Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2553
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
10 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
"ประมาณว่า ๖,๕๐๐ โค้ง ยังน้อยไป" ตอนต้น (อุ้มผาง, น้ำตกทีลอชู และ ดอกบัวตอง)

เว้นช่วงการเขียน blog ไปนานเลยครับ เพราะติดธุระเรื่องการส่งงานเขียนลงตีพิมพ์ในนิตยสารอยู่ มาช่วงนี้มีโอกาสพร้อมหลายๆเรื่อง เลยเอาผลงานใหม่ๆมานำเสนอมิตรรักนักอ่านครับ เอาลงเนตแบบนี้สะดวกดี จะได้ไม่ต้องพิมพ์ใส่กระดาษหรือไรท์แผ่นซีดีให้เสียเวลา (แต่เรื่องเขียน blog ก็ยากไม่ใช่เล่นเลย ต้องให้ลูกชายช่วย) เทคโนโลยีสมัยนี้มันช่างสะดวกสบายจริงๆเลยนะครับ เดี๋ยวนี้มีคอมส่วนตัวแล้ว สามารถคุยกับผมทางเมลหรือ msn messenger ได้ทุกวันครับ

วันนี้อยากจะเอาหนังสือที่เขียนเอาไว้แล้วมาเผยแพร่ เรื่อง "ประมาณว่า ๖,๕๐๐ โค้งยังน้อยไป" หมายความว่าในทริปนี้ ไปเที่ยวภาคเหนือ ไปตามภูเขาที่มีแต่โค้ง นับรวมๆแล้วประมาณว่า๖,๕๐๐ โค้งยังน้อยไปครับ

มีทั้งหมด 3 ตอนครับ
"ประมาณว่า ๖,๕๐๐ โค้ง ยังน้อยไป" ตอนต้น (อุ้มผาง, น้ำตกทีลอชู และ ดอกบัวตอง)
"ประมาณว่า ๖,๕๐๐ โค้ง ยังน้อยไป" ตอนกลาง (แม่ฮ่องสอน, ทะเลสาบงามปางอุ๋ง, หมู่บ้านรักไทย)
"ประมาณว่า ๖,๕๐๐ โค้ง ยังน้อยไป" ตอนจบ (ปาย, ดอยอ่างขาง, ดอยห่มปก, ดอยกาดผี)

วันศุกร์ที่๑๓พฤศจิกายน๒๕๕๒

ทริปนี้เราสองคนมุ่งสู่ภาคเหนือ ตั้งใจไว้ว่าเดินทางลัดเลาะไปตามถนนที่เรียบชายแดน ไทย-พม่า บนถนนหมายเลข ๑๐๕ ตาก-แม่สะเรียง เราเริ่มต้นที่จังหวัดตาก เป็นการเดินทางต่อเนื่องจากทริปที่แล้ว ที่เรามาสิ้นสุดที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เพราะยังไม่มีถนนตัดข้ามเทือกเขาถนนธงชัย ทะลุมาถึงอำเภออุ้มผางได้ ต้องมาเริ่มต้นใหม่ทางด้านอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก เราสองคนตั้งใจไว้ว่าจะทำสถิติ เดินทางเลาะตามขอบแนวชายแดนของประเทศไทย จนทั่วทั้งประเทศ ทริปนี้เป็นทริป สุดท้ายแล้วที่เราทำสถิติเรื่องนี้ สำเร็จครบถ้วน ของภาคเหนือและภาคอีสาน ปีหน้าเราจะลงใต้ และภาคตะวันออกกันครับ จะถึงสามจังหวัดภาคใต้หรือเปล่า เอาไว้พิจารณากันอีกที เมื่อถึงเวลา
ทริปนี้เป็นการเดินทางไปบนภูเขาเกือยทั้งหมด ไปตามความโค้งของถนนบนภูเขาล้วนๆ แผนการเดินทางท่องเที่ยว การพักแรม ส่วนใหญ่จะเป็นการท่องเที่ยวตามยอดดอยเกือบทั้งสิ้น ใช้เวลาสองสัปดาห์ รวมๆแล้วน่าจะมากกว่า ๖,๕๐๐ โค้ง เพราะเราไม่ได้นับทุกโค้ง เราจะนับเอาเฉพาะเส้นทางที่มีตัวเลข ให้เห็นแน่ชัดหรือมีข้อเทียบเคียงได้เท่านั้น แต่ถ้าจะนับกันจริงๆจังๆ น่าถึง ๗,๐๐๐ โค้ง เพราะถนนบางแห่งไม่มีการทำสถิติไว้ ตัวเลขจึงไม่มีปรากฎให้เห็นต้องประมาณขั้นต่ำเอา ขอเรียนให้ทราบเอาไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมมั่ว ว่าผมโม้ นับขาดจะดูดีกว่า
เริ่มเรื่องเลยครับ ขอเชิญท่านผู้อ่านตามผมมาได้เลย ไปกันเตอะเรา ไปแอ่วเมืองเหนือโตยกั๋น

เราออกจากกรุงเทพเวลาตีสาม ของวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ถึงอำเภอแม่สอด ราว ๑๑ โมง ไหนๆก็มาจนถึงที่นี่แล้ว แวะไปดูสะพานมิตรภาพ ไทยพม่ากันหน่อย แล้วถือโอกาสแวะกินข้าวกลางวัน กันซะเลย เป็นการพักรถและพักคนไปด้วย วันนี้ที่นี่ไม่ครึกครื้น คึกคักเลย ไม่ทราบสาเหตุ เห็นมีนักท่องเที่ยวไม่กี่คน มีรถยนต์ที่มีเลขทะเบียนเป็นตัวหนังสือพม่า วิ่งขึ้นล่องข้ามสะพานสวนกันไปมาตลอดเวลา มีชาวพม่ามาชักชวนให้เราข้ามไปเที่ยวทางฝั่งโน้น
ผมนึกอะไรขึ้นมาได้จะทดลองทำดู เคยได้ยินมาว่า สะโร่งที่พม่านุ่งอยู่จะกระตุกไม่หลุด ผมบอกให้เฮียประวิทย์พระเอกของเราให้เตรียมกล้องไว้ให้ดี ผมจะไปกระตุกดู ผมทำทีไปถามโน้นถามนี่ กับชายพม่าคนนั้น ที่กำลังจะหารายได้จากนักท่องเที่ยวอยู่ พอพม่าเผลอ ผมแอบกระตุกปมของสะโร่งชาวพม่าคนนั้นอย่างแรงทันที่ ไม่หลุดครับ จริงอย่างที่เขาว่า แต่ชายพม่าก็รีบคว้าปมสะโร่งไว้อย่างเร็ว ด้วยความตกใจตามสัญชาตญาณ ปากก็หัวเราะไปด้วยความอารมณ์ดี เฮียประวิทย์ก็เป็นเสือปืนไว เก็บภาพไว้ได้ทันเหมือนกัน


