ชีวิตที่เดินบนความเชื่อ
1 DEC 11 [14:13]

Honolulu,Hawaii


ก่อนอื่นขอกรี๊ดก่อน....อร๊ายยยยยย ชั้นนั่งพิมพ์ไปตั้งครึ่งหน้าแล้ว อยู่ดีๆคอมพ์ก็ดับ มันต้องเป็นซาตานมาขัดขวางแน่ๆ กรีีดๆๆๆๆ

อ่ะ....พอใจละค่ะ...


แหะๆ สวัสดีค่ะ ไม่ได้อัพบล็อกนี้ซะนานเลย มัวแต่ไปวุ่นวายกับบล็อกคุณแม่แล้วก็บล็อกทำงาน ทั้งๆที่ตอนนี้ก็ไมได้มีงานมีการทำกับเค้าซักหน่อย เง้อ

ตอนนี้อยู่ ฮาวายค่ะ ตามสามีมาทำงานที่นี่ แหม ตอนแรก ก็ตื่นเต้นอยู่หรอก กรี๊ดๆ ชั้นจะได้มาเที่ยวฮาวายแล้ว ได้ยินแต่คนเค้าพูดถึงกัน วันนี้ได้มาเที่ยวเอง กรี๊ดๆ....เอาเข้าจริงมันชักจะไม่เวิร์คเท่าไหร่แล้วอ่ะ หาดมันก็สวยดี อากาศมันก็ดี น้ำทะเลก็ใส บ้านเมืองก็สวย มีตึก มีห้างให้เดินเที่ยว ไม่เหมือน Tracy เมืองบ้านนอกที่อยู่ ไปไหนก็ไม่ได้ แต่ แต่ แต่..ของทุกอย่างที่นี่มันแพงเว่อร์อ่ะค่ะ แพง แพง แพง จริงๆ นะ จะกินอะไรแต่ละทีนี่ต้องคิดแล้วคิดอีก เงินก็ไม่ได้มีเยอะ สามีเอาเงินค่าเบี้ยเลี้ยงอาหารที่ได้จากบริษัทมีจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินให้เราแล้ว จะไปเที่ยวแต่ละทีนี่หน้ามืดมาก อย่างไปเพิร์ลฮาร์เบอร์เนี่ย มันมีเรือ 3 ลำ กับ 1 พิพิธภัณฑ์ให้เข้าชม แต่ว่าเค้าเก็บค่าเข้าแยกกันหมด (ทั้งๆที่มันก็อยู่ด้วยกันอ่ะแหละ) แล้วที่ถูกที่สุดมันก็ $28 แม่เจ้า...เกือบเก้าร้อยบาท เข้าไม่ลงอ่ะ ได้แต่เดินถ่ายรูปข้างนอก ขนาดงานแฟร์ที่หน้าตาเหมือนงานกาชาด หรืองานแฟร์ที่เค้าจัดที่ศูนย์สิริกิตติ์บ้านเรายังไง ยังงั้น ยังเก็บตังค์ค่าเข้าตั้งคนละ $4 แน่ะ เอิ้ก...ก็เข้าใจนะว่าเมืองท่องเที่ยว

เกาะสวาทหาดสวรรค์ของอิฮั้น เลยดูเหี่ยวแห้งขึ้นมาทันที เนื่องจากสถานะการเงินในกระเป๋าตังค์ ว่าแล้วก็นั่งอ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เนตอยู่ในโรงแรมดีกว่า ว่างๆ ก็เดิน window shopping เอามัน แต่ยังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกเกือบสามอาทิตย์ เง้อ...ชักอยากกลับ Mainland แล้วอ่ะ ฮือๆ แต่ยังไงก็ขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสเราได้มาเปิดหุเปิดตา พักยกจากอากาศหนาวที่แคลิฟอเนียร์บ้าง


