Better Place Better Life : สถานที่เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

<<
กรกฏาคม 2553
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
10 กรกฏาคม 2553
 

โชคดี


พระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก ที่ตอนนี้จำพรรษาอยู่ที่วัดสุนันทวนาราม จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวเอาไว้ในหนังสือธรรมมะหน้าตาน่ารักว่า มีคำหลายคำในโลกนี้ที่ถือเป็นภาษาอันศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต อาทิ ขอบคุณ, ซาบซึ้งในพระคุณ และ โชคดี เพราะเมื่อใดก็ตามที่เอ่ยคำเหล่านี้จะเสมือนหนึ่งว่าเราได้ตั้งโปรแกรมการมองโลกในแง่บวกไว้ในจิตใจของเราเสมอ เพราะใจเป็นประธาน เป็นหัวหน้าของชีวิต ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้ามีกำลังใจแล้ว คิดดี พูดดี ทำดี ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้

พระอาจารย์มิตซูโอะ เล่าให้ฟังว่า ท่านอ่านหนังสือเจอเรื่องราวของชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งสมมุติชื่อว่า “โกโบริ” เขาเป็นนักศึกษาปริญญาโทและใช้เวลาปิดภาคเรียนไปท่องเที่ยวที่ประเทศอิสราเอลในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก เขาไม่ได้จองโรงแรมไว้ล่วงหน้าและเมื่อไปถึงก็ไม่มีโรงแรมเปิดให้บริการเลย หาอยู่จนค่ำก็พบกับหญิงชราชาวยิวคนหนึ่งที่เข้ามาทักเขาเป็นภาษาอังกฤษ เขาเล่าปัญหาให้ฟังและเธอก็หยิบยื่นน้ำใจให้เขาทันทีด้วยการบอกที่อยู่ของเธอให้ และหากว่าเขาไม่สามารถหาโรงแรมที่พักได้จริงๆก็ให้ไปพักที่บ้านของเธอ โกโบริรู้สึกแปลกมาก เพราะเขาเป็นคนต่างชาติและยังเป็นคนแปลกหน้า ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนอนุญาตให้เขาไปพักค้างแรมที่บ้านได้ และเมื่อคิดว่าคงไม่สามารถหาที่พักได้จริงๆโกโบริจึงตัดสินใจไปพักบ้านหญิงชราตามที่อยู่ที่เธอให้ไว้ พอไปถึงที่หน้าบ้านหลังนั้นโกโบริก็เกิดกลัวขึ้นมาเพราะบ้านนั้นทั้งรกร้างและเหมือนโลงศพ แต่เขาก็ใจกล้าเดินเข้าไปกดกริ่ง และก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อหญิงชรารอเขาอยู่แล้วพร้อมด้วยน้ำซุปร้อนๆ

เมื่อพูดคุยกันได้สักพักหญิงชราก็บอกกับเขาว่าจะให้คำศักดิ์สิทธิ์กับโกโบริ คำนั้นเป็นคำธรรมดาๆ คือ “ขอบคุณ” และ “ซาบซึ้งในพระคุณ” ความโชคดีมีอยู่เสมอและความโชคดีสามารถเป็นของเราได้ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงแค่พูดสองคำนี้บ่อยๆ ในทุกๆสถานการณ์ไม่ว่าจะแย่หรือเลวร้ายสักแค่ไหน แล้วจะพบสิ่งดีๆในชีวิต

เมื่อกลับไปญี่ปุ่นโกโบริลองเขียนคำว่า “ขอบคุณ” เป็นภาษาญี่ปุ่นและสังเกตุว่ามันมีรากศัพท์มาจากคำว่า “มีปัญหา” เลยยิ่งเชื่อมั่นว่า เมื่อมีปัญหาคำพูด “ขอบคุณ” คงจะช่วยทำให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นได้

คำว่า “โชคดี” ก็เช่นกัน เมื่อโกโบริได้ทำงานและได้รับมอบหมายให้คัดเลือกพนักงานเก่งๆมาช่วยงาน เขากลับเลือก “โนบิตะ” คนที่ไม่เอาไหน ทั้งไม่สนใจ ไม่ตั้งใจ ไม่มีผลงานเข้ามา โดยมีข้อแม้กับโนบิตะว่า เมื่อเขาทักในตอนเช้าว่า “อรุณสวัสดิ์ วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ก็ให้โนบิตะตอบว่า “โชคดี” และในตอนเย็นหากเขาถามว่า “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ก็ให้ตอบว่า “โชคดี” เช่นกัน ซึ่งโนบิตะก็ทำตามและทุกครั้งที่เขาพูดว่า โชคดี เขาก็จะนึกถึงสิ่งดีๆโดยอัตโนมัติ เช่น อาหารอร่อยที่ภรรยาทำ หรืออากาศดีๆที่ทำให้เขามีความสุข แล้วโนบิตะก็กลายเป็นคนที่ขยันทำงาน จนท้ายที่สุดเขามีผลงานเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

