|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ถึงไม่ได้เป็นวันครอบครัวแต่ก็นะ ..ทำตัวดีซะหน่อย
วันนี้เป็นวันหยุดที่คิดว่าจะตื่นสายๆแล้วก้กินข้าวที่บ้านนอกอย่างมีความสุข แต่ก้นะ พ่อกะแม่ดันชวนไปหาปู่กะย่าจริงๆอยากนอนอยู่บ้านตามกมลสันดาน แต่วันนี้ไม่อยากขัดใจใคร เอากะเค้าซะหน่อย ปรากฏพ่อกะแม่ดันอยากไปสุพรรณ ซึ่งไกลในความคิดเรา (จริงๆมันไม่ไกลหรอกแค่ชั่วโมงครึ่งก็น่าจะถึงแล้ว เราออกจากบ้านไปรับปู่กะย่าที่บ้าน และออกเดินทางจากบ้านปู่ย่าประมาณสิบโมง จุดมุ่งหมายของเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก้อฟังดูน่าสนใจ เพราะมันคือตลาดสามชุก ตลาดเก่าที่มีอายุร้อยปีแล้ว โอว นี่รถจะติดมั้ยเนี่ย ลองวีคเอนซะด้วย เราก้ออกเส้นวงแหวนมุ่งหน้าไปทางสุพรรณกันเลย พอเลยตัวเมืองสุพรรณมายี่สิบโลถึงจะเจอป้ายอำเภอสามชุก เรานั่งรถไปก็หลับไปด้วยผ่านไปประมาณสิบเอ็ดโมงก่าๆ โอ้ถึงแล้ว ที่จอดรถก็มีตั้งแต่ปากซอยไปจนถึงหน้าตลาดเลยพอได้ที่เหมาะ ก็ลงเดินเข้าตลาด ตัวตลาดนั้นเป็นย่านตลาดเก่า ซึ่งเป็นบ้านไม้ทรงเก่าๆปลูกเป็นห้องแถวติดกัน โดยรอบๆนั้นเป็นพื้นที่ชุมชนเก่าด้วย ต่างจากตลาดดอนหวาย และตลาดน้ำตลิ่งชัน ซึ่งจะได้เปรียบกว่าในเรื่องของบรรยากาศ เพราะดอนหวายกับตลิ่งชันบรรยากาศจะอยู่ริมน้ำโน่นต้องล่องเรือออกไปชมแต่ที่นี่เดินไปชมบ้านเก่า โรงแรมเก่าไป
ร้านค้าเดิมผสมผสานกับร้านค้าใหม่ได้อย่างลงตัว น่าชื่นชม จริงๆชั้นไม่ค่อยได้ใส่ใจรายละเอียดเหล่านี้มากนักเวลาไปเที่ยวที่อื่น แต่เพราะเรามากับคนแก่ที่บ้าน จะรู้สึกเลยว่าจังหวะชีวิตเราจะช้าลงไปด้วย เลยได้สำรวจมากกว่าที่อื่นๆนิดนึง ที่เห็นความน่ารักของที่นี่อีกอย่างคือ ความเป็นชุมชนเข้มแข็งคือ มีป้ายรณรงค์ "สามชุกไม่เอาโลตัส" อันนี้บ่งบอกถึงความเจริญทางปัญญาจริงๆของคนในชุมชน นับถือๆ และแต่ละร้านไม่ทะเลาะหรือแย่งลูกค้ากันแม้จะขายของเหมือนกัน ทำให้ลูกค้าอย่างเราต้องอึดอัดบ่อยๆเวลาไปเดินที่อื่น อันนี้สังเกตสังกาได้มาเพราะระหว่างรอกินก๋วยเตี๋ยวเจ๊กอ้าวในตำนาน นานจริงๆที่นั่งก้ไม่มี นี่ขนาดเปิดสองสาขาในตลาดแล้วนะเนี่ย (เค้าบอกว่ามาสามชุกต้องกินก๋วยเตี๋ยวเจ๊กอ้าว ข้าวใบบัวและก๋วยเตี๋ยวยำบกไม่งั้นมาไม่ถึง) เดินรอตั้งหลายรอบกว่าจะได้กิน แนะนำเกี๊ยวน้ำกับบะหมี่แห้ง เด็ดดวงจริงๆกล้องก้แบตหมดเลยลืมถ่ายรูปมา และก้อต้องเทคแคร์ท่านๆด้วย เฮ้อร้อนก็ต้องทนอ่ะนะ ซัดก๋วยเตี๋ยวเสร็จก็ซื้อเป็ดกลับบ้าน เป็ดของร้านจ่าเฉิดหน้าตลาดเลยอ่ะ กลับมาก็กินไปเมื่อกี้ อืมอร่อยๆ ของที่นี่น่าช็อปทุกอย่างเลย ด้วยความที่ตัวตลาดไม่ยาวมากแนะนำให้เดินดูไปก่อนเพราะบางเจ้าในๆจะขายถูกกว่า ของฝากที่เหมาะก็มีหลายอย่างเช่น ขนมเบื้องงาดำ สาลี่ และสาลี่กรอบ ขนมไข่ ขนมไทยมากมายนับร้อยชนิด