สะพานมิตรภาพไทยพม่า ที่แม่สอด

มาจากกรุงเทพถึงแยกเข้าอำเภอแม่สอด ระยะทาง ๔๒๕ กิโลเมตร เป็นทางแยกซ้ายมือ ใช้ถนนหมายเลข ๑๐๕ เข้าไปถึงอำเภอแม่สอดอีก ๘๖ กิโลเมตร จะพบถนนหมายเลข ๑๐๙๐ เป็นทางแยกเข้าสู่อำเภออุ้มผาง เป็นทางเลี่ยงเมือง แยกซ้ายมือ ระยะทาง ๑๖๔กิโลเมตร รวมแล้วระยะทางจากกรุงเทพ – อุ้มผาง ๖๘๙ กิโลเมตร แม่สอดอุ้มผาง มีทางโค้งทั้งหมด ๑,๒๑๙ โค้ง เราเข้าไปเที่ยวที่อุ้มผาง แล้วจะต้องกลับออกมาทางเดิมอีก ไปกลับก็ ๒,๔๓๘ โค้ง เข้าไปแล้ว ผมจะบันทึกรวบรวมจำนวนโค้งไปตลอดทางที่เราผ่านไป ตลอดทั้งทริปนี้ เราเริ่มมีความคิดที่จะนับจำนวนโค้งกันในทริปนี้เอง มีปั้มแก๊สปั้มเดียวในแม่สอด อยู่ตอนต้นๆทางไปอุ้มผาง เติมทั้งแก๊สและน้ำมันเสียให้เต็มอัตราศึก แล้วออกเดินทางเข้าไปสู่ “อุ้มผ่าง” ในทันที่
ระยะแรกๆของทางเข้าอุ้มผาง เป็นทางใหญ่ขนาดสี่เลน ขับสบาย แล้วค่อยๆลดขนาดเล็กลง เป็นสองเลน ผ่านอำเภอพบพระ ระยะทางราว ๓๐ กิโลเมตร ก่อนขึ้นเขา เป็นทางบนพื้นราบ ต่อจากนั้นจะพบกับทางที่ไตร่ขึ้น เขาสูงและชัน ระยะทางราว ๑๐๐ กิโลเมตร ลักษณะของผิวจราจรค่อนข้างดี แต่จะแคบไปหน่อย เป็นทางที่สร้างขึ้นมานานแล้ว เป็นทางแบบเก่า ในสมัยที่เครื่องจักรยังไม่ทันสมัยเหมือนทุกวันนี้ แต่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นแน่นอน ถ้าท่านเคยขับรถผ่านทางสาย แม่ฮ่องสอน - ปาย – เชียงใหม่ เมื่อก่อนที่จะได้รับการพัฒนาเหมือนทุกวันนี้ ท่านคงจะจำกันได้ มันโหดเหมือนทางสายนี้เลยครับ


ลักษณะของทางจะไต่ระดับสูงขึ้นไป แล้วจะหักโค้งเป็นรูปตัว “ยู” แคบๆ แล้ว ไตร่สูงต่อขึ้นไปทันทีเลย เหมือนเราผับผ้านั่นแหละครับ ภาษาคนขับรถเรียกโค้งลักษณะนี้ว่าโค้งตาหวาน รถดี คนขับดีขับแบบช้าๆระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่มีอันตรายหรอกครับ มีรถทั้งตามมาและสวนกลับตลอดเวลา สังเกตุดูหมายเลขทะเบียนรถเอาเถอะครับ ถ้าเป็นรถจังหวัดตากละก็ห้เขาแซงไปแต่โดยดี เพราะเขาเป็นเจ้าถิ่นชำนาญทาง และจะขับรถเร็วมากด้วย ผมปล่อยให้เจ้าถิ่นผู้ชำนาญทาง แซงไปก่อน ไปคิดแข่งขัน ขับไปช้าๆของเราแบบนี้ดีแล้วครับ ไม่ต้องห่วง ไปถึงแน่ๆ ถนนสายนี้ชาวบ้านขนานนามว่าเป็น “ถนนลอยฟ้า” สวยมากครับ เราอดจะหยุดรถเพื่อที่จะลงไปเก็บภาพสวยๆ เอามาฝากท่านไม่ได้ ระหว่างทางมีหมู่บ้านระเหรี่ยง ชาวพม่าพลัดถิ่นหลบหนีภัยสงครามมา ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร อยู่แห่งหนึ่ง


ภาพวิวสวยๆข้างทางไปสู่อำเภออุ้มผาง


หมู่บ้านกระเหรี่ยงผลัดถิ่น หนีภัยสงครามมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาน


ลงจากภูเขาที่มีวิวสวยตลอดเส้นทาง สู่ที่ราบ ก่อนถึงตัวเมือง ระยะทางในราว ๓๐ กิโลเมตร ทางจะเป็นเนินต่ำๆสลับกันไป เราเข้าถึงตัวเมืองอุ้มผาง แผ่นดินดอยลอยฟ้า เวลาราวสี่โมงเย็น บ้านพักของเราหาไม่ยากเลย อยู่ในตัวเมืองนั่นแหละ เราได้รับการต้อนรับอย่างดี จากเจ้าของสถานที่ ขอขอบพระคุณมากครับ เราต้องค้างอยู่ที่นี่สองคืน
เราเข้าที่พักกันเรียบร้อยแล้ว ชวนกันออกไปสำรวจเมืองดีกว่า สอบถามท่านเจ้าของบ้านดูแล้วว่ามีอะไรดีในเมืองนี้บ้าง ถ้าจะไปหาข้อมูล และกินข้าวเย็น ท่านบอกผมว่าไปที่ร้าน “บ้านครูซัน” มีทุกอย่าง ครูซันเป็นปูชนียบุคคน ของเมืองนี้ สร้างคุณงานความดีให้แก่เด็กชาวเขา ชาวดอยไว้มากมาย ถ้าจะกินข้าวเย็นต้องไปกินที่ร้าน “รุ่งนารี” ที่ร้าน รุ่งนารี เห็นมีสายน้ำไหลผ่านลอดใต้สะพาน ชื่อห้วยอุ้มผาง ผมเห็นท่อประปาแตกที่ข้างสะพาน น้ำไหลทิ้ง สงสัยว่าทำไมเขาไม่ซ่อม ได้คำตอบมาว่าที่นี่เขาใช้น้ำประปาภูเขา ไม่ต้องมีมิเตอร์ ค่าใช้น้ำเดือนละ ๒๐ บาทเท่านั้น หินปูนที่จับขาวบริเวณข้างสะพาน เกิดจากน้ำไหลทิ้งมานานแล้ว นี่สิ ตัวก่อเกิดโรคนิ่วในไต น่ากลัวครับ ที่นี่เราพบกับสาวที่มาจากจังหวัดภูเก็ตสามคน เราทำความรู้จักกันด้วยมิตรไมตรี ที่ดีต่อกัน
ท่านบอกผมว่า เมืองนี้มันแคบเล็กนิดเดียว ขับวนไปเรื่อยๆประเดี๋ยวก็หาเจอเองวันนี้เที่ยวแต่ในตัวเมืองก็แล้วกัน เพราะเวลาไม่อำนวย พรุ่งนี้ออกเที่ยวกันตั้งแต่เช้าเลย ไปดูหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น ที่ดอยหัวหมด สายๆหน่อยไป
ล่องแก่งที่ลำน้ำแม่กลอง ใกล้ๆเที่ยงขึ้นฝั่ง แล้วต่อรถไปเที่ยว ที่น้ำตก ”ที่ลอซู” อันมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านตามสวยงาม ติดอันดับโลกของเมืองไทยมีการติดต่อทั้งรถและเรือเอาไว้แล้วครับ



ร้าน “บ้านครูซัน” ที่นี่มีของทุกอย่างให้นักท่องเที่ยว




วันเสาร์ที่๑๔พฤศจิกายน๒๕๕๒

ดูหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น ล่องแก่งลำน้ำแม่กลอง น้ำตกทีลอซู