เวิ่นเว้อมาซะไกล แหม ทำไปได้ทุกบล็อกเลยนะไอ่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อบล็อกเนี่ย ก็อย่างที่บอกว่ามีเวลาว่างในโรงแรม ตอนนี้ก็เลยได้โอกาสกลับมาสำรวจตัวเองอีกรอบ รู้สึกมานานพอสมควรแล้วค่ะ ว่าความสงบสุขในจิตใจมันหายไป ถ้าพูดแบบคริสเตียนก็ต้องบอกว่า จิตวิญญาณมันไม่ได้รับการเติมเต็มเท่าที่ควร เมื่อก่อนตอนเป็นคริสเตียนใหม่ๆ เรากระตือรือร้น แสวงหาพระเจ้ามากมาย ตอนนั้นมีความสุขมากก แต่พอมีเรื่องเกิดขึ้น (เรื่องที่จะเล่าต่อจากนี้) มีปัญหาเข้ามาในชีวิต เราก็แบ่งเวลาให้พระเจ้าน้อยลง สนใจแต่ตัวเองมากขึ้น อธิษฐานน้อยลง ส่วนใหญ่จะทำก็ต่อเมื่อมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ และไม่เฉพาะเราเท่านั้น สามีเราก็ด้วย เพราะเค้าก็เครียดพอกัน สิ่งที่ต้องรับผิดชอบก็มีเยอะ ทั้งเรา ทั้งลูก ทั้งเรียน ทั้งงาน...

อ๊ะ คุณสามีกลับมาแล้วค่ะ เดี๋ยวขอตัวก่อน เพราะว่าเราจะนั่ง Trolley ออกไปหาเพื่อนที่ทำงานที่นี่กัน เดี๋ยวกลับมาแล้วจะมาเล่าต่อให้นะคะ พระเจ้าอวยพรค่ะ



2 DEC 11 [8:11]

ตื่นมาตั้งแต่ตี 5 นั่งอ่านพระคัมภีร์ เสร็จแล้วก็มาเล่นเนตต่อ อ่านกระทู้เรื่องชาวบ้าน มันหยด จนจบ ถึงได้ค่อยไปอาบน้ำ แล้วมาอัพบล็อกตัวเองต่อ อิอิ เจ้าตัวดียังหลับอุตุ อยู่เลย ดีแล้ว คุณแม่จะได้มีเวลาอัพบล็อกให้เสร็จๆ เรื่องราวอาจไม่ถึงขั้นมันส์หยดติ๋งๆ เหมือนกระทู้ใน pantip หรอกนะคะ แต่ก็คิดว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตให้ใครหลายๆคนได้บ้าง คิดอยู่นานว่าจะเอามาลงดีมั้ย เพราะบล็อกเราก็มีทั้งรูป ทั้งชื่อ โหะๆ แต่ก็นะ เราเคยคิดว่ามันน่าอาย แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าจะอายทำไม? ไม่ได้ไปฆ่าใคร ทำผิดก็ยอมรับ แล้วเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาเป็นเรื่องเตือนสติน้องๆ หรือคนอื่นดีกว่ามั้ย เอาเรื่องเหล่านี้มาบอกกล่าว เพื่อเป็นพยานชีวิตแก่คนอื่นจะดีกว่ามั้ย

-------------------------------------------------------

ขอโทษอีกแล้วค่ะ พอพิมพ์ๆอยู่ แล้วรู้สึกว่าไอ่ที่พิมพ์มันออกทะเล เลยย้ายเอาไว้ไปอีกบล็อกนึง ดันต่อซะยาวเลย เพิ่งมาเสร็จเอาตอนเนี้ย [10:41]