ที่แนะนำก้คือปลาม้าแดดเดียว เฉลี่ยโลละร้อยห้าสิบ กับปลาสลิดเฉลี่ยโลละร้อยถึงร้อยห้าสิบ ตัวเองที่ชั้นชอบมากก็คือพิมเสนแห้งใส่ขวด กลิ่นเหมือนพิมเสนน้ำแต่ในขวดจะเป็นเครื่องยาไทยเก๋ๆใส่อยู่ ขวดละสามสิบบาท และก็มีพวกของเล่นและของใช้โบราณให้ซื้อฝากกันมากมาย เสร็จจากตลาดสามชุก เรามุ่งหน้าออกไปอีกสามสิบโลสู่บึงฉวาก หรือสุพรรณอควาเรียม หากใครไปดูอความเรียมมาแล้วหลายๆที่อาจจะติว่าเล็กไป แต่ที่ชั้นชื่นชมเนี่ยไม่ใช่ตัวอควาเรียม แต่บรรยากาศรอบๆนี่สิ สุดยอดจริงๆ เข้าใจเลยว่าทำไมคนสุพรรณถึงรักท่านบรรหารนัก ท่านเนรมิตรทะเลสาบน้ำจืดและวิวรอบๆได้สวยเหมือนสวนหลวงร.เก้าเลย และที่น่าสนใจคือเค้าทำสวนสัตว์มินิๆให้ลูกหลานชาวสุพรรณได้มาดูกันแบบสบายกระเป๋า เพราะค่าดูคนละห้าบาทเท่านั้น
และที่ชั้นคาดไม่ถึงก้อคือพิพิธภัณฑ์ผักพื้นบ้าน ซึ่งชั้นประมาทเอาไว้เลยว่ามันจะอะไรนักหนาวะ คนอย่างชั้นก้เซียนผักนาโว้ย ด้วยความขี้เกียจเดิน แอบกระโดดขึ้นรถไฟฟ้ามหานครผักเพื่อนำชมสวนทันที โอ ไม่น่าเชื่อแฮะมีผักแปลกๆมากมาย มีโรงเรือนเพาะไม้เมืองหนาว มีเรือนกล้วยไม้และสวนผีเสื้อ เรือนผักไร้ดิน และห้องฟังบรรยายสำหรับนักเรียน เค้าคิดคณะละสามร้อยบาทเอง ดูอินเตอร์เหมือนมางานพืชสวนโลกแฮะ(ได้ข่าวว่าไม่เคยไปนี่หว่าเรา) มาดูพืชผักในนี้กันมั่งดีก่า พวกลูกดก ลูกยาวใหญ่อย่างเช่นน้ำเต้าและบวบถือว่าเด็กๆ มะเขือเปาะยักษ์ต้นเท่ามะม่วงนี่สิทำชั้นอึ้ง ดอกเต็มต้นคิดว่าดอกตะแบกซะอีก มีผักชื่อแปลกๆและตำนานแปลกที่มาเป็นเเพ็คเกจมากมายเช่น ผักลืมผัว เพราะความอร่อยจนเมียลืมเก็บไว้ให้ผัวกิน ผักลืมชู้ ผักพ่อค้าตีเมียหรือผักซาดิสม์อิอิ เพราะว่าผักนี้รสชาติจะไม่เปลี่ยนไปแม้จะเอาไปต้มยำทำแกงอะไรก็จะเหมือนดิบอยู่ตลอดทำให้พ่อค้าโมโหเมีย ผักจิ้งจกเรียก พริกขี้หนูหวาน ส้มสันดานเป็นไม้เถาใบรูปหัวใจ เพราะเปรี้ยวโดยสันดานจริงๆเล่นเปรี้ยวกันตั้งแต่รากจนถึงใบ แถมน้องที่บรรยายยังให้ความรู้เรื่องต้นไม้มงคลสำหรับทิศต่างๆด้วย ทิศใต้ต้นส้ม ทิศเหนือ ต้นป่อย เพราะเชื่อว่าจะปลดปล่อยความทุกข์ไป ทิศตะวันออกปลูกไผ่สีสุก ชีวิตจะได้เป็นสุข ทิสตะวันตกปลูกมะยม อันนี้แน่นอนจะได้มีคนนิยม เฮ้อ สิบบาทที่เสียไปเพราะความขี้เกียจเดินคุ้มค่าขึ้นมาทันทีเลย ขอบคุณน้องที่บรรยาย สปิริตแกดีจิงๆเพราะแกขับรถไปบรรยายไปแถมดูแลชาวคณะเวลาจอดให้ถ่ายรูปไปด้วย
Create Date : 29 กรกฎาคม 2550 |
|
2 comments |
Last Update : 15 กันยายน 2553 0:38:45 น. |
Counter : 699 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ชานน ชำนานไพ IP: 58.9.196.158 11 ธันวาคม 2550 12:15:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: แต๊ก IP: 222.123.57.246 26 มกราคม 2551 19:59:54 น. |
|
|
|
|
|
|
|