เมื่อวานเย็นตอนที่ขับรถชมเมือง ผมและเฮียประวิทย์ได้ศึกษาเส้นทางการไปดอยหัวหมดเอาไว้แล้ว เราพร้อมที่จะออกจากที่พักแล้ว ออกเดินทางจากบ้านพักราวตีห้า รีบไปหน่อยจะดีครับ เพราะที่ดอยหัวหมดเรายังไม่เคยไป ไม่รู้เลยว่าเราจะไปเจออุปสักอะไรหรือเปล่า มันจะทำให้เราพลาดการชมพระอาทิตย์ขึ้นได้และที่อุ้มผาง พระอาทิตย์ก็ขึ้นเพียงวันละครั้งเดียวเท่านั้น เราไม่อยากพลาด
เราหาดอยหัวหมดพบได้โดยไม่ยาก ไปตามคำบอกเล่าของคุณสอน เจ้าของรถและเรือที่เราเหมาไว้ คำว่าหัวหมดแปลว่าดอยหัวล้านครับ เป็นยอดดอยเล็กๆพื้นที่นิดเดียว เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทั้งหมดจะต้องขึ้นไปนั่งเบียดกันและหันหน้าไปทางเดียวกัน ตามมุมต่างๆแล้วแต่จะหาได้ เพื่อรอเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ผมและเฮียประวิทย์ขึ้นไปถึงยอดดอยหัวหมด ก่อนใครเลย เพราะตอนที่เราไปถึง ยังไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มไหนมาถึงก่อนเรา มีแต่พวกที่มากางเต้นนอนกันที่นี่ ๓-๔ เต้น พวกเขาก็ยังไม่ตื่น มีแม่ค้าขายกาแฟตั้งโต๊ะอยู่เจ้าหนึ่ง น้ำเดือดแล้ว ร้านนี้เขาขายกาแฟแถมแก้ว ให้ไปเป็นของที่ระลึกด้วยเลยครับ มันเป็นแก้วที่ทำด้วยกระบอกไม้ไผ่ น่ารักดีเจ้าความคิด รถชาติกาแฟก็เดิมๆนั่นแหละครับ มันเป็นกาแฟ ๓ in ๑ ที่คุ้นเคยนั่นแหละครับ
เวลาผ่านไปแบบช้าๆเหมือนเดิมๆที่เคยเป็น แต่ก็ยังคงมืดอยู่ พอมองเห็นได้ลางๆ นักท่องเที่ยวที่พักกันตามแหล่งต่างในอุ้มผาง ค่อยๆทยอยกันมาถึง แล้วขึ้นมาจับจองที่นั่งชมกันบนยอดดอยหัวหมด เวลาผ่านไป แสงเงินแสงทองสีเหลืองส้ม ที่เป็นแสงแรกของยามรุ่งเช้า เริ่มโผล่ขึ้นมาให้เห็นทางทิศตะวันออก ค่อยๆสว่างขึ้นที่ละน้อยๆ ตามเวลาที่ค่อยเคลื่อนไป ต่ำลงมาจากยอดเขาที่กำลังอาบด้วยแสงเงินแสงทอง ไปเหนือยอดไม้ เรามองเห็นเป็นสีขาวลางๆ ตั้งแต่แรกมาถึงแล้ว มันคือปุยหมอกที่ปกคุมทั่วไปทั้งภูเขา มันสว่างขึ้นเห็นเป็นสีขาวนวลๆ คราวนี้เห็นได้ชัดเจนขึ้นปุยหมอกปกคลุมเหนือยอดไม้ กินเนื้อที่แผ่ไพศาลจนสุดลูกหูลูกตา นี่เป็นบรรยากาศที่เห็น ก่อนที่พระอาทิตย์จะโผล่เผยดวง โผล่พ้นยอดเขาขึ้นมา แสงเงินแสงทองกับหมอกหนาสีขาวนวล ที่ปกคลุมไปทั้งขุนเขาจนสุดสายตา ภาพที่เห็นทำให้ยรรยากาศ ในขณะนั้นติดตราตรึงไจ ไว้ในความทรงจำของพวกเรานักท่องเที่ยวทั้งหมด ที่มาเฝ้าคอยชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า พร้อมกันอยู่ที่ยอดดอยหัวหมดในขณะนี้ รวมทั้งบรรยากาศที่มีมิตรไมตรีต่อกันของพวกเรา นักท่องเที่ยวด้วยกัน ผมนัดแนะกับเพื่อนนักท่องเที่ยวไว้แล้วว่า ถ้าหากพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาเมื่อไร ให้ช่วยกันเปล่งเสียงว่า “ทรงพระเจริญ” สามครั้ง แล้วไชโยขึ้นพร้อมๆกัน เพื่อให้มีพลังส่งไปถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงหายจากประชวรโดยเร็ววัน
ถึงเวลาที่พระอาทิตย์ค่อยโผล่ขึ้นมา สาดแสงสว่างแรกของวัน เหนือยอดเขา ผมเป็นต้นเสียงนับ ๑-๒-๓ อย่าที่นัดหมายกันไว้ เสียงของนักท่องเที่ยวช่วยกันเปล่งออกมาว่า “ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ” และติดตามด้วยเสียง “ไชโย ไชโย ไชโย” ขึ้นพร้อมกันดังไปไกลทั่วทั้งขุนเขา พร้อมกับพระอาทิตย์ที่ลอยสูงขึ้นๆ เสียงมิได้หยุดลงเพียงแค่นั้น ยังคงก้องกังวาลต่อเนื่องกันอยู่อีก พร้อมกับแสงของพระอาทิตย์เริ่มแก่กล้าขึ้นตามลำดับ



ตลอดเวลาตั้งแต่แสงเริ่มรำไรๆแล้ว มองไปทางไหน เห็นมีแต่การถ่ายภาพกันตลอดเวลา โฟกัส จะอยู่ที่ยอดเขาตรงที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น ถึงตอนที่พระอาทิตย์สวยที่สุด จนกระทั่งถึงยามสาย ต่างก็ได้เวลาทะยอยกันกลับไปสู่ที่พัก เพื่อที่จะไป ล่องแก่งลำน้ำแม่กลองกันต่อ ในตอนสายของวันนี้



แสงเงินแสงทองขึ้นจับขอบฟ้า ตอนฟ้าเริ่มสาง


มีหมอกอยู่เต็มไปทั่วทั้งหุบเขามองเห็นได้จนสุดสายตา


พระอาทิตย์ขึ้นมาจนเต็มดวงแล้ว เป็นภาพที่ติดตราตรึงใจ






สาวชาวอังกฤษและเพื่อนๆชาวกรุงเทพ


สามสาวงามจากภูเก็ต


ล่องแก่งลำน้ำแม่กลอง

เรากลับมาตั้งหลักกันที่บ้าน เติมพลังงานลงไปในท้องด้วย มาม่าอีกหน่อย แล้วรอเวลาที่รถจะมารับเราสองคนไปล่องแก่งลำน้ำแม่กลอง ก่อนเวลานัดเล็กน้อย คุณสอนเจ้าของทั้งรถและเรือ ก็มารับเราตามที่นัดหมายกันไว้ บนรถบรรทุกเรือยางเป่าลมสำหรับใช้ล่องแก่งมาด้วย เป็นเรือพายไม่มีเครื่องยนต์ พร้อมกับฝีพายประจำเรือสองฝีพาย และยังมีเจ้า ก๊อดลูกชายคุณสอนและนิดหลานสาว ขอไปเที่ยวด้วย รวมแล้วมีหกคน พร้อมแล้วไปกันเลยพวกเรา
รถมาจอดส่งเราที่ท่าน้ำจุดเริ่มต้น ในการล่องแก่ง ที่นั่นไม่ได้มีแต่เรา มีเรือยางและนักท่องเที่ยวมากมาย ชุลมุนเตรียมตัวจะลงเรือไป ล่องแก่งเหมือนเรา กลุ่มของเราไม่ได้มากับกรุ๊ปทัวร์ พอพร้อมก็ออกเรือได้เลย เราต้องสวมเสื้อชูชีพกันทุกคน อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ยกเว้นคนเรือสองคน นายเหม่งเป็นกัปตันนั่งอยู่ท้ายเรือ คอยบังคับทิศทางให้เรือแล่นไปตามล่องน้ำ นายโฟกัส หนุ่นน้อย นั่งอยู่หัวเรือคอยระวังหน้าไม่ให้หัวเรือชนเข้ากับก้อนหิน ที่โผล่อยู่กลางลำน้ำ ฝีพายทั้งสองคนต้องพายเรือไปด้วย แต่ก็ไม่หนักแรงเท่าไรนัก เพราะเป็นการเดินทางล่องไปตามลำน้ำ ที่ไหลเชี่ยวพอสมควร แต่ค่อนข้างจะคตเคี้ยวเพราะมีก้อนหิน ที่โผล่ขึ้นมาอยู่กลางลำน้ำ ต้องใช้ความระมัดระวังมากหน่อย อย่าให้หัวเรือชนหินโสโครก นั่นหมายถึงมันจะทำให้เรือรั่วได้ ถ้าเป็นแผลใหญ่ น่ากลัวว่าจะไปต่อไม่ได้ ต้องสละเรือ แล้วไปอาศัยเรือของนักท่องเที่ยวลำอื่นเดินทางไปต่อ
เมื่อพร้อมเรือของเราก็ออกมาจากท่า เรือมิได้ออกมาแต่เพียงเรือเราลำเดียว ข้างหน้าและข้างหลังยังมีเรือของนักล่องแก่งตามกันมาอีกนับเป็นสิบลำ เสียงเชียรเสียงหัวเราะ และเสียงคุยกัน ดังไปทั่วตลอดทั้งคุ้งน้ำที่ไม่กว้างนัก เรือออกจากท่าล่องลงมาตามลำน้ำได้ไม่นาน สายน้ำก็ไหลหายเข้าไปในหุบเขาที่มีหน้าผาสูงและชันมาก เป็นภูเขาหินปูน จะเห็นว่าหินปูนที่ผสมมากับน้ำ ซึมผ่านทะลุก้อนหินออกมา แล้วติดกับผิวหน้าของหินเป็นสีขาว ปรากฎการนี้เกิดอยู่ตามหน้าผาสูงชัน ให้เราได้เห็นตลอด