ต่อนะ

หลังจากคบหาดูใจกันมาได้เกือบปี กับสามี ก็มีเรื่องให้พลาด เดาไม่ผิดหรอกค่ะ พลาดนั่นแหละ คือเราไม่ได้กินยาคุม ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกินเลย จนวันนั้น เค้ามาเที่ยวหาที่คอนโดก็คุยกันไปเรื่อย ค่ำหน่อยๆ นะ..บรรยากาศก็พาไปจนทำให้เกิดเรื่องขึ้น ครั้งแรก เช้ามาเราก็รีบไปซื้อยาคุมฉุกเฉินมาแก้เหตุ พอคืนต่อมา ติดใจ เย้ย.. เอาเป็นว่าก็ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง ตอนเช้าก็เลยไปซื้อมากินอีกรอบนึง หลังจากนั้นก็ ไม่กล้าทำอะไรกันอีก เริ่มสำนึกได้แล้วว่าเอาตัวเองเข้าไปสู่การทดลองมากเกินไปแล้ว เรากำลังเริ่มหลงกันอยู่ในความบาปแล้วนะ เลยหยุดกันอยู่แค่นั้น ทำผิดไปสองครั้ง ใช้ยาคุมฉุกเฉินทั้งสองครั้ง

แต่แล้วก็เหมือนว่าความบาปมันฟ้องผิดอยู่ จนได้ แต่เราคิดว่าพระเจ้าต้องการสอนเรามากกว่า ไม่ใช่แค่สอนเราในเรื่องการทำความผิดนี้อย่างเดียวเท่านั้น แต่พระเจ้ายังต้องการให้เราได้เห็นถึง การช่วยเหลือจากพระองค์ที่เราเองต้องใช้ความเชื่ออย่างมากๆๆๆๆๆ เข้ามาด้วย

ตอนที่เรื่องเกิด มันเกิดกลางเดือน เรากำลังจะเริ่มงานใหม่ ในต้นเดือนถัดไป พอเริ่มงานไปได้ซักพัก เราก็เริ่มจิตตกแล้วว่า ปกติประจำเดือนเราจะมาตรงเวลาตลอดนะ แต่มันก็ไม่ได้มีอาการแพ้อะไรเลย แค่เราดูโทรมๆ สุดท้าย พอลองตรวจดูก็..นะ สองขีดจริงๆ ปัญหาตามมาอีกเพียบเลยทีนี้ เราเพิ่งเริ่มงานใหม่ สามีก็มาในฐานะ missionary มหาลัยก็เรียนปีสุดท้าย บ้านเค้าเองถึงเป็นฝรั่งก็จริง แต่เป็นฝรั่งจนๆ แบบว่าบ้านเพิ่งโดนยึด แม่เค้าต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อนชั่วคราว (ปัญหามาพร้อมกันในคราวเดียวจริงๆ เป็นบททดสอบที่หนักหนาพอสมควรเลยล่ะ) ครอบครัวเราก็เป็นครอบครัวข้าราชการ พ่อแม่ทำตำแหน่งหัวหน้าเค้า จริงๆแม่เราก็ไม่ค่อยชอบเค้าเท่าไหร่ เนื่องจากเป็น "ฝรั่ง"

แม่โทรมาบอกเราให้คิดใหม่ ที่จะคบกันคนนี้ "รู้มัยว่าคนเค้าจะคิดยังไง ถ้าเห็นแกเดินกับฝรั่ง??" อะโห...เจ็บไปเลยแบบนี้

สามีเป็นคนกระตือรือร้นอยากเจอพ่อแม่เรามาก ให้เราโทรไปบอกก่อนเลยว่าตอนนี้คบกัน คือเค้าอยากแสดงออกว่าเค้าจริงใจ ไม่ได้มาหลอกลูกสาวเค้านะ ประมาณนี้

แต่ทีนี้พอมาเกิดเรื่องนี้ ไอ่ที่ยากอยู่แล้วก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เราร้องไห้ทุกวัน ช่วงนั้นแย่มาก ท้องด้วย แล้วยังต้องทำงานถึงเที่ยงคืน จะบอกที่ทำงานก็ไม่กล้า กลัวเค้าให้ออก เพราะเพิ่งเข้าทำงานเอง แล้วเป็นบริษัทที่เราเองใฝ่ฝันอยากทำงานด้วยมานานแล้วอีกต่างหาก เราเลยตัดสินใจที่จะไม่บอก กะว่า ทำงานได้เต็มที่จนถึงผ่านโปร 4 เดือนแหละน่า

