสองจะเดินไปด้วยกันเงียบ ๆ จนกระทั่งถึงถนนเส้นหลักของเมือง ที่มีร้านขายผลไม้และขนมหวานตั้งอยู่ เมื่อถึงร้านก็จะหยุดอยู่ที่ทางเดินข้างหน้าครู่หนึ่ง คนอ้วนนั้นเป็นชาวกรีกมีชื่อว่า สไปรอส แอนโตนาปูลอส เขาทำงานที่ร้านนี้และเป็นญาติกับเจ้าของร้าน หน้าที่ของชายอ้วนก็คือทำลูกอมกับขนมหวาน เอาผลไม้ออกจากลัง และทำความสะอาดร้าน คนผอมนั้นชื่อจอห์น ซิงเกอร์ ก่อนที่เพื่อนจะเข้าไปในร้าน ซิงเกอร์จะจับแขนเพื่อนแล้วก็จ้องหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินข้ามถนนไปยังร้านทำเครื่องประดับอัญมณีที่เขาทำงานเป็นช่างสลักเครื่องเงิน



ช่วงเย็น คนใบ้ทั้งคู่ก็จะกลับมาเจอกันอีก ซิงเกอร์จะมายังร้านผลไม้ รอจนแอนโตนาปูลอสพร้อมจะกลับบ้าน ตอนนั้นชายกรีกอาจจะกำลังเอาลูกพีชหรือแตงโมออกจากลังอย่างเชื่องช้า หรืออาจจะกำลังดูหนังสือตลก ๆอยู่ในห้องครัวที่ใช้ปรุงของหวาน


เมื่อเลิกงาน แอนโตนาปูลอสก็จะเปิดถุงที่เขาเอาวางแอบไว้ที่ชั้นในห้องครัว ในนั้นจะมีของที่เขาเก็บไว้อย่างเช่นชิ้นผลไม้ ตัวอย่างของลูกอม หรือส่วนหัวท้ายของไส้กรอกตับ ก่อนที่จะออกไปจากร้าน แอนโตนาปูลอสก็มักจะเดินไปที่ลังแก้วหน้าร้านที่เก็บเนื้อหรือเนยแข็งบางส่วนไว้ เลื่อนฝาหลังออก เอามืออ้วน ๆลงไปควานหาสิ่งที่อยากได้ขึ้น บางทีญาติของเขาที่เป็นเจ้าของก็มองไม่เห็น แต่ถ้ามองเห็นเขาจะถลึงจ้องชายอ้วน ส่งสัญญาณเกรี้ยวกราดจากใบหน้าขาวซีดที่เคร่งเครียดเสมอ เท่านี้ แอนโตนาปูลอสก็จะทำได้แค่ย้ายของที่อยู่ในมือจากมุมหนึ่งไปยังอีกมุมหนึ่ง ด้วยท่าทีเสียดายยิ่ง ตลอดเวลาซิงเกอร์ก็จะยืนตัวตรงอยู่หน้าร้าน มือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกง และมองไปทางอื่น เขาไม่ชอบดูฉากระหว่างชายกรีกทั้งสองคนนี้ เขารู้ว่านอกจากการดื่มเหล้าและความพอใจอันลึกลับของการใชัชีวิตแบบโดดเดี่ยวแล้ว แอนโตนาปูลอสโปรดปรานการกินมากกว่าสิ่งใดในโลกนี้


ยามพลบ เพื่อนผู้เงียบงันทั้งสองก็จะเดินกลับบ้านไปด้วยกัน ที่บ้าน ซิงเกอร์ก็จะพูดคุยกับแอนโตนาปูลอส มือของเขาเคลื่อนไปอย่างว่องไวเป็นสัญลักษณ์ของคำต่าง ๆ สีหน้ากระตือรือร้น นัยน์ตาสีเขียวเทาเป็นประกายกล้า ด้วยมือผอมบางแต่แข็งแรงทั้งสองข้าง

ซิงเกอร์เล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ทำงานให้แอนโตนาปูลอสได้รับรู้


แอนโตนาปูลอสเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ตามองที่ซิงเกอร์ นาน ๆครั้งถึงจะเคลื่อนไหวมือเพื่อจะบอกเพื่อนว่าหิวหรืออาจจะเป็นง่วงแล้ว หรืออยากดื่มเหล้า สัญญาณมือจะเหมือนกันทุกครั้ง มันแทบจะไม่เป็นสัญญาณอันใดเลยด้วยซ้ำ


