|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ฉันชอบตอบข้อสอบอัตนัย
เผลอแป๊บเดียว เดือนสุดท้ายของปีก็ผ่านไปกว่าครึ่งแล้ว
อากาศตอนเช้าๆ ช่างนอนสบาย แม้ตอนบ่ายๆ แดดจะค่อนข้างแรง
แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เราหมกตัวอยู่ในห้องเรียนกัยสตูดิโอพอดี
ช่วงนี้ตามห้างร้าน ถนนหนทางก็ประดับไฟกันสวยๆ ทั้งนั้น
เดินในสยามตอนเย็นๆ คนออกมา่ถ่ายรูปกับต้นคริสต์มาสกัน
มีเสียงเพลงคริสต์มาส เปิดคลอๆ สร้างบรรยากาศ
ช่วงนี้บรรดาลานเบียร์ ก็ดูจะกิจการดีกันเป็นพิเศษ
จิบเบียร์ มองไฟ ชมฟุตบอลจอยักษ์ ใครอยู่บ้านเหงาๆ
ออกมานั่งสังสรรค์กับเพื่อนฝูงก็คงเข้าท่าดี
เห็นผู้คนหน้าตาเบิกบาน กันตอนใกล้ๆ สิ้นปี
เราก็พลอยอารมณ์ดีไปด้วย ถึงแม้ในมือตัวเองจะยังมีงานอีกเพียบก็เถอะ
ใกล้เทศกาลคริสต์มาส ยันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
เด็กมัธยม เด็กมหา'ลัย ก็ต้องทำใจไว้เลยว่าเป็นช่วงเหนื่อย
ก็นี่มันคือฤดูกาลสอบนี่นา อาจารย์ทุกวิชาก็ระดมสั่งงาน
ราวกับต้องการส่งท้าย (ทั้งที่จริงๆ แล้วเปิดปีใหม่มาก็สั่งงานอีก)
ตามปกติตอนอยู่ปีหนึ่ง เด็กคณะสถาปัตย์อย่างเรา
จะชอบช่วงสอบเป็นพิเศษ เพราะอ่านหนังสือสอบ
ต่อให้หนักแค่ไหน เท่าที่เคยพบก็ยังไม่เคยหนักจนไม่ได้นอนเสียที
ผิดกับช่วงสัปดาห์ก่อนจะสอบที่เป็นช่วงส่งงาน
ที่เหนื่อยสาหัส จนพวกเราพากันเรียกว่า 'สัปดาห์นรก'
ช่วงสอบตอนปีหนึ่งนั้น นับเป็นช่วงชิลล์
เพราะงานการทุกวิชาจะส่งหมดแล้ว ปิดโปรเจกท์กันเรียบร้อย
รอมารับโปรเจกท์ใหม่ในปีหน้า(ให้ความรู้สึกเหมือนจะอีกนาน)
สัปดาห์สอบจึงเป็นสัปดาห์ที่ได้นอนเต็มอิ่มติดต่อกันหลายวันในรอบปี
ข้อสอบของคณะเรามีไม่กี่วิชา ที่เน้นท่องจำ
ส่วนมากจะเป็นการวิเคราะห์ คำนวณ และเขียนแบบมากกว่า
ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยเครียดกับการอ่านหนังสือสอบเท่าไหร่
อ่านจบก็ได้นอน อ่านไม่จยอยากนอนก็นอนได้(อ่าว...)