เมื่อมาถึงอ่านมาถึงตอนนี้มันทำให้ภาพวันที่แสนดีของฉันปรากฎชัดอยู่ในมโนสำนึก มันเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะอยู่ต่างแดนก่อนจะย้ายหลักกลับมาปักฐานที่บ้านเกิดเมืองนอน หลังจากที่ฉันปล่อยตัวปล่อยใจไปเที่ยวในต่างแดนและที่ไกลออกไปแสนไกลมาแล้ว และเพื่อให้เป็นเสมือนของหวานเมื่อผ่านอาหารจานหลักอีกสักนิด ฉันจึงตัดสินใจไปเก็บเสบียงใส่กระเป๋าแล้วเริ่มหันหลังให้ซิดนี่ย์ทันที

มันเป็นเช้าที่อากาศดีมาก ไม่หนาวจัดอย่างทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ร้อนจนรับไม่ได้ ฉันจำได้ว่าความรู้สึกยินดีมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในจิตใจ เช้าสุดท้ายที่ออสเตรเลียช่างสวยงาม และน่าประทับใจ ฉันออกจากบ้านและวางแผนว่าจะเดินไปสถานีเพื่อขึ้นรถไฟไป “วอยวอย” เมืองที่ทะเลสาบแสนสวยตรึงตาฉันไว้เมื่อผ่านครั้งแรก แต่ด้วยความที่บ้านที่ฉันอยู่นี้เป็นเพียงบ้านพักชั่วคราวที่ฉันเพิ่งย้ายเข้ามาไม่กี่วัน การคำนวนเวลาการเดินที่คิดเอาไว้ว่าแค่สิบนาทีก็กลายเป็นครึ่งชั่วโมงและยังไม่มีทีท่าว่าจะถึง แต่กลับมีวี่แววว่าจะหลงทาง

“สถานีรถไฟซิดแนมไปทางไหนคะ?” ฉันถามชายคนหนึ่งซึ่งกำลังปัดกวาดเช็ดถูกรถของเขา

“คุณจะไปที่นั่นเหรอ นี่นะ เดินไปอีกสองไฟแดงแล้วก็เลี้ยวซ้าย” ฉันมองตามมือเขา

“ไม่นานใช่ไหม?”

“โอ้ นานทีเดียวแหละ” เขาพูดแล้วหันมองหน้าฉันนิดหน่อย

“ไปกับผมสิ เดี๋ยวผมแวะไปส่งให้” ฉันขอบคุณพร้อมตอบตกลงทันที เพราะอีกไม่กี่นาทีฉันก็จะพลาดรถไฟแล้ว นั่นเป็นเรื่องน่าละอายนิดหน่อย แต่สิ่งที่ฉันรู้สึกมากกว่าตอนนั้นก็คือ ทำไมเขาใจดีจังนะ ถ้าคิดในแง่ร้าย ฉันอาจจะเป็นใครก็ได้ที่มาหลอกถามทางแล้วอาจจะปล้นเขาในภายหลัง แต่เขากลับยิ้มแย้มแจ่มใส อธิบายโน่นนี่อย่างละเอียดยิบ ไม่ต่างอะไรกับยายชาวอิสราเอลของโกโบริเลย เราคุยกันอย่างเป็นมิตรราวกับรู้จักกันมาก่อน เขาเป็นนักธุรกิจที่กำลังจะมาเริ่มสาขาใหม่ที่เมืองไทย แต่ฉับพลันเขาก็เลี้ยวหัวเครื่องบินไปเวียดนาม (คาดว่าคนทั้งโลกคงรู้ว่าทำไม) เขามาส่งจนถึงฝั่งตรงข้ามสถานีแล้วบอกฉันอย่างใส่ใจว่า ควรจะข้ามถนนตรงไหนอย่างไร แล้วเอ่ยคำลาพร้อมกับมิตรภาพที่ไม่อาจลืมเลือน

เช้านั้นผ่านไปอย่างรื่นรมย์,

ฉันและเพื่อนไปถึงวอยวอยตอนสายๆ เราเดินริมฝั่งน้ำที่มีนกพิลิแกนยักษ์อยู่ฝูงหนึ่ง บางตัวก็คอยเอาตาเหลืองๆ ลอบมองเราเป็นระยะๆ บางตัวก็ระเห็ดตัวเองขึ้นไปอยู่บนเสาไฟสูงลิ่วแล้วหลับเป็นตายอยู่บนนั้น ขณะที่บางตัวก็มักจะเอาขนาดตัวเองไปยืนเปรียบเทียบกับนกนางนวลตัวจ้อยให้เรานึกขำในความแตกต่างของนกที่อาศัยอยู่ริมทะเลด้วยกัน