ถ้าหากว่าชายอ้วนยังไม่เมาจนเกินไป เขาจะคุกเข่าลงที่หน้าเตียงเพื่อสวดมนต์ มือจะทำสัญลักษณ์ของคำว่า พระเยซูผู้ศักดิ์สิทธิ์ หรือ พระเจ้า หรือ “พระแม่มารีที่รัก” คำเหล่านี้เองก็คือสิ่งที่แอนโตนาปูลอส”พูด” ออกมาเสมอ ซิงเกอร์เองก็ไม่รู้ว่าเพื่อนเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดมากน้อยเพียงใด แต่นั่นไม่ได้สำคัญแม้แต่น้อย


พวกเขาอยู่บนชั้นสองของบ้านหลังเล็ก ที่อยู่ใกล้กับย่านธุรกิจของเมือง บนนั้นมีห้องสองห้อง แอนโตนาปูลอสรับหน้าที่เป็นคนทำอาหารเสมอ มีเตาที่ใช้น้ำมันอยู่ในครัว มีเก้าอี้ธรรมดาในห้องครัวสำหรับซิงเกอร์ และโซฟาตัวปุปะสำหรับแอนโตนาปูลอส ส่วนห้องนอนก็มีแค่เตียงคู่ขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้านวมสำหรับกรีกอ้วนฉุ ส่วนเตียงเหล็กเล็กแคบ ขึงผ้าใบสำหรับซิงเกอร์.


ช่วงเวลาอาหารเย็นจะดำเนินไปเนิ่นนาน เพราะว่าแอนโตนาปูลอสโปรดปรานการกินอาหารอย่างที่สุด เขาจะกินให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากที่กินเสร็จแล้ว กรีกร่างอ้วนก็จะนอนอยู่บนโซฟา ใช้ลิ้นเลียฟันแต่ละซี่อย่างช้า ๆ ละเลียดอยู่กับรสอร่อยลิ้นของอาหารให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะที่ซิงเกอร์ล้างจาน


มีบางค่ำคืนที่คนใบ้ทั้งคู่จะเล่นหมากรุก ซิงเกอร์สนุกกับเกมมาก เมื่อก่อนเขาเคยพยายามสอนให้แอนโตนาปูลอสเล่น


ตอนแรกชายอ้วนก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าทำไมต้องเลื่อนของชิ้นเล็ก ๆไปมาบนกระดานตลอดเวลา ซิงเกอร์ใช้วิธีเอาขวดที่มีของกินมาไว้ใต้โต๊ะ และก็เอาออกมาหลังจากจบการสอนแต่ละครั้ง แม้ว่าชายกรีกจะไม่เข้าใจถึงการเคลื่อนไหวอันไม่ธรรมดาของอัศวิน หรืออำนาจการทำลายล้างของควีน แต่ก็สามารถจะเรียนรู้การเดินเปิดกระดานสองสามวิธี เขาชอบสีขาวและมักไม่ยอมเล่นหากว่าได้เป็นฝ่ายสีดำ หลังจากทั้งสองฝ่ายเดินเปิดเกมไปสองสามครั้ง ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของซิงเกอร์ในขณะที่ชายอ้วนได้แต่มองดูอย่างซึมเซา หากว่าซิงเกอร์จู่โจมฝ่ายของตัวเองได้ดี และรุกฆาตคิงดำ แอนโตนาปูลอสก็จะภาคภูมิใจและเป็นสุขมาก


ชายใบ้ทั้งสองไม่มีเพื่อนคนอื่นอีก นอกจากเวลางานแล้วพวกเขาอยู่กันสองคนเสมอ แต่ละวันก็ผ่านไปเหมือนกับวันอื่น ๆก่อนหน้า ทุกสิ่งดำเนินไปท่ามกลางความโดดเดี่ยวอันปราศจากสิ่งรบกวน กิจกรรมประจำของพวกเขาก็คือ ไปห้องสมุดสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ซิงเกอร์มักจะยืมหนังสือเรื่องลึกลับมาอ่าน ในคืนวันศุกร์ก็จะไปดูหนัง ส่วนวันเงินเดือนออกจะพากันไปยังร้านถ่ายรูปครั้งละ10 เซนต์ที่อยู่บนร้านขายเครื่องแบบทหารบกและทหารเรือ แอนโตนาปูลอสจะให้คนถ่ายรูปเขาไว้ดูเล่น สถานที่เหล่านี้คือที่ชายทั้งสองไปเป็นเสมอ พวกเขาไม่เคยย่างกรายไปส่วนอื่น ๆของเมืองเลยสักครั้ง