ถ้าอ่านไม่ทันกันจริงๆ ฟังเพื่อนติวหน้าห้องสอบยังพอช่วยได้
ขอให้พอมีหลักในการตอบ ที่เหลือก็บรรยายแสดงความคิดเห็นกันไป
ดึงหลักการที่เคยเรียนมาทั้งหมดมาสังเคราะห์เป็นคำตอบ
หรือเรียกกันว่า อ่านพอมีหลักให้ 'แถ' ได้นั่นเอง
ข้อสอบส่วนใหญ่ มักจะเป็นคำถามเปิดกว้าง
เปิดให้ใช้ฝีมือด้านบรรยายโวหาร พรรณนาโวหารกันเต็มที่
แต่ก็มีบางวิชาเหมือนกัน ที่ต้องการความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำ
อย่างวิชา Materials&Construction(วิชาวัสดุและการก่อสร้าง)
จะไม่ให้ตอบแบบบรรยาย แต่เน้นให้เขียนเป็นภาษาภาพเลยมากกว่า
(ใครที่เรียนไม่เข้าใจ แถมอ่านไม่จบ ก็ม่องเท่งกันไป)
อีกวิชาหนึ่งเป็นวิชาที่เน้นความจำพอสมควรคือวิชา
History of Arts (ประวัติศาสตร์ศิลปะ) ที่ถึงแม้จะออกเชิงวิเคราะห์
หรือเปรียบเทียบ (ดูเหมือนจะ'แถ' ได้) แต่ก็ต้องมีข้อมูลในสมอง
บ้างเหมือนกัน ข้อสอบวิชาHistory นี้ เป็นวิชาที่ก่อนสอบ
เด็กจะจิตตก เพราะเนื้อหาเยอะเหลือเกิน ไม่รู้จะออกตรงไหนบ้าง
พอเข้าห้องสอบก็จะเริ่มเครียด เพราะที่อ่านไม่ออก ที่ออกไม่ได้อ่านมา
ท้ายๆ คาบจะเริ่มปลง และเข้าสู่ภาวะที่เรียกกันว่าการ'แถ'
ข้อสอบ History มักจะมีรูปภาพจิตรกรรม ประติมากรรม
สถาปัตยกรรมมาให้ หนึ่งภาพ สองภาพ หรือสามภาพก็แล้วแต่
แล้วถามประมาณว่าเป็นผลงานชิ้นนี้ชื่ออะไร ของศิลปินคนใด
ทำขึ้นในยุคใด (ตอนปีหนึ่งเราจะเรียนประวัตอศาสตร์ทางยุโรป)
มีลักษณะเด่นที่สำคัญอย่างไร ถ้ามีสองภาพมักจะให้เปรียบเทียบ
ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ยิ่งพวกในยุคกลาง
ที่ศิลปะถูกครอบงำโดยศาสนาด้วยแล้ว เรื่องราวในพระคัมภีร์
ตอนเดียว มีคนเอาไปวาดภาพที่แตกต่างกันเป็นสิบเวอร์ชัน
เฉพาะ Madonna Enthroned นี่ มีศิลปินเขียนกันทุกยุค
แต่ละยุคก็มีลักษณะเฉพาะและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
ต่างกันออกไป บัลลังก์คนละแบบ สีหน้าแสดงอารมณ์แค่ไหน
ลักษณะการจีบผ้าแข็งหรือพริ้ว ใบหน้าอ่อนโยนมั้ย
ดูมีความสัมพันธ์ที่มีต่อพระเยซูหรือเปล่า ทุกรายละเอียด
จะบ่งบอกถึงยุคสมัย และความเชื่อ ความนิยมในช่วงนั้นได้
เมื่อต้องจำทั้งชื่อ และรายละเอียดของผลงานหลายร้อยชิ้น
ขณะที่ข้อสอบออกเพียงไม่กี่สิบชิ้น ก็จะเกิดอาการ
จำได้บ้างไม่ได้บ้าง และสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจำไม่ได้
ก็คือชื่อผลงาน กับชื่อศิลปินนั่นเอง เพราะรายละเอียด
สามารถ'แถ' ได้จากในภาพ(ถ้าข้อสอบมันชัดพอนะ)
ดังนั้นด้วยความเชื่อบางประการของนิสิตบางคนที่ว่า ถ้าทำข้อสอบไม่ได้
ก็ควรจะมั่วให้มีคำตอบไว้ก่อน เผื่อฟลุคอาจได้คะแนนค่าหมึกปากกา
จึงเกิดชื่องานศิลปะใหม่ๆ(ที่ตั้งกันสดๆ ในห้องสอบ)เกิดขึ้นมากมาย
ส่วนชื่อศิลปินตั้งใหม่ลำบาก เลยมั่วเอาพอให้คุ้นๆ ว่าอยู่ในยุคนั้น
และนำมาพูดคุยเป็นที่สนุกสนานเฮฮากันหลังสอบ
แต่อาจารย์ท่านคงไม่สนุกด้วย อาจจะำขำๆ คนแรกๆ
แต่ถ้าต้องเจอเด็กมั่วๆ แบบนี้เยอะๆ คนตรวจข้อสอบเสียสายตาฟรีจริงๆ
ดังนั้นพอขึ้นปีสอง จึงได้เห็นหมายเหตุที่ใบปะหน้าข้อสอบ
วิชาหนึ่งว่า '...หากไม่ทราบคำตอบ ขอให้เว้นไว้'(พวกเราคิดต่อในใจ
ทันทีว่า...กรุณาอย่าแถ)
จะยกตัวอย่างชื่องานบางชิ้น ที่ยาวซะเหลือเกิน
จนเด็กแทบกระอักตอนจำ ไม่รู้คนอื่นมาอ่านตอนนี้
จะรู้สึกอยากกระอักด้วยหรือเปล่า แต่สำหรับคนที่ต้องสอบ
และไม่ได้สอบแค่วิชาเดียว ชื่อเหล่านี้โหดมากๆ
อ้อ พวกชื่อศิลปินสัญชาติอิตาเีลียนนี่ ก็ชื่ออ่านยากและยาวเกินจะรับจริงๆ
อย่างภาพ Madonna with Members of the Pesaro Family,
Eleanora of Toledo and Her Son จริงๆ ก็ไม่ยาวมาก
เหมือนจะแปลตรงตัว แต่ตอนนั้นมันจำไม่ด้ายยยย...