ทางที่เรือผ่านไป เรือจะแล่นผ่านไปตามช่องของหน้าผาแคบๆและสูงชันมาก เหมือนอย่างที่เราเคยเห็นในภาพยนต์ มีต้นไม้นาๆพันธุ์ให้เห็นไปตลอดเวลา เป็นป่าที่อดมสมบูรณ์ดีมาก แหงนหน้าขึ้นไปจะเห็นต้นจันผาอายุนับร้อยนับพันปีได้ตลอดทาง ยังมีต้นตาวหรือต้นตาด ต้นไม้ดึกดำบรรด์ ที่มีมากที่สุดก็คือต้นไผ่ เห็นอยู่ตลอดเส้นทาง แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าผืนนี้ ครับนี่คือแหล่งโซ่อาหาร นอกจากนี้ยังมีชีวิตของสรรพสัตว์ให้เห็นอีกด้วย เช่นมีถ้ำค้างคาว รังต่อหัวเสือ และรังผึ่งหลวงที่เกาะติดอยู่กับหน้าผาสูงลิบๆ ได้ยินเสียงร้องของนก ที่ตกใจตอนที่เรือผ่านกลางลำน้ำจะมีต้นไม้น้ำที่ชื่อว่าต้น “ตะไคร้น้ำ” เต็มไปหมด บ้างก็เกิดอยู่กลางน้ำ กลายเป็นเกาะเล็กๆ แบ่งลำน้ำให้แยกออกเป็นสองด้าน ฝีพายทั้งสองต้องใช้ความชำนาญในการจดจำล่องน้ำให้ได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีก้อนหินโผล่อยู่กลางลำน้ำ ตลอดทางที่ต้องผ่านไป บางช่วงน้ำจะไหลเชียวมากกว่าปกติ เป็นเพราะมีหินหลับ จมขวางอยู่ใต้ลำน้ำเป็นแนวยาว เมี่อน้ำไหลมาปะทะแนวก้อนหิน น้ำจะสูงขึ้นแล้วไหลพุ่งลงไป เป็นเหตุให้กระแสน้ำตรงนั้นไหลเร็วขึ้น ตรงนี้แหละที่ยาก นายท้ายเรือจะต้องคัดเรือให้เข้าตรงตำแหน่งล่องน้ำ ให้ได้อย่างแม่นยำ อย่าให้ท้องเรือชนก้อนหินหลับใต้น้ำ ซึ่งจะทำให้เรือรั่วได้ เราสองคนเพลิดเพลินกันธรรมชาติท่ามกลางสองฝั่งของหน้าผาสูง
ธรรมชาตินี่ช่างเป็นนักสร้างสรรอะไรต่อะไรได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมทึ่งในความพอดิบพอดี ของสามสิ่งที่มาอยูในที่เดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ซึ่งหาได้ยากมากๆ ในโลกมนุษย์เรานี้ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เห็นมากับตา ที่ตรงนั้นคนที่พบเห็นเป็นคน
แรก คือชาวกระเหรียงบ้านปะละทะ ให้ชื่อมันว่า “ทีลอจ่อ” เป็นภาษาชาวชนเผ่า แปลว่าน้ำที่ตกลงมาเป็นแนวดิ่ง (เป็นข้อมูลที่เล่าต่อๆกันมา)
เรือของเราล่องตามกระแสน้ำลงมาเรื่อยๆ แสงแดดก็เริ่มแก่กล้าขึ้น มองไปเบื้องหน้า เห็นสายน้ำเล็กๆหลายสาย ไหลตกดิ่งลงมาจากหน้าผาเบื้องบน กระทบกับหินผาระลงมาเบื้องล่าง แตกกระเซนเป็นฝอยไปทั่ว คิดอยู่ในใจว่าประเดี๋ยวเราจะต้องผ่านที่ตรงนั้น เราต้องเปียกแน่ๆ ก็แค่ทำใจไว้ไ ม่ได้คิดอะไรมาก เรือของเราแล่นตรงไปเบื้องหน้าตามกระแสน้ำ ใกล้เข้าไปอีก พอได้ระยะพอเหมาะ คราวนี้ภาพที่เห็นเมื่อครู่ มันไม่ได้มีแต่เพียงสายน้ำตก ที่แตกกระเซนเป็นฝอย ธรรมดาอย่างเดิมเสียแล้ว เจ้าก๊อตร้องบอกให้เราดูให้ดี ปรากฎว่าภาพที่ละอองม่านน้ำตก มีรุ้งกินน้ำส่องประกายระยิบระยับ เป็นเส้นโค้งครึ่งวงกลมเจ็ดสีสวยอัศจรรย์ประทับใจยิ่งนัก ยิ่งใกล้เข้าไปมาก วงโค้งของรุ้งกินน้ำก็ยิ่งยาวและใหญ่มากขึ้น กระแสน้ำพัดแรงไม่มีเวลาให้เรืออ้อยอิ่งได้นานนัก ชั่วเวลาแววเดียว ไม่ให้เวลาเราได้ตั้งท่าถ่ายรูปอย่างบรรจง ยังโชคดีที่กล้องพร้อมอยู่ในมือแล้ว ผมกดแชดเตอร์รัว ส่งเดชตามเวรตามกรรมไปก่อน จนกระทั่งเรือแล่นเลยผ่านปรากฎการน้ำตก “สายรุ้ง” พ้นไป โชคดีที่ได้มาตั้งสามภาพ
ก่อนถึงน้ำตกสายรุ้ง คนเรือก็ไม่ได้บอกเราให้เตรียมตัวเสียด้วย แต่โชดเข้าข้าง ที่ยังได้ภาพสวยๆมา อะไรหรือจะสรรสร้างได้เหมาะกัน ได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้ เป็นอย่างนี้ครับ เมื่อมีน้ำตกลงมาจากที่สูงกระจายเป็นฝอย ที่ตรงนั้นมีแสงอาทิตย์ส่องลงมากระทบ เมื่อเรามองมาจากมุมมองที่หันหลังให้พระอาทิตย์ จะเกิดเป็นรุ่งกินน้ำให้เราเห็นแน่นอน ใช่ครับมันเกิดเป็นรุ้งกินน้ำอยู่กลางลำน้ำแม่กลอง อยู่สูงเหนือหัวเราเพียงแค่มือเอื้อมถึงเท่านั้นเองครับ แล้วที่สำคัญมันเกิดขึ้นในประเทศไทย อันเป็นที่รักยิ่งของเรานี่เอง ต่อมาน้ำตกแห่งนี้ได้ชื่อใหม่ว่า “น้ำตกสายรุ้ง” สมกับปรากฎการแสนมหัศจรรย์ของมัน







