|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
20 สิงหาคม 2551
|
|
|
|
หลักเบื้องต้นในการเขียนบทความ
โครงสร้างของบทความ
โครงสร้างของบทความโดยทั่วงไปซึ่งหากจำแนกตามลำดับการเสนอเนื้อหา สามแบ่งได้เป็น ชื่อเรื่อง ความนำ เนื้อเรื่อง และความสรุป
1. ชื่อเรื่อง ชื่อเป็ฯสิ่งที่ผู้อ่านจะเห็นก่อนส่วนอื่น ๆ ผู้เขียนจะต้องมีความมั่นในว่าชื่อเรื่องนั้นกะทัดรัด ชัดเจน และน่าสนใจหรือไม่ ชื่อเรื่องจะเป็นสิ่งบ่งบอกว่าผู้เขียนจะให้ผู้อ่านทราบว่าได้เขียนอะไรไว้
2. ความนำ ความนำมีวิธีการเขียนหลายแบบ แต่โดยทั่วไปเป็ฯการสรุปประเด็ฯสำคัญของเหตุการ์ หรือสาระสำคัญให้ได้ในความกะทัดรัด ชัดเจน โดยครอบคลุมเนื้อหาเหตุการณ์หรือประเด็ฯสำคัญทั้งหมด
3. เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องถ้าเป็ฯบทความเพื่อให้ข่าวสารจะเป็ฯไปในลักษณะข้อเท็จจริงและข้อมมูลอย่างกว้าง ๆ ถ้าเนื้อเรื่องที่เป็นบทความเชิงอธิบายความจะเสนอทั้งข้อมูลและการอธิบายขยายต่อให้สมบูรณ์ เป็นต้น อย่างหรก็ดี เนื้อเรื่องส่วนนี้เป็ฯส่วนที่ต่อเนื่องกับความในส่วนนี้จะเริ่มด้วยข้อเท็จจริง หรือความคิดเห็นอย่างมีเหตุมีผล มีข้อมูลสถิติ
4. ความสรุป เป็ฯส่วนท้ายของการเขียนบทความ สามารถเขียนได้หลายประเภทความจบนี้จะทำให้ผู้อ่านมีความรู้สึกว่าได้มีส่วนร่าวมในการประสบการณ์ที่สมบูรณ์ ซึ่งอาจย้ำประเด็นปัญหาที่กล่าวมาหรือเสนอแนะประเด็ฯต่าง ๆ ก็ได้
รายละเอียด นักศึกษษสามารถศึกษาการเขียน ชื่อเรื่อ ความนำ เนื้อเรื่อง และความสรุปต่อไป
การหาแนวคิดสำหรับเขียนบทความ
แนวคิดเป็นสิ่งสำคัญของการเขียนบทความเป็ฯอย่างมาก เปรียบเสมือนเป็นหัวในของเรื่อง แหล่งของแนวคิดสามารถหาได้จาก
1. ประสบการณ์และการสังเกต นักเขียนอิสระหรือนักเขียนสมัครเล่นมักจะเริ่มต้นการเขียนมาจากประสบการณ์ส่วนตัว เนื่องจากประสบการณ์และการสังเกตส่วนบุคคลนี้ จะทำให้ได้บทความที่ดีเพราะว่าผู้เขียนเองจะมีความเข้าใจในข้อเท็จจริงอย่าลึกซึ้ง
2.แปล่งข้อมูลด้านวิทยาการ ข้อมูลด้านวิทยาการที่กล่าวถึงนี้ ได้แก่ รายงานทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มีการค้นพบในเรื่อต่าง ๆ และมีการประกาศเป็นครั้งแรก รวมทั้งเอกสารรายงานประจำ ได้แก่ วารสารทางด้านวิทยาศาสตร์ เอสาร เผยแพร่ของทางราชการ วารสารทางการค้า และหนังสือตำราต่าง ๆ
3. ผู้เชี่วยวชาญ ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาก็เป็ฯแหล่งข้อมูลให้แนวคิดการกำหนดเรื่องที่สำคัญ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านเภศัช ด้านกุมาร ด้านเครื่อยนต์กลไก ด้านการเกษตร ในการเข้าพบผู้เชี่วยชาญเพื่อศึกษาข้อมูลอาจทำได้หลายวิธี เช่น การสัมภษษณ์ ซึ่งนับว่าเป็ฯสิ่งจำเป็ฯที่สุด เพราะว่าการสอบถามผู้เชี่ยชาญจะทำให้ได้วัตถุดิบสนับสนุนการกำหนดเรื่อที่จะเขียน
4. การอ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารและเอกสารทางวิชาการ การอ่านหนังสือพิมพ์รายวันจะทำให้ได้แนวคิดเพื่อากรเขียนบทคามได้มากมาย โดยเฉพาะเรื่อรามข่าวสารหน้าแรกหน้าบทบรรณาธิการ คอลัมน์ต่าง ๆ สารคดี แม้กระทั่งโฆษณา รวมทั้งแปนกข่าวกีฬา
การอ่านนิตยสารก็เช่นเดียวกัน อาจให้แนวคิดที่แตกต่างไปจากหนังสือพิมพ์เนื่องจากข่าวสารในนิตยสารนั้นให้รายละเอียดและลึกซึ้งกว่าที่จัดพิมพ์ในหนังสือพิมพ์
นอกจากนั้นการอ่านเอกสารทางวิชาการ ได้แก่ หนังสือตำราทั้งหลาย และวิทยานิพนธ์ รายงานการวิจัย ย่อมจะให้แนวคิดต่อการกำหนดแก่น (Theme) ที่จะเขียนบทความได้
การกำหนดแนวคิดให้ชัดเจน
โดยมากผู้เขียนที่เริ่มต้นเขียนบทความมักจะมีความกังวลหรือมีข้อมมูลมากจนหาแก่นของแนวคิดไม่ได้ ฉะนั้นการตีกรอบแห่งแนวคิดให้แคบลง มีส่วนสำคัญที่จะทำให้การเขียนบทความนั้นมีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในหนังสือพิมพ์จะตอบจากคำถามต่อไปนี้ ใคร อะไร เมื่อไร ทำไม ที่ไหน และอย่างไร ดังนั้น การตีกรอบแก่นของแนวคิดให้แคบนั้นก็คือเลือกตอบคำถามจาก 5 คำถาม ให้เหลือเพียง 1 คำถาม นั่นเอง
Create Date : 20 สิงหาคม 2551 |
|
4 comments |
Last Update : 20 สิงหาคม 2551 18:15:52 น. |
Counter : 5238 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: Tassanee 24 สิงหาคม 2551 12:43:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: Tassanee 24 สิงหาคม 2551 14:42:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: กฤศ IP: 49.231.113.230 20 สิงหาคม 2556 23:09:05 น. |
|
|
|
| |
|
|
Tassanee |
|
|
|
|