แต่ศิลปิน Fra Filippo Lippi ชอบชื่อนี้มาก โคตรน่ารักเลย อย่างนี้จำแม่น
แล้วก็มีบางทีที่ภาพในข้อสอบไม่ชัดดูไม่ออก แถมจำไม่ได้ว่า
มีรายะเอียดยังไง ก็แต่งเรื่องขึ้นเอง จากสุภาพสตรีสูงศักดิ์
ที่มาอาบน้ำแบบ Outdoor กลายเป็นโสเภณี กำลังโศกเศร้า
นั่งจับกลุ่มคุยกันไปซะเฉยๆ (ภาพเค้าราคาตกหมด)
อย่างไรก็ตามนับว่าข้อสอบคณะนี้ถูกโรคกับจขบ.มากอยู่
เพราะจขบ.เป็นพวกทำข้อสอบแบบมีตัวเลือกหรือปรนัยทีไร
โอกาสผิดจะสูงมาก โดยเฉพาะข้อสอบตอนเรียนม.ปลายนั้น
มักจะถามแบบว่า มีข้อผิดกี่ข้อ ข้อถูกกี่ข้อ ไม่ได้ถามนะว่า
ข้อไหนถูกข้อไหนผิดไปชัดๆ แต่ต้องอ่านข้อความประมาณ
5 ข้อความ ที่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่รู้ทั้งหมดจะถูกต้อง แล้วเอามาตอบ
แค่ว่าถูกกี่ข้อ หรือผิดกี่ข้อ เท่ากับเราต้องรู้เป๊ะๆ ทุกข้อ มั่วไม่ได้
แล้วอย่างข้อสอบชีวะอย่างเนี้ย ใครจะไปจำได้หมดหละเหวย
แต่ก็นับว่ายังดีตอนม.ปลายนั้น สอบมิดเทอมเป็นอัตนัย
ทำให้จขบ.พอจะสะสมคะแนนได้มากอยู่ แต่ถึงแม้มีคะแนนมิดเทอม
เป็นที่หนึ่งของห้อง แต่ก็ตกม้าตายตอนไฟนอลได้อยู่ดี
เพราะไฟนอลทุกวิชาจะเป็นปรนัยหมด เดาว่าเพื่อความรวดเร็ว
ในการตรวจ ยิ่งเด็กม.หก ต้องรีบจบ ทำข้อสอบแบบฝนๆ
เข้าคอมตรวจแป๊บเดียวก็เสร็จ ดังนั้นถึงแม้เราจะมีคะแนนเก็บ
สุดอลังการ ที่มีแต่คนบอกว่าแก 4 แน่ๆ แล้ว แต่ก็มีหลายวิชา
ที่ไฟนอลออกมาแล้วเฉียด 80 ไปนิดเดียว เท่ากับว่า
บางวิชาทำได้ไม่ถึงครึ่ง ไม่รู้เป็นโรคอะไรเหมือนกัน
ถูกข้อสอบหลอกทุกที(แกสะเพร่าเองมากกว้าม้าง)
ยิ่งวิชาคำนวณสุดแสนจะไม่โปรด อย่างฟิสิกส์ยิ่งแล้วใหญ่
ถ้าเป็นแบบแสดงวิธีทำ อาจารย์จะตรวจเป็นขั้นๆ ไป
สมมติว่าวิธีทำขั้นแรกถูก ก็เอาไปหนึ่งคะแนน ช่วงสองอีกสองคะแนน
และถ้าคำตอบรวมถูกอีกหนึ่งคะแนนประมาณนี้
เราก็จะพอมีคะแนนอย่างน้อยข้อละสองสามคะแนน
แต่พอเป็นข้อสอบปรนัย อาจารย์ออกข้อสอบเก่งมาก
ไม่ว่าจะคิดยังไงก็มีคำตอบทุกที ดักไว้หมดอย่างนี้
คนไม่รู้เห็นมีคำตอบก็ดีใจคิดว่าตัวเองถูกแล้ว
เราเองสามารถบอกได้อย่างภาคภูมิใจว่า
เคยทำปรนัยฟิสิกส์ 10 ข้อ(ข้อสอบมิดเทอมมีทั้ง อัตนัย
ปรนัย และเติมคำ) ได้ 0 คะแนนมาแล้ว เหอะๆ
พอสอบไฟนอลฟิสิกส์ครั้งสุดท้ายก่อนจบม.หก
ซึ่งเป็นฟิสิกส์บทที่ไม่รู้เรื่องที่สุด เราไม่ทนแล้ว ปลงๆ
คณะที่เราเรียนก็ไม่น่าจะได้ใช้ฟิสิกส์เรื่องนี้
(ฟิสิกนิวเคลียร์-ฟิสิกส์อะตอม)
ให้กระดาษทดมาสองแผ่น เราก็ใช้สำหรับการมั่วไปแผ่นหนึ่ง
ส่วนอีกแผ่นกลายเป็นเจ้าสิ่งนี้...