น้ำตกทีลอจ่อ หรือน้ำตกสายรุ้ง


มีเรื่องขำๆเกิดขึ้นอย่างหนึ่งในขณะล่องเรืออยู่ตามลำน้ำ หลังจากเรือแล่นผ่านน้ำตก ทีลอจ่อ หรือน้ำตกสายรุ้งมาได้สักหน่อย ผ่านบ่อน้ำพุร้อนมาแล้ว ในช่วงนั้นแม่น้ำมีก้อนหินโผล่ขึ้นมาหนาแน่น น้ำก็ไหลแรง ทำให้บังคับเรือได้ยาก มีเหตุเกิดขึ้นครับ มีเรือลำหนึ่งลอยสะเปะสะปะมา เพราะบังคับเรือไม่อยู่ กำลังผ่านเข้ามาใกล้เรือของเรา เจ้าเหม่งนายท้ายเรือเบนหัวเรือหลบให้เรือลำนั้นแซงไปก่อน แต่หลบกันไม่พ้น แคมเรือเกิดปะทะกันเข้าอย่างแรง (เสียงใครคนหนึ่งพูดติดตลกขึ้นว่า “เรียกประกัน”) ต่างคนต่างเสียหลัก กระแสน้ำก็เชียว ทำให้เรือของเราพุ่งเข้าชนก้อนหินกลางน้ำ ที่อยู่ทางซ้ายมืออย่างแรง นายโฟกัสนั่งทำหน้าที่อยู่ที่หัวเรือ กระเด็นตามแรงปะทะของเรือกับก้อนหิน ตกลงไปในน้ำห่างจากเรือหลายเมตร ลงไปลอยคออยู่ในน้ำ ที่บริเวณนั้นน้ำเชี่ยวและลึกมาก มีเสียงดังมาจากเรือที่ตามมาข้างหลังว่า “โยนเสื้อชูชีพลงไปให้”ทำให้พวกเราหายจากตกตลึงได้สติ รีบโยนเสื้อชูชีพลงไปให้นาย โฟกัส นายโฟกัสรับเอาไว้ได้ แล้วสวมใส่มัน ก่อนที่จะว่ายกลับมาขึ้นเรือ แล้วเรื่องตื่นเต้นให้พวกเราได้หัวเราะท้องแข็งกัน จบลงแบบขำๆ แล้วเหตุการก็กลับเข้าสู่ปกติเหมือนเดิม มีเรือที่ผ่านมาข้างๆแล้วแซงเรือของเราไป ร้องบอกว่า “เรือรั่วๆ” เจ้าก๊อตลูกชายนายสอน รีบก้มลงไปมองที่ข้างเรือ เห็นฟองอากาศพุ่งปุ๊ๆขึ้นมาจากใต้น้ำ เป็นลมที่เกิดจากเรือรั่ว ผมหายสงสัยแล้วว่าที่เห็นมีเครื่องสูบลม ติดมากับเรื่อด้วย เขาเอาติดมาทำอะไร ได้คำตอบแล้วไม่ต้องมีใครบอก เหตุทำนองนี้เกิดขึ้นได้บ่อยๆทุกวันแหละครับ แล้วการปะซ่อมรอยรั่วก็ง่ายมาก แผลใหญ่ไม่ถึงเซนปะกันเองได้เลยครับ ไม่ต้องส่งเข้าศูนย์ซ่อม ไม่ต้องเรียกประกันแล้วเรือก็มาจอดที่ท่าน้ำจุดสุดท้ายของการเดินทางล่องแก่งต้นน้ำแม่กลอง



ต่อหัวเสือสร้างรัง อยู่บนหน้าผาสูง


ต้นจันผาเก่าแก่คำนวณอายุไม่ถูก


ความสวยงามของลำน้ำแม่กลองต้น


ตะไคร้น้ำ ขว้างทางอยู่กลางน้ำ


น้ำตก “ทีลอซู”

นายสอน พ่อของเจ้าก๊อด เอารถมาจอดรอเราอยู่แล้ว จุดนี้ห่างจากทางแยกเข้าสู่น้ำตก “ทีลอซู” ๖ กิโลเมตร เป็นถนนหมายเลข ๑๑๖๗ เป็นเส้นทางเดียวกันกับทางที่เราจะเข้าไปที่ตัวน้ำตกได้เลย จากจุดนี้ไปถึงตัวน้ำตกอีกเพียง ๑๘ กิโลเมตร เท่า นั้น พวกเรามาท่องเที่ยวในฤดูนี้ เป็นหน้าแล้ง ทางในป่าก็แห้งไปด้วย ฝนไม่ตกหนักมานานแล้ว รถเข้าถึงตัวน้ำตกได้เลย สบายมากกว่าเมื่อก่อนและในฤดูฝนมาก ที่ต้องล่องเรือมาจอดไว้ แล้วต้องเดินเท้าเข้าต่อไปอีกสองวัน กับหนึ่งคืนแต่ท่านบอกว่าคุ้มมาก เพราะที่ตัวน้ำตกจะมีน้ำมาก ได้เห็นน้ำตกเป็นอีกภาพหนึ่ง ที่มีภาพสวยงามมากกว่าในฤดูนี้
นายสอนเจ้าของเรือเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อก่อนน้ำตก “ทีลอซู”สวยกว่านี้มาก ก่อนเกิด สึนามิ เล็กน้อย ที่ชั้นบนสุดของน้ำตก เกิดพังทะลายลง ตัวน้ำตกเสียหายไปมาก ทำให้น้ำเปลี่ยนเส้นทาง ความสวยก็ลดลงไปด้วย น่าเสียดายมาก ไม่น่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เลย
เก็บเรือยางโดยปล่อยเอาลมออก แล้วพับให้เล็กลง เอาขึ้นรถ ขับเลี้ยวซ้ายไปตามทางฝุ่นที่มีแต่หลุมแต่บ่อ วิ่งลึกเข้าไปอีก ๑๘ กิโลเมตร จากทางทั้งหมด ๒๔ กิโลเมตร มาจอดที่จุดสุดท้าย คือที่ทำการ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จากจุดนี้นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปซื้อบัตรเข้าชม ไม่เว้นแม้แต่ สว. (สูงวัย) อย่างเราสองคน (งก) และยังต้องเดินเข้าไปที่ตัวน้ำตกอีก ๑.๕ กิโลเมตร กินข้าวกล่องกันก่อน ถ่ายรูปเก็บข้อมูลกันสามสี่รูป แล้วรวมตัวกันเดินเข้าไปสู่ตัวน้ำตก มันจะเป็นอย่างไรหนอ จะสวย
สมคำเล่าลือหรือเปล่าหนอ คิดภาพไม่ออก





ทางที่ยังเป็นฝุ่น มีหลุมขนาดใหญ่ แต่ก็บุกเข้าไปได้ ถ้ารถดีพอ


ทางเดินเข้าสู่น้ำตก ทีลอซู วันนี้เดินบนแผ่นพื้นคอนกรีตแล้ว


เต๊นท์พักแรมนับร้อยหลังของนักท่องเที่ยว


น้ำตก “ที่ลอซู” อยู่ใน “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผ่าง” ยังมิได้ขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานแห่งชาติ


น้ำตกทีลอซู
เป็นน้ำตกภูเขาหินปูน เกิดจากลำห้วย “กล้อทอ” ไหลตกจากช่องเขาขาด ตั้งอยู่บนความสูง จากระดับน้ำทะเล ๙๐๐ เมตร ขนาดกว้างของน้ำตกประมาณ ๕ สนามฟุตบอล และสูงประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เมตร ไหลลดหลั่นเป็นชั้นๆ มีความสวยติดอันดับโลก แวดล้อมด้วยป่าดงดิบสมบูรณ์

วันนี้การเดินเข้าไปชมน้ำตก ทีลอซู ไม่ยากลำบากแล้ว นักท่องเที่ยวได้เดินบนแผ่นพื้นที่ทำด้วย คอนกรีต ปูบนคานเดินกันได้อย่างสบาย แถมยังออกแบบไว้ไม่สูงชันอีกด้วย ระยะทางเดินแค่เพียง ๑.๕ กิโลเมตรเท่านั้นเอง แถมตลอดทางยังมีไม้นาๆพันธุ์ให้ชมพร้อมคำบรรยายอีกด้วย ที่เห็นมากที่สุดก็คือ ต้นยางขนาดใหญ่สูงมากๆ หลายสิบต้น ให้เห็น เราจะเดินผ่านมันไปตลอดเส้นทาง ทำให้เรารู้สึกได้จริงว่าเรากำลังเดินอยู่ในป่าใหญ่ดึกดำบรรด์ ต้นตาวหรือต้นตาด ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมบรรยากาศให้สมจริง ย้อนยุคกลับไปในยุค “จูราสสิก” เพราะมันเป็นต้นไม้ที่มีเกิดขึ้นในยุคนั้นจริงๆ