พอรู้ว่าท้องแน่แล้วก็บอกสามี เราก็เลยมานั่งร้องไห้ที่คอนโดด้วยกัน คิดหนักมากว่าจะทำแท้งดีมั้ย งานก็เพิ่งเริ่มทำ ถ้าเอาไว้ ไอ่ที่เคยคิดอยากเป็นแอร์ก็คงหมดหวัง ไหนจะทำให้พ่อแม่ต้องอับอาย ไหนจะทำให้เค้าหมดอนาคตอีก เพราะมหาลัยที่เค้าเรียนก็เป็นมหาลัยคริสเตียน ต้องโดนทำอะไรซักอย่างแน่ๆ ตอนนั้นเราเป็นคนที่ค่อนข้างเอนเอียงไปทางทำแท้ง เพราะสมัยเรียนมีเพื่อนเราเคยไปทำ แล้วมันก็กลับมาใช้ชีวิตปกติได้ สามีเป็นคนบอกว่าให้เอาไว้ ชีวิตใหม่ที่จะเกิดมาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ถ้าทำก็คือฆ่าคนนะ ผิดมากนะ เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครควรจะมีชีวิตอยู่หรือตาย สุดท้ายก็นั่งร้องไห้อย่างนั้น จนเราตัดสินใจแล้วว่า ยังไงเราก็จะทำ ปัญหาจะได้ยุติ เค้าก็เลยจนปัญญา ว่าแล้วแต่เรา ก็นั่งร้องไห้ จับมือกันบนโซฟาจนหลับไป ตื่นเช้ามา...ก็ทำใจไม่ได้จริงๆ ทำไม่ลง เราก็บอกว่า ไม่ทำแล้ว ไปคุยกับหัวหน้า missionary กันเถอะ

(จริงๆก่อนหน้าที่เราจะคุยตัดสินกันเรื่องเอาไว้หรือเอาออกนั่น เราเข้าอินเตอร์เนต หาเรื่องคริสเตียนกับการทำแท้ง บางคนก็บอกว่าทำได้ บางคนก็บอกว่าไม่ดี เราอ่านแล้วอ่านอีก ร้องไห้ คุกเข่าอธิษฐาน ขอพระเจ้าบอกทางทีเถอะ หนูยอมแล้ว หนูขอโทษ หนูบาป ขอพระเจ้าอภัยให้หนู ขอพระเจ้าช่วยหนู คุกเข่าร้องไห้แบบนั้นเป็นชั่วโมง....)


เราเลยได้ไปคุยกับหัวหน้า missionary บอกเค้าทุกอย่าง สารภาพทุกอย่าง เราจะจัดงานแต่งงานกัน เราก็บอกแม่ก่อน เพราะพ่ออยู่ต่างจังหวัด แม่เราบอกว่ากะไว้แล้วว่าเราต้องท้องก่อนแต่ง เพราะมันเป็นกรรมของแม่เอง (แม่เราเคยทำแท้ง น้องคนที่สี่ เพราะตอนนั้นพ่อเราไปมีบ้านเล็ก แม่เราเลยปล่อยท้อง เพื่อให้พ่อหยุด แต่อีท่าไหนไม่รู้ก็กินยาขับออก เรารู้เพราะเห็นแม่เดินใส่ผ้าถุงอยู่เกือบสองอาทิตย์) มันไม่ใช่กรรมจากแม่หรอก มันเป็นเพราะเราเอง เราเอาตัวเองไปสุ่การทดลอง และนี่คือบทเรียนที่เราได้รับ แม่เราไม่ให้บอกพ่อว่าเราท้อง แม่จะบอกว่าแม่บังคับให้แต่งกันเอง เพราะเห็นควงกันไปควงกันมามันจะดูไม่ดี