ทำข้อสอบเสร็จแล้ว(อย่างรวดเร็ว) แต่ยังไม่ถึงเวลาออกจากห้องสอบ
เลยวาดรูปโต๊ะตัวเอง กับโต๊ะเพื่อนข้างหน้า แล้วก็แถวข้างๆ แก้เซ็ง
อาจจะดูมุมมองมันแปลกๆ เพราะวาดกันคนละทีค่ะ ไม่ได้อยู่ในภาพเดียวกัน
เฮ้อ..ผ่านไปจะสองปีแล้วสินะ ม.หก
มาอ่านหนังสือที่จะสอบวันอังคารดีกว่า
Create Date : 20 ธันวาคม 2551 |
Last Update : 20 ธันวาคม 2551 17:38:11 น. |
|
23 comments
|
Counter : 1343 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ดาวเจิม (เบอร์สองก็ได้) (discipula ) วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:18:06:26 น. |
|
|
|
โดย: momster วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:19:23:08 น. |
|
|
|
โดย: discipula วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:19:33:58 น. |
|
|
|
โดย: discipula วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:19:42:27 น. |
|
|
|
โดย: StarInDark วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:20:15:55 น. |
|
|
|
โดย: ก.วรกะปัญญา (กะว่าก๋า ) วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:20:22:12 น. |
|
|
|
โดย: พี่มารูน... (Devonshire ) วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:22:00:39 น. |
|
|
|
โดย: บ้าได้ถ้วย วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:22:12:50 น. |
|
|
|
โดย: VELEZ วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:22:30:03 น. |
|
|
|
โดย: ก.วรกะปัญญา (กะว่าก๋า ) วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:22:41:57 น. |
|
|
|
โดย: จิณณา (Siraprapa_p ) วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:22:43:31 น. |
|
|
|
โดย: MeMoM วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:23:51:12 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 21 ธันวาคม 2551 เวลา:0:17:26 น. |
|
|
|
โดย: แค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง (minporee ) วันที่: 21 ธันวาคม 2551 เวลา:3:04:59 น. |
|
|
|
โดย: นู๋แจน (JJ&TheGang ) วันที่: 21 ธันวาคม 2551 เวลา:11:00:06 น. |
|
|
|
โดย: momster วันที่: 21 ธันวาคม 2551 เวลา:19:55:55 น. |
|
|
|
โดย: อนันต์ครับ วันที่: 21 ธันวาคม 2551 เวลา:20:47:17 น. |
|
|
|
|
|
|
Im not going to tell the story the way that
it happened. Im gonig to tell it the way
I remember it.
--Great Expectations--
|
|
|
|
|
|
|