เมืองนี้อยู่ใจกลางเขตตอนใต้สุดของประเทศ มีหน้าร้อนอันยาวนาน ในขณะที่ฤดูแห่งเหมันต์นั้นสั้นนัก ท้องฟ้ามักจะใสเหมือนกระจก สะท้อนสีน้ำเงินจัด แสงอาทิตย์แผดเผารุนแรง ส่วนในเดือนพฤศจิกายน ฝนเบาบางเย็นเยียบก็จะพร่างพรมเกือบทั้งเดือน จากนั้นก็จะเย็นเป็นน้ำแข็ง แต่ก็เป็นอยู่ไม่นาน ฤดูหนาวอาจจะเปลี่ยนแปลงเป็นไม่ค่อยหนาวได้ แต่อุณหภูมิในฤดูร้อนเดือดพล่านเสมอ
เมืองที่ทั้งสองคนอาศัยอยู่นี้กว้างใหญ่ บนถนนสายหลักเต็มไปด้วยอาคารสอง-สามชั้นที่เป็นร้านขายของหรือสำนักงาน อาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนั้นเป็นโรงงาน คนในเมืองนี้จำนวนมากทำงานที่นี่ มันเป็นโรงหีบฝ้ายขนาดใหญ่ที่กิจการกำลังรุ่งเรืองดี ตรงกันข้ามกับคนงานที่อยู่ในเมืองเพราะเกือบทั้งหมดยากจนข้นแค้น หากเดินไปตามท้องถนนในหมู่ผู้คนที่เดินไปมา ก็จะสังเกตุเห็นแววตาสิ้นหวังจากความหิวโหยและจากความเหงาอ้างว้างที่กัดกร่อนภายใน



เพื่อนผู้เงียบงันทั้งสองอาจจะโดดเดี่ยวแต่พวกเขาไม่อ้างว้าง กิจกรรมในบ้านก็คือการดื่มกิน ระหว่างนั้นซิงเกอร์จะพูดกับเพื่อนด้วยภาษามือ ถ่ายทอดให้เพื่อนรู้ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ คืนวันผ่านไปอย่างเงียบเชียบและราบรื่นเช่นนี้จนกระทั่งซิงเกอร์อายุได้สามสิบสอง เขาอยู่ในเมืองนี้มาพร้อมกับแอนโตนาปูลอสถึงสิบปีแล้ว


อยู่มาวันหนึ่ง จู่ ๆชายกรีกก็ล้มป่วยลง ร่างอ้วนที่นั่งอยู่บนเตียงใช้มือกดที่ท้อง ในขณะที่น้ำตาเม็ดโป้ง ๆไหลพรากลงมาบนแก้ม ซิงเกอร์กระวีกระวาดไปหาเจ้าของร้านผลไม้เพื่อลางานให้เพื่อน แล้วก็ไปลางานให้ตัวเองด้วย หมอสั่งอาหารที่แอนโตนาปูลอสจะต้องกินและสั่งว่าห้ามดื่มไวน์อีกต่อไป ซิงเกอร์ดูแลตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งวันเขาจะนั่งอยู่ข้างเตียงทำทุกสิ่งเพื่อให้เพื่อนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่าไม่น่าเบื่อหน่าย แต่แอนโตนาปูลอสก็เอาแต่มองเขาด้วยหางตาอย่างโกรธเกรี้ยว และไม่ยอมสนุกสนานไปด้วย

แอนโตนาปูลอนหาข้อไม่ดีเกี่ยวกับอาหารและน้ำผลไม้ที่เพื่อนทำให้เสมอ บ่อยครั้งเขาจะขอให้ซิงเกอร์พยุงเขาจากเตียงเพื่อสวดมนต์ ชายอ้วนวางก้นมโหฬารไว้บนเท้าเล็ก ๆอวบอูมทั้งสองข้างเมื่อคุกเข่า เขาทำมือเป็นคำว่าพระแม่มารี และก็จับไม้กางเขนทองเหลืองที่แขวนด้วยด้ายกระดำกระด่าง ตากลมใหญ่ที่เหลือบขึ้นมองเพดานมีประกายหวาดหวั่น หลังจากนั้นเขาก็จะ อารมณ์ไม่ดีและไม่ยอมให้เพื่อนพูดอะไรด้วย