เราตัดสินใจขึ้นเรือไปยังเกาะแห่งหนึ่งที่เราหลับตาจิ้มเอาในแผนที่ ริมตลิ่งระหว่างทางที่ผ่านนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ศาลาพักริมน้ำ และเตาย่างบาร์บิคิวที่ทางชุมชนเป็นผู้เตรียมไว้ให้ อย่างที่เราจะเห็นภาพแบบนี้จนชินตาทั่วประเทศ เมื่อขึ้นจากเรือแสงสว่างจ้ายามเที่ยงวันทำให้หูตาเรามืดสนิท ไม่ใช่เพราะจะเป็นลมหรืออย่างไรแต่เป็นเพราะเรางงว่าจะไปไหนกันต่อดี เราเดินถือแผนที่แล้วตรงไปยังทางที่คิดว่า “น่าจะใช่” แล้วตั้งต้นเก็บบรรยากาศแสนงามของทะเลสาปสีฟ้าที่สะท้อนระยับกับแสงแดดทันที

“จะไปไหนกันจ๊ะ” เสียงแว่วๆดังใกล้ๆ

“จะไปไหนกัน” เสียงนั้นเข้ามาใกล้อีกนิด เราทั้งคู่หันไปมองแล้วพบกับหญิงชราวัยไม่น่าจะต่ำกว่าหกสิบในชุดออกกำลังกายยิ้มร่ามาให้เรา ตามประสาผู้คนจากสยามเมืองยิ้มเราจึงยิงฟันกลับแล้วตัดสินใจถามไถ่ซะว่าบนเกาะนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหนได้บ้าง ยายมองหน้าเรางงๆ

“ที่นี่ไม่ใช่ที่เที่ยวหรอกนะ” เรามองหน้ายายกลับงงกว่า

“ไม่เป็นไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันพาขับรถชมรอบเกาะ เสร็จแล้วพวกหนูๆก็ขึ้นเรือกันไปต่อนะ” คุณยายว่าแล้วจัดแจงให้เรานั่งหลังรถทั้งสองคนโดยมีคุณยายทำหน้าที่เสมือนสารถีและรีดเดอร์ ไกด์ พาเราชมเมืองพร้อมเล่าความเป็นมา ชีวิตความเป็นอยู่ บรรยากาศ และภูมิประเทศให้ฟังเสร็จสรรพ ครบสูตรตามแบบฉบับวิธีการท่องเที่ยวที่ฉันเรียนมาทีเดียว

ยายเล่าว่าเพิ่งกลับจากการวิ่งออกกำลังกาย แต่ที่ต้องมาวิ่งริมน้ำเพราะพื้นที่นอกจากนี้จะเป็นทางชันขึ้นเขาและลงเขาเท่านั้น ยายจึงต้องขับรถมาจอดไว้ที่ท่าเรือแล้วไปวิ่งรอบเกาะซะหนึ่งรอบก่อนจะขับรถกลับบ้านซึ่งอยู่บนเขา ว่าแล้วก็ชี้ให้เราดูบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านสองชั้นสีน้ำตาลดูอบอุ่น ยายว่านั่นน่ะ บ้านของยายเอง ส่วนบ้านติดกันเป็นบ้านของลูกสาว ทั้งคู่ไม่มีสามีแต่ว่ายายมีหลานที่ต้องไปส่งไปรับจากโรงเรียนด้วยสองคน ฉันไม่ได้ถามว่าเพราะอะไรพวกเธอจึงเป็นผู้หญิงเลี้ยงเดี่ยวแต่ยายก็ดูมีความสุขดีเมื่อชีวิตเป็นไปในทิศทางนี้

ยายมาส่งเราที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง เราถ่ายรูปด้วยกัน มิตรภาพระหว่างเจ้าบ้านผมสีอ่อนกับสองผู้เยี่ยมชมผมสีดำเข้มเป็นไปด้วยดี วันนั้นวอยวอยงดงามอย่างที่มันเคยเป็น แต่ไม่งามเท่าน้ำใจของคนที่ฉันได้พบเลย
มันค่อนข้างน่าแปลกใจระคนยินดีเมื่อเจอกับคนดีๆถึงสองคนในวันเดียว นี่จะเป็นผลของการที่ฉันคิดถึงเรื่องดีๆทันทีที่ตื่นแต่เช้าหรือเปล่านะ นี่เป็นเรื่องดีๆของคำพูดและความคิดอันศักดิ์สิทธิ์กระมัง

/////////////////////////////////////

ปล. หนังสือของพระอาจารย์มิตซูโอะ ได้มาจากสถานีรถไฟฟ้าเอกมัย - ขอบคุณค่ะ







 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2553
1 comments
Last Update : 10 กรกฎาคม 2553 4:24:10 น.
Counter : 557 Pageviews.

 
 
 
 
แวะมาทักทายค่ะ
 
 

โดย: โยเกิตมะนาว วันที่: 10 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:03:33 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

cha_ame
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add cha_ame's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com