พร้อมกับเรียกสินสอดแสนนึง....เราก็ต้องหามาให้ได้ แต่บ้านสามีก็กำลังมีปัญหา งานแต่ง แม่ก็จะให้จัดที่บ้านที่ต่างจังหวัดด้วย เพราะต้องบอกให้คนแถวบ้านรู้ ไม่ใช่อยู่ๆ จะมามีลูกเลย แต่งที่ กรุงเทพอย่างเดียวไม่ได้ แต่เราเป็นคริสเตียนก็อยากแต่งในโบสถ์ด้วย สรุปว่า เราต้องหาเงินมาจัดงานแต่งงาน 2 ครั้ง พร้อมทั้ง เงินสินสอดอีกแสนนึง โอ้โห จะไปหามาจากไหน แล้วยังมีค่าตั่วเครื่องบินให้แม่กับน้องสาวเค้าบินมาร่วมงานอีกล่ะ


ปัญหาทุกอย่างมันดูไม่มีทางออกเลย ตอนนั้นเงินก้อนเดียวที่มีคือเงินเก็บสามหมื่นของสามี แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง? ค่าเช่าชุด ค่าตกแต่งสถานที่ ค่าสินสอด มืดแปดด้าน มืด มืด มืดไปหมด ทางบ้านเราจะช่วยอย่างเดียวคือค่าอาหารงานที่แต่งที่ ตจว นาทีนั้น อธิษฐานทุกวัน ร้องไห้ทุกวัน แต่ก็ยังไปทำงาน ต้องเลิกเที่ยงคืน ทุกเย็นจะมึนหัวต้องนั่งพัก เพราะท้องอ่อนๆ กินอะไรก็ไม่ลง น้ำหนักก็ลด ฝากท้องก็ไม่ได้ไปเพราะไม่มีเงิน

จะกู้เงินมาเป็นสินสอดก็ไม่ได้เพราะเพิ่งเปลี่ยนงาน ความหวังอย่างเดียวเรื่องค่าสินสอดในตอนนั้น คือให้แม่สามีพยายามขายรถ คันเก่าที่เค้ามีเพื่อเอามาเป็นสินสอด (เพิ่งมารู้ตอนหลังว่ามันเป็นที่แม่เค้ารักมาก เพราะมันเป็นรถคันแรกที่แม่เค้าเก็บตังค์ซื้อเองสมัยเรียน) ระหว่างนั้นเงินสามีหมื่นที่มีก็เอาไปเช่าชุด ถ่ายรูป pre-wedding ซื้อของชำร่วย ทำการ์ด เราเองมีเงินเก็บอยู่หมื่นนึงก็เอาไปเป็นค่าใช้จ่ายให้ผู้ใหญ่ที่โบสถ์ ยกขบวนไปสู่ขอเราที่บ้าน อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เรื่องราวพิสูจน์ความเชื่อเรื่องแรกที่เห็นชัดๆ มากับเรื่องตั๋วเครื่องบินของแม่และน้องสาวสามีค่ะ

บล็อกนี้ยาวแล้ว ขอแบ่งเป็นภาค 2 นะคะ ตามไปอ่านกันนะ




Create Date : 02 ธันวาคม 2554
Last Update : 5 ธันวาคม 2554 15:42:42 น.
Counter : 725 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

I'm in awe
Location :
Castro Valley,CA  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]



บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็นคนไกลบ้านแล้ว ก็ยังแต่งบล็อกไม่เป็นเหมือนเดิม อิอิ แวะมาแลกเปลี่ยนเรื่องราวด้วยกันบ่อยๆนะคะ ยินดีอย่างยิ่งหากเรื่องราวในบล็อกนี้เป็นประโยชน์ต่อคุณค่ะ :)
New Comments
ธันวาคม 2554

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31