เมษายน 2554

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
จาก ฉัน ไม่เป็น ฉัน
เหมือนฉันกำลังก้าวเข้าสู่กระบวนการทางความคิดใหม่ๆ
เป็นตัวฉันที่ก้ำกึ่งระหว่างอดีต ปัจจุบันและอนาคต
อดีตที่เคยมัวเมาด้วยกิเลส
อดีตที่เคยอยากได้อยากมีอยากเป็น และพยายามทำทุกทางให้ได้มา
ตอบสนองทุกสิ่งที่เข้ามากระทบโดยปราศจากการยั้งคิดใดๆทั้งสิ้น
และขณะนี้ ฉันมองเห็นตัวเองในอดีตนั้น น่ารังเกียจ
ฉันอยากเป็นคนที่ดีขึ้น
ทุรนทุรายน้อยลง

ฉันมองเห็นแสงสว่างอยู่ตรงปลายทางลิบๆและฉันก็อยากไปให้ถึงมัน
แต่เสียงรอบข้าง ก็คอยแต่จะร้องเตือนให้ลืมปลายทางนั้น และเดินตามพวกเขาไป
บ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกถึงความว่าง ที่แสนเงียบ
..สงบ..จนอยากหยุดพักและเลิกไขว่คว้า
แต่เสียงรอบข้างที่ร้องเชียร์ให้ไปต่อ
ก็ให้ความรู้สึกประหนึ่งว่า ฉันเป็นผู้แพ้ หากออกจากเส้นทางที่ทุกคนกำลังมุ่งไป
และเลือกทางที่ไม่ต้องแข่งขัน ไม่ต้องดิ้นรน
เส้นทางที่ว่า เป็นเส้นทางที่เงียบกว่าเงียบ
คงต้องใช้ความกล้าพิลึกล่ะ หากต้องออกไปเผชิญกับความเหงาบนเส้นทางนั้น

เหงา?

ทำไมฉันถึงคิดว่า มันจะเป็นเส้นทางที่แสนเหงานะ
ฉันไม่ใช่คนขี้เหงา
และคิดมาตลอดว่า ตัวเองก็อยู่ได้ด้วยตัวเอง
แต่เมื่อถึงวันที่ต้องทำเช่นนั้นจริงๆ ฉันก็รู้สึกถึงความขลาดกลัวภายใน
เคยคิดเสมอว่า ฉันเป็นตัวของฉันเอง
แสดงอัตลักษณ์ของตัวเอง อย่างเด่นชัดและน่าชื่นชม
มาถึงวันนี้ วันที่ฉันมองเห็นทางเส้นนั้น
ฉันเริ่มคิดว่า มันเป็นสิ่งที่โง่เหลือเกินกับการสร้าง ความเป็นตัวเอง จอมปลอมขึ้นมา
เพียงเพื่อให้ทุกคนยอมรับว่า นี่คือฉัน
ฉันสร้างมันขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนยอมรับ เพราะใครๆก็มี ฉัน เป็นของตัวเองกันทั้งนั้น
และคนที่ไม่มี ก็ถูกมองว่า ไร้ตัวตน
ถูกมองว่า ขี้ขลาด
ถูกมองว่า แพ้
ด้านหนึ่งที่บอกตัวเอง ก็คือ
ไอ้ "ฉัน" ที่ทุกคนคิดว่า ต้องมี นี้ เอง ที่เป็นตัวยึดให้เราทุกคน หมุนวนอยู่ในวัฏจักรแห่งความแพ้พ่าย
เป็นศูนย์กลางแห่งความสุขทุกข์ทั้งมวล
หากไม่มี ฉัน เสียหนึ่งคน ก็คงไม่มีอะไรมาทำให้เราทุกข์ได้..มิใช่รึ

ใจหนึ่งฉันอยากปล่อยตัวเองให้ลอยคออยู่ในทะเลแห่งความไร้ตัวตนนั้น
อยากไม่พยายามอะไรเลย
อยากไม่คาดหวังอะไรเลย
อยากไม่ต้องคิด ว่าเขาจะคิดอะไรกับเราไหม
อยากบอกตัวเองว่า มันไม่สำคัญเลย ว่าเขาจะเห็นเราสำคัญสำหรับเขาแค่ไหน
อยากบอกตัวเองว่า อนาคต ของเรา จะมีเขาหรือไม่ และจะลงเอยเช่นไร
ก็เป็นเพียงแค่ภาพในอุดมคติที่เรา อยากมี อยากเป็น ที่เราสร้างขึ้นมาร้อยรัดตัวเองไว้ทั้งสิ้น