ต้นอาหาร
ไผ่จัดเป็นพืชตระกูลหญ้าชนิดหนึ่ง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นพืชชนิดพันธุ์หนี่ง ที่สามารถบอกประเภทของป่าเบญจพรรณ อีกทั้งมีประโยชน์มากมายต่อมวลมนุษย์และสัตว์ รากฝอยสามารถอุ้มน้ำและยึดเกาะหน้าดินได้เป็นอย่างดี ลำต้น ใบ และหน่อ เป็นอาหารของ ช้างและหมูป่า หน่อไผ่นำมาปรุงอาหารชั้นเลิศสำหรับมนุษย์

ป่าเบญจพรรณ
ป่าชนิดนี้จะพบในบริเวณตอนกลางของพื้นที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้ ซึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลในการเกิดป่าลักษณะนี้ ประกอบด้วยความลึกชองดิน ช่วงความแห้งแล้งความลาดชันของพันที่ และระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล
กลุ่มของเราเข้าไปน้ำตก ทีลอซู ด้วยกันทั้งหมด ยกเว้นนายสอน เราออกเดินรวมกลุ่มกันเข้าไปในป่าใหญ่ที่มีผู้คนมากมาย เดินเข้าเดินออกสวนกันตลอดเวลา ผ่านด่านตรวจบัตร แล้วจึงเข้าไปได้ สำหรับคนพื้นที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเข้าชม เดินกันไปบนทางเดินปูด้วยแผ่นพื้นคอนกรีต ที่วางอยู่บนคานคอนกรีตเช่นกัน มีทั้งขึ้นๆลงๆตามพื้นดินเดิมที่เป็นธรรมชาติ แต่ก็มีการตบแต่งให้ไม่สูงมากเกินไปนัก เพื่อนักท่องเที่ยวจะได้เดินกันสบายๆไม่เหนื่อยมากเกินไปนัก เดินไปฟังเสียงน้ำตกไหลไป เพลินๆดี ไม่นานก็ผ่านน้ำตกชั้นที่หนึ่ง เข้าสูงตัวน้ำตกชั้นที่สอง ซึ่งเป็นชั้นที่สวยอย่างมากๆ จริงๆครับ ระยะทาง ๑.๕ กิโลเมตร เดินกันไปคุยกันไป ฟังเสียงน้ำตกไปด้วย ยังไม่ทันเหนื่อยเลยก็ถึงแล้ว
ที่นั่นเป็นลานคอนกรีตกว้างๆ และที่นี่แหละที่ผมและใครๆจะเห็นน้ำตก “ทีลอซู” เต็มตาเป็นครั้งแรก ผมตะลึงในความยิ่งใหญ่และงดงามอลังการณ์ของมันยิ่งนัก ทำไมมันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ มีสายน้ำตกหลายสาย ทั้งเล็กและใหญ่แยกกันไหลตกลงมาเป็นฝอยเป็นฟอง เป็นชั้นๆ ผสมกลมกลืนกันได้อย่างลงตัว มองแล้วเพลินตา เป็นสุขใจ ทึ่งในความสวยแบบไม่เคยเห็นน้ำตกที่ไหนสวยได้ขนาดนี้โอ..........สวรรค์สรรสร้าง





ยิ่งใหญ่มาก มีหลายๆอย่างของความเป็นน้ำตก ที่มีน้ำตกตั้งหลายชั้น มาซ้อนรวมกันอยู่ ให้กลายเป็นน้ำตกแห่งเดียว สูงตั้ง ๓๐๐ เมตรที่ยิ่งใหญ่เกินใครๆ จากจุดที่สูงที่สุด ลดหลั่นกันลงมามีถึงห้าชั้น กระจายกันเต็มความกว้างของหน้าผา บางชั้นกว้างกว่าอีกชั้นหนึ่ง ที่อยู่ถัดลงมา แล้วชั้นต่อมาก็กลับมีน้ำจำนวนมากขึ้นมาอีก แสดงว่าตามชั้นต่างๆมีแอ่งพักน้ำและล่องน้ำไหลอยู่ทั่วไป มันน่าจะมีหน้ากว้างมากๆ ตามกาลเวลานานแสนนาน ที่หินถูกน้ำกัดเซาะ ตบแต่งให้งดงามเอาไว้ น้ำตกลงมาจากที่สูง กระจายเป็นฝอย ตั้งแต่ชั้นสูงสุด ผ่านลงมาทีละชั้น จนเดินทางมาถึงแอ่งฐานน้ำตกชั้นต่ำสุด เป็นแอ่งใหญ่และลึกมาก หาที่ยืนที่ขอบแอ่งก็ยาก ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยกล้าลงเล่นน้ำ มีบ้างก็เล่นกัน ถ่ายรูปกันที่ขอบๆแอ่งฐานน้ำตกนั่นเองนั่นเอง รอบๆขอบแอ่ง มีแต่ก้อนหินก้อนใหญ่ๆเต็มไปเกือบตลอดขอบแอ่ง เดินก็ลำบาก น่ากลัวจะพลาดลื่นตกลงไป และที่เป็นอุปสักมากที่สุดก็คือ น้ำตกแห่งนี้เย็นมาก เล่นได้ไม่นานก็หนาวแล้ว ผมลงไปดำผุดดำว่ายได้แค่รอบเดียวก็อยากจะขึ้นแล้ว เพราะความกลัวและหนาว บอกให้เจ้ากก๊อตถ่ายรูปให้ เอาหลายๆรูป ไม่ต้องกลัวเปลือง ยุคนี้เป็นยุค ดิจิตอล ทุ่มทุนถ่ายทำกันเต็มที่เลย ถึงไม่ได้เล่นน้ำให้จุใจ แต่แค่นี้นักท่องเที่ยวก็อิ่มในความสวยที่ยิ่งใหญ่มากๆ ของ “ที่ลอซู”แล้ว ผมว่าในความสวย มันแขวงไว้ด้วยความน่ากลัวด้วยครับ น้ำในน้ำตกแห่งนี้ เป็นอีกสายหนึ่งที่ไหลไปรวมกันกับลำน้ำแม่กลอง ทำให้มีน้ำเพิ่มจำนวนมากขึ้น กลายเป็นแม่น้ำแม่กลองที่ยิ่งใหญ่ ผ่านประเทศไทยในหลายจังหวัด



ถึงน้ำตกชั้นแรกก่อนครับ ที่ตรงนี้เล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย




นักท่องเที่ยวสูงวัย หน้าตาดี แอ๊คกันสุดเหวี่ยง


อีกมุมหนึ่งที่สวยมากของ ทีลอซู


แอ่งฐานน้ำตกเป็นมุมหนึ่งพอจะมีที่ให้ลงเล่นน้ำที่เย็นเฉียบได้


ต้นตาดหรือต้นตาว เป็นต้นไม้ดึกดำบรรพ์


โพรงของต้นยางที่ชาวบ้านเจาะเอาไว้เอาน้ำยาง


ผมเกิดมามาอายุก็ปูนนี้แล้ว เห็นน้ำตก น้ำแก่งมาก็มากมาย ยังไม่เคยเห็นน้ำตกที่ไหนสวยได้ถึงขนาดนี้ สวยสมจริงดังคำเล่าลือ สมแล้วที่ติดอันดับต้นๆของน้ำตกโลก มันทั้งสวยทั้งยิ่งใหญ่ จนไม่ต้องหาคำบรรยายมาเปรียบเปรย ผมบอกได้เท่านี้ เท่านั้นครับ ถ้าท่านมีโอกาสสักครั้งหนึ่งในชึวิต ที่จะไปเที่ยวน้ำตก ผมขอแนะนำให้ดิคถึงน้ำตกที่ลอซูแห่งนี้ครับ ขอบอกเอาไว้อย่างหนึ่งว่า ถึงแม้ว่าน้ำตกทีลอซุ จะมีความสวยยิ่งใหญ่สักเพียงใด ที่นี่ไม่เหมาะกับการลงเล่นน้ำนะครับ เพราะที่แอ่งฐานน้ำจะมีน้ำลึกและหนาวเย็นมาก และตามโขดหินก็ไม่เอื้ออำนวยให้ปีนป่ายขึ้นไปด้วยมันจะเกิดอันตรายได้โดยง่าย