ซิงเกอร์ต้องใช้ความอดทนมาก และพยายามทำทุกอย่างที่จะทำได้เพื่อช่วยให้เพื่อนหายทุกข์ใจ เขาวาดรูปเล็ก ๆหลายรูป และครั้งหนึ่งเขาวาดภาพของเพื่อนเพื่อเรียกรอยยิ้ม แต่ปรากฏว่ารูปนั้นทำร้ายความรู้สึกของชายอ้วน มันทำให้เขาโกรธมากและไม่ยอมคืนดีด้วยจนกระทั่งซิงเกอร์ต้องวาดให้รูปใหม่ให้แอนโตนาปูลอสเป็นหนุ่มน้อยหล่อเหลา ลงสีผมด้วยสีเหลืองสด และนัยน์ตาด้วยสีฟ้าเข้ม ชายกรีกถึงได้พอใจ แต่ก็เก็บอาการเอาไว้



ซิงเกอร์ดูแลเพื่อนอย่างดี เมื่อครบหนึ่งอาทิตย์แอนโตนาปูลอสสามารถกลับไปทำงานได้ นับแต่นั้นวิถีชีวิตของคนทั้งคู่ก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ความยุ่งยากก็เข้ามาเยี่ยมเยือน


ร่างกายของแอนโตนาปูลอสเป็นปกติแล้ว แต่ใจกลับไม่เหมือนเดิม เขาไม่สามารถจะทนอยู่ในบ้านใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบในยามค่ำคืนได้อีกแล้ว เมื่อเขาออกจากบ้าน ซิงเกอร์ก็จะเดินตามไปข้างหลัง แอนโตนาปูลอสมุ่งหน้าไปยังร้านอาหาร ในขณะที่นั่งที่โต๊ะ เขาก็จะแอบเอาขวดใส่น้ำตาลและพริกไท หรือบางทีก็เป็นช้อนส้อมลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง ซิงเกอร์ต้องคอยจ่ายเงินให้กับทางร้านเพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหา เมื่อกลับถึงบ้านเขาจะถลึงตามองเพื่อน แต่กรีกอ้วนก็แค่มองตอบมาพร้อมกับรอยยิ้มอันว่างเปล่า


หลายเดือนผ่านไปนิสัยใหม่ของแอนโตนาปูลอสก็เลวร้ายมากขึ้น กลางวันของวันหนึ่ง เขาเดินออกมาร้านขายผลไม้ และไปยืนฉี่ใส่กำแพงของธนาคารเฟิร์สท์ เนชั่นแนลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต่อหน้าคนจำนวนมากด้วยท่าทางอันปลอดโปร่ง ขณะที่กำลังฉี่ เมื่อคนเดินผ่านมาเห็น และทำสีหน้าไม่พอใจหรือรังเกียจ เขาก็จะชนคนเหล่านี้ด้วยข้อศอกหรือท้อง อีกวันหนึ่งเขาเดินเข้าไปในร้านแห่งหนึ่งแล้วก็หิ้วโคมไฟวางพื้นออกมาโดยไม่จ่ายเงิน อีกครั้งหนึ่งเขาก็พยายามขึ้นไปนั่งรถไฟไฟฟ้าที่เห็นในตู้โชว์



สำหรับซิงเกอร์ มันเป็นเวลาที่ทุกข์อย่างสาหัส เขาต้องคอยไปจ่ายค่าปรับหรือประกันตัวแอนโตนาปูลอสออกมาจากศาลในช่วงเวลาอาหารกลางวัน นานวันเข้าซิงเกอร์ก็คุ้นเคยกับกระบวนการของศาลแต่นั่นไม่ทำให้เขาเบิกบานขึ้นมาได้เลย เงินที่เขาเก็บไว้ในธนาคารก็นำออกมาใช้ประกันตัวและจ่ายค่าปรับจนหมด เขาทุ่มเททุกอย่างที่มีทั้งความพยายามและเงินทองเพื่อไม่ให้เพื่อนเข้าไปอยู่ในคุกจากข้อหาเช่นขโมย ทำอนาจารในที่ชุมชน ทำร้ายหรือวิวาท