แต่เสียงที่ดังอยู่รอบตัว และผู้คนที่รู้จัก คงตั้งคำถามให้ปั่นป่วนเล่น
แล้วเธอจะอยู่อย่างไรเมื่อแก่เฒ่า
เธอเป็นอะไรมากหรือเปล่า
เขาคิดอย่างไรกับเธอ
เธอทำให้เขารักไม่ได้หรือ
เธอไม่สวย ไม่มีเสน่ห์ ไม่มีค่าพอให้เขาบอกรัก ให้เขาอยากได้เป็นแม่ศรีเรือน งั้นหรือ
แค่คิด ก็รู้สึก ล้า และอับอาย
เสียงเหล่านี้เอง ที่ผลักดันให้ฉันเดินตามทุกคนไป
ทั้งๆที่ เหนื่อย
ทั้งๆที่ ไม่อยากเดิน
ทั้งๆที่ รู้สึกว่า เป็นเส้นทางที่ ทรมานเหลือเกิน

เมื่อไหร่นะ ดักแด้ตัวนี้ จะกลายเป็นผีเสื้อเต็มตัว
และโผบินไปในเส้นทางที่ต้องการ อย่างไม่ต้องสนใจใคร
กระบวนการเปลี่ยนผ่านทางความคิด มันยากอย่างนี้เองสินะ

*******************************
17 เมษา 2554



วันนี้ไปเจอข้อความนี้เข้า อืมมม ค่อยสับสนน้อยลงหน่อย

การที่คนเราจะรักกัน จะแต่งงานแต่งการอยู่กินเป็นคู่ครองกัน พระพุทธเจ้าบอกว่าเกิดจากสาเหตุ ๒ ประเภทด้วยกัน ประการที่หนึ่งเรียกว่า บุพเพสันนิวาส บุพพะ บุพเพแต่ปางก่อน สันนิวาสการอยู่ร่วม การอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน แสดงว่าเคยเป็นคู่กันมา ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเกิดเป็นคู่กันมาหลายชาติหลายภพ ถ้าเจอหน้ากันมันหลีกไม่พ้น ประเภทเห็นปุ๊บ ปิ๊งเลย ที่วัยรุ่นสมัยนี้เขาว่าอะไร ใช่เลย ไม่ของมันน่ะ ใช่แล้วเลย ส่วนใหญ่มันใช่ไม่จริง เพราะว่าคนเราไม่ได้เกิดชาติเดียว แต่ละชาติแต่ละภพเกิดมาก็ไม่ใช่หมายความว่าจะเจอคนเดิมตลอดไป เพราะฉะนั้นมันก็จะมีใช่เลย ใช่เลยๆ ไปเรื่อยๆ ระวังเอาไว้ให้ดี คนเราถ้าไม่มีศีลควบคุมก็จะใช่ไปเรื่อย ยิ่งใช่มากเท่าไรก็ลงนรกไปมากเท่านั้น

ส่วนอีกอย่างหนึ่งท่านว่าเกิดจากการเกื้อกูลกันในปัจจุบัน จนเห็นอกเห็นใจกัน ดังนั้นไม่ใช่หมายความว่า ถ้าไม่ใช่เนื้อคู่ คือไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแต่ปางก่อน แล้วจะแต่งกันไม่ได้ เสร็จแล้วการแต่งงานกันไปมันก็ต้องลดทิฐิมานะลง ต่างคนต่างต้องฟังอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะตอนนี้มันเป็นสภาพครอบครัวแล้ว ไม่ใช่ตัวคนเดียว เราจะเคยทำอะไรก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ตอนนี้มันแบกขันธ์ ๕ ขึ้นมาเป็นขันธ์ ๑๐ แล้วนี่ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของตัวเอง คนเดียวมันก็แย่แล้ว ไปหาเข้ามาขันธ์ ๑๐ คราวนี่แย่ตรงที่ว่าก่อนนี้ ถึงเวลากิน เราไม่กินก็ได้ คราวนี้ถึงเวลากินขึ้นมา นี่เราไม่กิน มันได้อยู่ แต่เขาไม่กินไม่ได้เพราะเขาหิวแล้ว มันก็ต้องทุกข์ในการหามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเขาเพิ่มอีกคนหนึ่ง มีลูกขึ้นมาก็เป็นขันธ์ ๑๕ มี ๒ ลูกก็ขันธ์ ๒๐ มีแต่จะทุกข์หนักขึ้นไปเรื่อยๆ บรรดาเทวดาจ้อย นางฟ้าจิ๋ว นี่มันเจ้านายใหญ่ ถึงเวลาพ่อเจ้าประคุณ แม่เจ้าประคุณจะเอายังไงก็แหกปากจ๊ากจึ้นมา ก็ต้องตามใจ ไม่ตามใจก็เสร็จ เพราะว่าเขามีการร้องไห้เป็นกำลัง ผู้หญิงมีน้ำตาเป็นกำลังใช่มั้ย ? ถ้าหากว่าถึงเวลาความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้มันมีแต่จะพอกพูนเพิ่มขึ้นๆ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า การกินหนึ่ง การนอนหนึ่ง การเสพกามหนึ่ง การเสวยอำนาจหนึ่ง บุคคลจะไม่มีวันเบื่อเด็ดขาด ยกเว้นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร พยายามหลีกหนีมันให้ได้เท่านั้น การมีเนื้อคู่ถือว่าเป็นการเสพกามใช่มั้ย ? เพราะฉะนั้นการกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจอยู่ คนจะไม่เบื่อ มีอยู่อย่างเดียวก็คือว่า พยายามหลีกหนีมัน เพราะเห็นโทษเห็นภัย ก็ลองคิดดูว่าเราอยู่คนเดียวสบายละ เหนื่อยจากงานมานอนแผ่หลาไม่อาบน้ำก็ได้ ไม่กินข้าวก็ได้