วันจันทร์ที่๑๖ พฤศจิกายน๒๕๕๒
สาวน้อยชาวป่า “ดอกบัวตอง”

วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน๒๕๕๒ เป็นวันเดินทางอย่างหนักของเรา ออกจากอุ้มผาง ตั้งแต่ดึก มากินข้าวเช้าที่อำเภอแม่สอด แล้วออกเดินทางต่อกันเลย เป้าหมายของเราคือ อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะทาง ๓๔๘ กิโลเมตร เราจะไปดู “ทุ่งดอกบัวตอง” บนภูเขากัน เราตั้งใจจะใช้เส้นทาง ถนนหมายเลข ๑๐๕ ซึ่งเป็นถนนเรียบชายแดนพม่าไปถึง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะทาง๔๑๔ กิโลเมตรเป็นทางภูเขาเสียส่วนใหญ่ ผิวจราจรดีมากกว่า ๘๐ % ของเส้นทางทั้งหมด สำหรับทางโค้งแล้วไม่แพ้ถนนหมายเลข ๑๐๙ ทางสาย แม่ฮ่องสอน-แม่สะเรียง-ชียงใหม่ ซึ่งมีโค้ง ๑๘๖๔ โค้ง จะน้อยกว่าก็คงจะไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมค้นหาจากอินเตอร์เน็ทแล้ว ไม่มีใครนับเอาไว้ เอาเป็นว่าเราคิดเอาน้อยไว้ก่อนก็แล้วกัน คิดสัก ๑,๔๐๐ โค้งก็พอครับ เอามาบบวกรวมกับทางโค้งของอุ้มผางไปกลับ ๒,๔๓๘ โค้ง รวมแล้วได้ ๓,๘๓๘ โค้ง เส้นทางหมายเลข ๑๐๕ ไปอำเภอขุนยวมยังไม่ได้รับการปรับปรุง ให้เป็นทางแบบใหม่ทันสมัย ที่มีตอนโค้งกว้างออกและเอียงรับแรงเหวียงของรถได้ดี มันยังคงเป็นทางที่ออกแบบก่อสร้างใช้งานมานานแล้ว เช่นเดียวกับทางสายที่เราไปอุ้มผาง เราผ่านอำเภอท่าลองยาง อำเภอสบเมย อำเภอแม่สะเรียง และก็ถึงอำเภอขุนยวม เป้าหมายสุดท้ายของวันนี้ คือวันที่ ๑๕พฤศจิกายน
สรุปแล้วเอาเป็นว่าเราสองคนมาถึงอำเภอขุนยวมจนได้ เราใช้เวลาเดินทางทั้งวัน รวม ๑๓ ชั่วโมง มาถึงจุดหมาย ก็เมื่อไกล้จะได้เวลาจะห้าโมงเย็นแล้ว เราเข้าที่พักที่จองเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ออกไปวนดูเมืองกันจนทั่ว ใช้เวลาไปหน่อยเดียวก็วนรอบแล้ว เพราะเมืองมันเล็กนิดเดียว อำเภอขุนยวมที่ผมเห็นในวันนี้ ความเจริญต่างไปจากขุนยวมที่ผมเห็นครั้งแรกเมื่อ ๒๐ กว่าปี่ก่อนมาก วันนั้น มีตัวตลาดเล็กนิดเดียว มีบ้านไม่กี่หลัง มีโรงหนังล้อมด้วยสังกะสีอยู่ด้วย ผมยังจำได้ ถนนผ่านกลางเมืองก็เป็นถนนเก่าแก่ ขับรถประเดี๋ยวเดียวก็สุดตลาดแล้ว วันนั้นผมมาที่นี่ก็ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน กับการมาในวันนี้ คือมาชมดอกบัวตอง สาวน้อยชาวป่า ที่ผมหลงไหลตั้งแต่แรกเห็นในวันนั้น และยังคงรักและหลงไหลมาจนถึงวันนี้ ในชีวิตนี้ผมคงไม่มีวันลืมเธอได้จริงๆ ,,,,,,,,,แม่สาวชาวป่าผู้น่ารักและน่าหลงไหล
เช้าวันนี้ เป็นเช้าที่คึกคักครึกครื้นมาก เพราะเป็นวันที่ผมรอคอยมานานแล้ว ที่จะได้กลับมาเยือน สาวชาวป่า ชื่อบัวตอง
วันนี้เรามีอาหารเช้าแล้ว เพราะเขาดิดรวมกับค่าที่พัก สะดวกสบายดี ไม่ต้องคิดว่าเช้านี้จะไปกินมื้อเช้าที่ไหน ไม่ต้องรีบร้อน วันนี้ไม่มีอะไรมาก อยู่ที่ป่าบัวตองกันทั้งวันก็ไดั ไม่มีแผนการเดินทาง เพราะเรายังคงค้างที่เดิมอีกหนึ่งคืน พร้อมแล้วออกเดินทางได้เลย ไม่ต้องถามทางจากใครเลย เพราะผมยังจำทางไปหาแม่สาวบัวตองได้เป็นอย่างดี เลี้ยวเข้าถนนสาย ขุนยวม - แม่แจ่ม – เชียงใหม่ ไปได้ ๖ กิโลเมตร มีทางแยกซ้ายมือ หมายเลข ๑๒๖๓ ถึงทุ่งบัวตอง ๑๔ กิโลเมตร ถึงน้ำตกแม่สุรินทร์ ๓๗ กิโลเมตร เลี้ยวเข้าไปได้เลยครับ ขับไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่กิโลเมตรที่สามแล้ว เราจะเห็นดอกบัวตองสีเหลืองทอง บานเบ่งสะพรั่ง เต็มไปตลอดทั้งสองข้างทาง เป็นการเริ่มโหมโรง ต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่แวะเข้ามาเที่ยวชม ขับรถเข้าไปเรื่อยๆ ทางตอนไหนที่เป็นเนินเขาสูง มองออกไปได้ไกลสุดสายตา ก็จะเห็นสีเหลืองทองของดอกบัวตองบานเบ่งไปตลอดทั้งขุนเขา ดินแดนนี้ ในยามนี้เป็นอณาจักรสีเหลืองทองของดอกบัวตอง ที่ไม่มีใครสามารถนับจำนวนได้ สวยงามมากๆ จนบรรยายไม่ถูก ดอยแม่อูคอ





ก่อนถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ๗ กิโลเมตร รถเราต้องแล่นผ่านดงของดอกบัวตองไปตลอดทาง


ยามนี้ ถ้าท่านมาถึงแล้ว คิดว่าที่นี่คือเมืองสวรรค์ของท่านละก็ คิดได้เลย เพราะมันใช่จริงๆ มันใช่ตั้งแต่ท่านย่างเหยียบเข้ามาก้าวแรกๆแล้ว ดินแดนของ “ดอกบัวตอง” สวรรค์ที่สามารถสัมผัสได้จริง สถานที่ได้รับการตกแต่งอย่าลงตัวแล้วในวันนี้
ขับต่อเข้าไปเรื่อยๆช้าๆ ชมดอกบัวตองที่เหลืองอะร่ามข้างทางไปพร่าง แวะลงไปเยี่ยมชาวเขาที่เพิงขายของไปพร่างๆก่อนก็ได้ ตรงกิโลเมตรที่ ๗ มีของที่ระลึก และพืชผลทางเกษตรจำหน่ายมากมาย
ดอกบัวตองบานพร้อมกัน ไปทั่วทั้งขุนเขากว้างใหญ่