เจ้าของร้านผลไม้ที่เป็นญาติของแอนโตนาปูลอสไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับความยุ่งยากเหล่านี้แม้แต่น้อย ชาร์ลส์ พาร์คเกอร์ (ชื่อที่เขาเปลี่ยนเมื่อมาอยู่ที่นี่) ให้แอนโตนาปูลอสทำงานต่อไป แต่ใบหน้าขาวซีดและเคร่งเครียดก็คอยระแวดระวังญาติของตัวเองอยู่เสมอ นอกจากนี้ก็ไม่เคยพยายามจะเสนอความช่วยเหลือเลยสักครั้ง ซิงเกอร์มีความรู้สึกแปลก ๆกับชายผู้นี้มาเนิ่นนาน และพอมาถึงตอนนี้ก็ความรู้สึกนั้นพัฒนาขึ้นเป็นความชิงชัง



ขณะที่ซิงเกอร์มีชีวิตอยู่ในความยุ่งยากและทุกข์ใจ แอนโตนาปูลอสกลับไม่อนาทรร้อนใจสักนิด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะมีรอยยิ้มน้อย ๆที่ไร้ความหมายประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา


ก่อนหน้าที่สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ ซิงเกอร์เคยคิดว่าในรอยยิ้มนี้มีบางอย่างลี้ลับและฉลาดซ่อนอยู่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าแอนโตนาปูลอสเข้าใจอะไรได้แค่ไหน นอกจากนี้ยังไม่รู้อีกด้วยว่าชายอ้วนคิดอะไรอยู่ มาตอนนี้เขาคิดว่าจับความรู้สึกสนุกสนานแอบซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของกรีกอ้วนได้ ซิงเกอร์จับไหล่ของเพื่อนแล้วก็เขย่าจนกว่าจะเหนื่อยไปเอง แล้วก็พยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยภาษามือ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นสักนิด


เงินของซิงเกอร์ถูกใช้จนหมด เขาต้องขอยืมจากเจ้าของร้านเพชรที่เขาทำงานด้วย คราวหนึ่งเขาไม่มีเงินที่จะประกันตัวเพื่อนออกมา แอนาโตปูลอสจึงต้องนอนในคุกหนึ่งคืน ซิงเกอร์รีบมารับตัวออกไปแต่เช้าตรู่ การณ์กลับเป็นว่าแอนโตนาปูลอสโกรธมาก เพราะไม่อยากออกไปจากคุก กรีกอ้วนชอบอาหารคุกที่มีหมูเค็ม กินกับขนมปังข้าวโพดร้านน้ำเชื่อม นอกจากนี้ที่นอนใหม่กับเพื่อนใหม่ทำให้เขามีความสุขมาก

 

โดย: ดาหาชาดา 25 มกราคม 2549 22:09:40 น.  

 

เนื่องจากทั้งคู่อยู่กันอย่างโดดเดี่ยวมานานเกินไป จนซิงเกอร์ไม่สามารถหันหน้าไปปรับทุกข์กับใครได้ แอนโตนาปูลอสก็ไม่พยายามปรับเปลี่ยนความประพฤติหรือรักษาอาการประหลาดแม้แต่น้อย ที่บ้านบางทีเขาก็ปรุงอาหารที่ได้ลิ้มรสมาในคุก และขณะเดินอยู่บนท้องถนนก็ไม่สามารถคาดได้ว่าเขาจะทำอะไรบ้าง


และแล้วความยุ่งยากครั้งสุดท้ายก็มาเยือนซิงเกอร์
บ่ายวันหนึ่ง ซิงเกอร์มารอแอนโตนาปูลอสที่ร้านผลไม้ ชาร์ลส์ พาร์คเกอร์ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา ในจดหมายอธิบายว่าชาร์ลส์ พาร์คเกอร์ได้จัดให้ญาติของเขาถูกพาตัวไปยังโรงพยาบาลบ้าของรัฐที่อยู่ห่างไปถึง 200 ไมล์ เจ้าของร้านผลไม้ได้ใช้อิทธิพลที่เขามีอยู่ในเมืองเพื่อให้ญาติของตัวเองเข้าไปโดยเร็วที่สุด กำหนดก็คืออาทิตย์หน้า แอนโตนาปูลอสจะต้องถูกส่งไปอยู่ที่โรงพยาบาล


ซิงเกอร์อ่านข้อความซ้ำสามสี่หน และก็คิดอะไรไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ ชาร์ลส์ พาร์คเกอร์พูดอะไรบางอย่างกับเขา แต่ซิงเกอร์ไม่พยายามอ่านริมฝีปากหรือทำความเข้าใจแม้แต่น้อย ท้ายที่สุดซิงเกอรวบรวมสติได้ เขาเขียนตัวหนังสือลงบนสมุดเล่มเล็กที่เขาพกไปไหนมาไหนเสมอ:
คุณทำอย่างนี้ไม่ได้ แอนโตนาปูลอสจะต้องอยู่กับผม
ชาร์ลส์ พาร์คเกอร์ส่ายหัวอย่างวุ่นวายใจ เขาพูดภาษาอเมริกันได้ไม่มากนัก “มันไม่ใช่กงการของคุณ” เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก


ซิงเกอร์รู้ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจบลงแล้ว ชายกรีกกลัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องมารับผิดชอบการกระทำของญาติตัวเอง แม้ชาร์ลส พาร์คเกอร์จะไม่รู้ภาษาอเมริกันมากนัก แต่เขาเข้าใจในอำนาจของดอลลาร์อเมริกันดี เขาใช้เงินและอิทธิพลเร่งรัดให้ญาติร่างอ้วนเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้าอย่างรีบด่วน


ซิงเกอร์รู้ว่าเขาสิ้นหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้น

อาทิตย์ต่อมาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ซิงเกอร์พูด พูดและพูดไม่หยุดหย่อน แม้ว่ามือจะเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว แต่เขาก็รู้สึกว่ายังไม่สามารถเล่าความทั้งหมดได้ เขาต้องการพูดให้แอนนาโตปูลอสเข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ในใจ ความนึกคิดและจิตวิญญาณของเขาทั้งหมด แต่เวลาช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน นัยน์ตาสีเทาของซิงเกอร์ลุกโชน ใบหน้าที่เคยเปล่งประกาย เต็มไปด้วยความรู้สึกและมีแววชาญฉลาดบัดนี้เต็มไปด้วยความกังวล แต่ท่าทางที่แอนโตนาปูลอสมองเพื่อนนั้นช่างเลื่อนลอยว่างเปล่า ซิงเกอร์ก็ไม่เคยรู้สักนิดว่าเขาเข้าใจสิ่งที่สื่อสารออกไปแค่ไหน


และแล้ววันที่แอนโตนาปูลอสจะต้องจากไปก็มาถึง ซิงเกอร์เอากระเป๋าของตัวเองออกมาแล้วก็เอาเครื่องใช้ไม้สอยที่ทั้งคู่เป็นเจ้าของร่วมกันใส่ลงไป แอนโตนาปูลอสทำอาหารกลางวันเพื่อนำไปกินระหว่างเดินทาง บ่ายแก่ ๆพวกเขาเดินคล้องแขนออกมายังถนนสายหลักเป็นครั้งสุดท้าย อากาศเย็นยะเยือกของปลายเดือนพฤศจิกายนทำให้ลมหายใจที่พ่นออกมาเป็นควันขาวเห็นได้ถนัด


ชาร์ลส พาร์คเกอร์เดินทางไปกับแอนโตนาปูลอสด้วย แต่ที่สถานีรถ เขายืนอยู่ห่างจากทั้งสองคนมาก แอนโตนาปูลอสขึ้นไปในรถบัส แล้วก็นั่งลงที่เบาะแถวหน้าของรถ ซิงเกอร์เฝ้ามองเพื่อนผ่านทางหน้าต่าง มือก็เคลื่อนไหว เขาอยากจะพูดกับเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย แต่แอนโตนาปูลอสมัววุ่นวายอยู่กับกล่องอาหารกลางวันจนไม่ได้ใส่ใจกับซิงเกอร์ ก่อนที่รถจะวิ่งไปลับทางโค้ง เขาหันมาหาซิงเกอร์แล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มอันว่างเปล่าและห่างไกล ราวกับว่าทั้งคู่ได้จากกันไปไกลหลายไมล์แล้ว


อาทิตย์ต่อจากนั้น เหตุการณ์ทุกอย่างดูเหมือนไม่ใช่ความจริง ทั้งวันซิงเกอร์นั่งบนม้าทำงานด้านหลังของร้านเพชร และตกเย็นก็เดินกลับบ้านคนเดียว เขาต้องการนอนหลับยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก แต่เมื่อเขากลับมาจากที่ทำงาน เอนหลังลงบนเตียงและพยายามที่จะหลับสักงีบ ความฝันนานาก็เข้ามาในยามที่เขาครึ่งหลับครึ่งตื่น แอนโตปูลอสอยู่ในทุกความฝัน มือของเขากระตุกตลอดเวลา เพราะว่าเขาฝันว่าคุยกับแอนโตนาปูลอส ที่นอนมองดูเขาอย่างเซื่องซึม