คราวนี้กลับมาบ้าน เจ้านายใหญ่นั่งรอยอยู่ ต่างคนต่างเหนื่อยมา แทนที่จะช่วยเราไม่มีหรอก รอเราช่วยอย่างเดียว มันแทนที่จะทุกข์คนเดียวก็เลยทุกข์หนักขึ้น แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากว่าวันไหนเหนื่อยมากๆ แล้ว สติแตกกลับมาแทนที่เราจะช่วยกัน เปล่าหรอก นั่งเต๊ะจุ๊ยอ่านหนังสือพิมพ์รอเราทำกับข้าว โอ๊ยแทบจะขาดใจ มาจากที่โน่น มาถึงจะสลบเหมือด ก็ต้องมาเจอเจ้านายใหญ่อีก ไม่เป็นไรจ้ะ ค่อยๆ ดูไป อนุญาตให้ลอง ทดลองแล้วไปไม่รอดแล้วค่อยว่ากัน

หลายคนเขาบอกว่า แต่งงานเพราะถึงเวลาแก่ตัวไปจะได้มีคนดูแล ฝันไปเถอะ แก่ตัวไปแล้วล้วนแล้วแต่มีคนให้เราดูแล ฟังให้ดีๆ ไม่ใช่แก่ตัวไปจะได้มีคนดูแล แก่ตัวไปจะได้มีคนให้เราดูแล แต่งไปไม่ต้องฝันหรอกว่ามันจะดูแลเรา รับรองได้รายไหนรายนั้น แล้วต้องไปดูแลเขาทั้งนั้น

สมัยก่อนหมวยนี้ไปกับหลวงพ่อบ่อยๆ เขาก็ซึมซับเอาสิ่งต่างๆ ที่หลวงพ่อพาไป ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา รับเข้าไปๆ บวกกับการปฏิบัติของตัวเอง เขาตั้งใจว่าไม่แต่งงาน ทางบ้านพ่อเอย แม่เอย อากู๋ อากิ๋มอะไรให้ยุ่งไปหมด พยายามจะแงะให้แต่งให้ได้ แกก็ฝืนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ มีแต่คนเปลี่ยนความคิดละ พูดว่าเป็นหมวยนี้ก็สบายจังเลยเนอะ มันชักเห็นทุกข์แล้วตอนก่อนนี้ล้วนแต่ว่าทุกข์น่ะดี มีครอบครัวไหนบ้างที่ไม่ทะเลาะกัน ถามจริงๆ หนูเคยเห็นมั้ย ? ดีแสนดีมันต้องมีวันผีเข้าซักวันหนึ่ง

**************************************

18 เมษา 2554

จาก //board.palungjit.com/f14/%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-221728.html




Create Date : 18 เมษายน 2554
Last Update : 18 เมษายน 2554 12:57:27 น.
Counter : 382 Pageviews.

3 comments
  
แนวคิดคล้ายๆกับหนังสือธรรมะของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เลยค่ะ เนื้อคู่มันมี 2 ประเภทคือ คู้แท้และคู่เทียม เฮ้อแต่เราได้เจอแต่อย่างหลังนี่สิ
โดย: MAYDAY (Spring_in_May ) วันที่: 18 เมษายน 2554 เวลา:13:10:47 น.
  
จริงๆ ไม่ว่าจะมาจากปากของพระรูปไหน
เนื้อหาแก่นแท้ ก็มีที่มาจากที่เดียวกันมังคะ
^___^

ขอบคุณที่เข้ามาเป็นเพื่อนกันในวันสับสนค่ะ
โดย: cinta วันที่: 18 เมษายน 2554 เวลา:13:42:17 น.
  
^__ ^
โดย: Megeroo วันที่: 18 เมษายน 2554 เวลา:21:44:20 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

cinta
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีค่า ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะค้า
แบบว่ายังใหม่มากๆสำหรับที่นี่
เห็นบล็อกคนอื่นเค้าสวยๆงามๆก็ให้อิจฉาตาร้อนผ่าวๆ
ไม่รู้เค้าทำกันยังไง
ใครมีจิตเมตตาก็มาบอกกันมั่งเน้อ
free counters
New Comments