ดอกบัวตองบานอยู่บนภูเขาในที่ดินนับสี่พันไร่


เราถูกโอบล้อมเอาไว้ด้วยวงแขนสีเหลือง


ขับรถออกจากเพิงขายของๆพวกชาวเขาแล้วตรงไปข้างหน้า ตลอดทั้งสองข้างทางอันยาวเหยียด ตลอดทั้ง ๗ กิโลเมตรหลัง ยังคงเต็มไปด้วยสีเหลืองทองของดอกบัวตอง ซึ่งหนาแน่นมากกว่าเดิมอีก งามเหลือเกิน แม่สาวน้องบัวตองของผม ความงามนี้แหละที่ทำให้ผมต้องย้อนกลับมาที่นี่อีก ปีแล้วปีเล่า ผมขับรถมาจอดจุดที่ทำการวนอุทยาน ตั้งโต๊ะรักษาการอยู่ถึงแล้วครับ ที่ตรงนี้แหละครับที่ใครๆต้องการมาชม มาสัมผัสได้จริงด้วยมือและสายตา กับความสวยงามบนภูเขาสีทอง ผมหาที่จอดรถได้แล้ว ลงไปเดินสัมผัสกันด้วยมือของเรา แตะต้องให้ไกล้ๆเลย แต่ห้ามเด็ดนะครับ เอาแค่ดอมดมเชยชมก็พอ
พื้นที่อันกว้างใหญ่ตรงนี้เป็นที่เอียงลาดของไหล่เขา จากยอดเขาลงมาถึงถนน และเลยจากถนนลงไปจนสุดสายตา เมื่อมองรวมๆกันแล้วมันจะกว้างใหญ่มาก ในยามนี้มันเต็มไปด้วยดอกบัวตองเหลืองอร่ามเต็มพื้นที่ทุกๆตารางนิ้ว ใครเล่าที่ได้มาเห็นแล้วจะไม่หลงไหล กับความงดงามตามธรรมชาติของมัน เบื้องบนยอดเขาซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเทพ ที่ทรงทรงกรุณาโปรดเกล้ามาเยือน มีบันไดทางขึ้น ลงได้อย่างสดวก เราสองคนเดินกันไปคุยกันไป ถ่ายรูปไปด้วย พักเดียวก็ถึง เหนื่อยเอาการที่เดียว แต่เราก็ขึ้นไปถึงที่ตรงนั้นจนได้ ด้วยความภาคภูมิใจ ว่าครั้งหนึ่งเราได้ขึ้นไปถ่ายรูป ตรงจุดที่สูงสุดของทุ่งบัวตองมาแล้ว และตั้งใจว่าจะมาเยือนมันอีก ที่นั่นมีมุมให้เลือกถ่ายรูปได้ทุกมุมเลย ไม่ว่าจะหันหน้ากล้องไปทางไหน ที่ตรงนั้นที่เดียวผมถ่ารูปเสียไม่ต่ำกว่า ๓๐ รูป



รูปถ่ายตรงที่ยกพื้นสูง ถ่ายย้อนกลับขึ้นไปบนภูเขา


รูปที่ถ่ายจากยอดเขาสูงลงมาสู่เบื้องล่าง


ลงจากภูเขาด้วยความอิ่มในรูปรส ของดอกบัวตอง จนล้นอก เราเดินกันมาตรงจุดที่เป็นยกพื้น เขายกให้สูงขึ้นเพื่อจะให้นักท่องเที่ยงวมองเห็นไปได้กว้างไกล มองเห็นได้ทั่วทั้งหุบเขา ที่ตรงนี้เป็นจุดที่สวยงามที่สุดของทุ่งบัวตองแห่งนี้ ขณะนั้นยังไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก แล้วยังไม่ใช่วันหยุดและก็ยังเช้าอยู่อีกด้วย ปลอดโปร่งดีมากครับ ไม่มีใครเข้ามาเกะกะมุมกล้อง ร่วมอยู่ในถาพถ่ายของเรา เป็นโอกาสดีแล้ว ถ่ายรูปเสียให้ฉ่ำปอด
ทุ่งบัวตอง...........หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันลือชื่อ ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน กรมป่าไม้ได้ประกาศให้เป็นวนอุทยานทุ่งบัวตอง เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๒ เนื้อที่ ๔,๔๓๗ ไร่ ส่วนพื้นที่อีก ๕๑๕ ไร่ โดยให้อยู่ในการดูแลของสำนักงานป่าไม้ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อย่างเข้าฤดูหนาวของทุกปี นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ต่างหลังไหลเข้ามาเพื่อต้องการที่จะสัมผัสความงามของคอกบัวตอง “ในเทศกาลดอกบัวตองบานบนดอยแม่อูคอ” ท้องที่ตำบลแม่อูคอ อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในห้วงระยะเดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคมของทุกปี
ดอกบัวตองเป็นพันธุ์ไม้ต่างประเทศ มีกลีบของดอก ๑๓ กลีบ ไม่มีกลิ่น สีเหลืองเข้ม จะบานทนทานได้หลายวัน มีถิ่นกำเหนิดที่เม็กซิโก และอเมริกากลาง ออกดอกสีเหลืองอร่ามแซมสลับกับต้นสนสามใบในป่าธรรมชาติ โดยรอบทุ่งบัวตอง อยู่ในพื้นที่สูง ประมาณ ๒,๖๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยนักท่องเที่ยวบางท่าน ได้ขึ้นไปพักแรม เพื่อจะได้อยู่ในที่สงบเงียบ ท่ามกลางแสงดาวในตอนกลางคืน และทะเลหมอกในยามเช้า
ทุ่งดอกบัวตองในวันนี้ ได้พัฒนาไปไกลกว่าเมื่อวันแรกที่ผมมาเห็นมากนัก ในวันนั้นมันกระจัดกระจ่ายกันอยู่ไปทั่วทิศทาง ไม่เป็นระเบียบเหมือนวันนี้ ซึ่งเข้าที่เ ข้าทางและเข้าท่าด้วยครับ ขอชมเชย ท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง




กรุณาติดตาม
"ประมาณว่า ๖,๕๐๐ โค้ง ยังน้อยไป" ตอนกลาง (แม่ฮ่องสอน, ทะเลสาบงามปางอุ๋ง, หมู่บ้านรักไทย)
และ
"ประมาณว่า ๖,๕๐๐ โค้ง ยังน้อยไป" ตอนจบ (ปาย, ดอยอ่างขาง, ดอยห่มปก, ดอยกาดผี)
ต่อนะครับ


Create Date : 10 พฤษภาคม 2553
Last Update : 11 พฤษภาคม 2553 3:50:42 น. 2 comments
Counter : 2677 Pageviews.

 
น่าไปเที่ยวจังค่ะฝากเว็บท่องเที่ยวหน่อยนะค่ะสถานที่ท่องเที่ยว


โดย: Attractions (loveyoupantip ) วันที่: 25 กรกฎาคม 2554 เวลา:1:11:55 น.  

 
แนะนำเว็บท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม


โดย: attractions (loveyoupantip ) วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:3:49:21 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ChickenWoods
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวเองก่อน ผมชื่อไก่ครับ เคยเป็นนายกเทศมนตรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี มาก่อน

วันนี้อายุมากแล้ว หาเรื่องดีๆในชีวิตทำดีกว่า ผมชอบร้องเพลงเก่าๆ ทั้งไทยและเทศ ชอบขับรถท่องเที่ยว ชอบพูดให้คนฟังหัวเราะ และมาวันนี้ชอบเขียนหนังสือ เขียนจากที่ไปเที่ยว แล้วนำมาเขียนเล่าให้ฟัง และที่สำคัญ เป็นพ่อหม้ายครับ

blog นี้อยากจะเอาไว้เผยแพร่บันทึกการเดินทางที่ได้เขียนไว้แบบออนไลน์ได้ จากที่เคยใช้วิธีปรินท์ใส่กระดาษหรือไรท์ซีดีส่งให้เพื่อนร่วมเดินทางและผู้สนใจได้อ่านกัน จะทยอยเรียบเรียงเอาเรื่องเก่าและใหม่มาลงเรื่อยๆครับ
Friends' blogs
[Add ChickenWoods's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.