ซิงเกอร์พยายามคิดถึงวันเวลาก่อนที่เขาจะรู้จักชายกรีกร่างอ้วน เขาพยายามนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขาเมื่อยามที่ยังเยาว์วัย แต่ทุกสิ่งก็ดูราวกับไม่ใช่ความจริงสำหรับเขา


สิ่งเดียวที่ติดในความทรงจำฝังแน่น แต่เขาไม่เคยให้ความสำคัญเลยก็คือ ความจริงที่ว่าแม้เขาหูหนวกมาตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ไม่ได้ไร้ความสามารถในการพูด เขาถูกทิ้งให้เป็นกำพร้าแต่ยังเล็กและเรียนหนังสือที่สถาบันสำหรับคนหูหนวก เขาเรียนวิธีการพูดด้วยมือและอ่านหนังสือ ก่อนที่จะอายุเก้าขวบเขาสามารถพูดภาษามือแบบอเมริกันได้โดยมือข้างหนึ่ง และยังสามารถพูดภาษาแบบยุโรปได้ด้วยมือทั้งสองข้าง เขาฝึกการอ่านริมฝีปากของคนอื่น และในที่สุดเขาก็ถูกสอนให้พูด


ในโรงเรียน เขาได้รับการยกย่องว่าชาญฉลาด เขาจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆได้ก่อนนักเรียนคนอื่น แต่เขาไม่เคยสามารถที่จะพูดด้วยปากได้เลย เพราะมันฝืนธรรมชาติของเขา ลิ้นของเขาราวกับจะขยายขนาดไปเป็นปลาวาฬคับอยู่ในปาก ผู้คนที่เขาพูดด้วยมักทำสีหน้างุนงง ทำให้รู้สึกว่าเสียงของเขาคงจะเหมือนเสียงของสัตว์หรือมีสิ่งน่ารังเกียจในคำพูด สำหรับซิงเกอร์การหัดพูดด้วยปากเป็นความเจ็บปวดสาหัส แต่ด้วยมือเขาสามารถสื่อสารทุกสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้ เมื่ออายุ 22 เขาก็จากชิคาโกมาที่เมืองนี้ ทันทีที่ได้พบกับแอนโตนาปูลอส เขาก็ไม่เคยพูดด้วยปากอีกเลย เพราะมันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว


ในชีวิตของซิงเกอร์ไม่มีอะไรดูจริงจังเท่ากับ 10 ปีที่มีแอนโตนาปูลอสเป็นเพื่อน ทุกคืนในฝันอันเหมือนจริง เขาเห็นแอนโตนาปูลอสอย่างชัดเจน แต่เมื่อตื่นขึ้นความเหงาอันรวดร้าวเข้าจู่โจม บางครั้งเขาก็ส่งของไปให้แอนโตนาปูลอสแต่ก็ไม่เคยได้รับอะไรตอบกลับมาเลย คืนวันก็ผ่านในลักษณาการอันว่างเปล่า กึ่งฝันกึ่งจริงเช่นนี้ไปหลายเดือน


ฤดูใบไม้ผลิผ่านเข้ามาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในตัวของซิงเกอร์ เขาไม่สามารถนอนหลับ ร่างกายของเขาไม่ยอมพักผ่อน ยามค่ำคืนเขาจะเดินไปรอบห้องอย่างเงียบงันเพราะไม่สามารถจะขับไล่พลังงานลึกลับในตัวให้ออกไปได้ ร่างกายของเขาจะพักผ่อนไม่กี่ชั่วโมงก่อนฟ้าสางเท่านั้น โดยการที่จู่ๆเขาก็ดิ่งวูบส่งไปสู่ความหลับ ซึ่งภาวะนี้จะสูญสลายไปเมื่อแสงแรกของยามเช้าเข้าแทงวาบเข้าสู่นัยน์ตาของเขาที่เปิดค้างอยู่


เขาเริ่มใช้เวลายามกลางคืนเดินไปทั่วเมือง เพราะเขาไม่สามารถทนอยู่ในห้องที่เคยอยู่กับแอนโตนาปูลอสได้อีกแล้ว เขาย้ายไปเช่าห้องใหม่ในบ้านเก่าๆ ไม่ไกลจากศูนย์กลางของเมือง


ซิงเกอร์ฝากท้องไว้กับร้านอาหารห่างไปสองช่วงตึก ร้านนี้อยู่เกือบปลายสุดของถนนสายหลักของเมือง ชื่อของมันก็คือ นิวยอร์ค คาเฟ่ วันแรกที่ไป เขามองดูรายการอาหารอย่างรวดเร็ว แล้วก็เขียนรายการอาหารที่เขาต้องการให้กับเจ้าของร้าน
ทุกเช้า ผมต้องการอาหารเช้าคือ ไข่, ขนมปังปิ้ง และกาแฟ $0.15
กลางวัน ผมต้องการ ซุป (แบบไหนก็ได้), แซนด์วิชเนื้อสัตว์ และนม $0.25
ส่วนอาหารเย็น ช่วยทำอาหารที่ประกอบจากผักสามชนิด (ชนิดไหนก็ได้ ยกเว้นกะหล่ำปลี), เนื้อหรือปลา, และก็เบียร์หนึ่งแก้ว $0.35
ขอบคุณครับ


เจ้าของร้านอ่านรายการอาหารแล้วก็มองหน้าเขาอย่างเอื้ออาทรแว่บหนึ่ง เขาเป็นคนร่างหนา สูงปานกลาง มีเคราดกสีดำเป็นมันปกคลุมคางจนดูคล้ายกับว่าใบหน้าส่วนล่างของเขาขึ้นรูปด้วยเหล็กกล้า ส่วนใหญ่เขามักจะยืนอยู่ที่มุมหนึ่งหลังเครื่องเก็บเงิน แขนทั้งสองข้างกอดกับอก ตาก็มองสิ่งที่เกิดขึ้นไปรอบร้าน ซิงเกอร์คุ้นเคยกับหน้าตาของเจ้าของเป็นอยางดีเพราะว่าเขากินอาหารที่นี่สามมื้อต่อวัน


ทุกคืน ชายใบ้จะออกเดินไปรอบเมืองหลายชั่วโมง แม้แต่ในคืนที่อากาศหนาวจัดด้วยกระแสลมยะเยือกของเดือนมีนาคม ผสมด้วยฝนตกหนัก ซิงเกอร์ปวดร้าวเกินกว่าที่จะสนใจลมฟ้าอากาศ เขาเดินไปรอบเมืองโดยมีสองมือล้วงลึกอยู่ในกระเป๋ากางเกง หลายสัปดาห์ผ่านไป กลางวันเริ่มอุ่นขึ้นและโหดร้ายน้อยลง ความทุกข์ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความเหนื่อยล้า ท่าทีของเขาทุรนทุรายน้อยลง บนใบหน้าก็มีแววแห่งความสงบที่มักจะพบเห็นกันเสมอบนใบหน้าของคนที่อยู่ในความเศร้าโศกถึงที่สุดแล้วหรือในแบบของคนที่รู้จักชีวิตอย่างถ่องแท้ แต่เขาก็ยังเตร่ไปตามท้องถนนของเมืองอย่างเงียบงันและโดดเดี่ยว

 

โดย: ดาหาชาดา 25 มกราคม 2549 22:12:24 น.  

 

The Truth is unspoken, a promise is broken
I’m under surveillance, they know what my name is
I need some protection, some love and affection
There’s 1000 reasons, but one is the number

Welcome to my spaceship
It’s beautiful forever
She’s right here where you left her
And the heart’s lonely hunter

Save bottles of water and flour and sugar
Turn off the AC and hang up the bed sheets
Cover up windows, careful where the light goes
Yank out the cable and blow out the candle

Welcome to my spaceship
You’re beautiful forever
She’s right here where you left her
And the heart’s lonely hunter

Perfectly molded almost unfolded
Under the counter well, that is your nature
Drip grind or roasted, buttered or toasted
The greater the db’s the higher the AC

Psycho acoustics
Down in the black seats
Stereo nation
Amplification
The brave and the righteous
They’re safe in their houses
Now one is just a number
The heart’s a lonely hunter
One is the number
Heart is a hunter
One is a number
Heart is a hunter

Welcome to my spaceship
You’re beautiful forever
She’s right here where you left her
And the heart’s lonely hunter

Welcome to my spaceship
You’re beautiful forever
She’s right here where you left her
And the heart’s lonely hunter

 

โดย: Tanberry IP: 58.10.155.146 15 พฤษภาคม 2551 11:54:26 น.  

 

น่าจะเตือนหน่อยว่ามีสปอล์ยเนื้อหาของเรื่องนะครับ

 

โดย: AA IP: 192.99.14.36 12 มกราคม 2559 1:21:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ดาหาชาดา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ดาหาชาดา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.