เส้นทางฝันของนักเดินทาง "เจาะลึกทะเลสาบไบคาล" ไซบีเรีย รัสเซีย (1)
ไม่เคยวาดฝันไว้เลยว่าในชีวิตนี้จะได้มาเดินบนทะเลสาบไบคาล ในถิ่นแดนไซบีเรีย ประเทศรัสเซียเยี่ยงนี้ เปลี่ยนแผนจากที่จะไปเที่ยวนิวซีแลนด์ช่วงสงกรานต์ มาเป็นทริป "เจาะลึกทะเลสาบไบคาล" ทันที
ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ หนาวและลำบากดี (เอากับเค้าสิ!!!) ลองมาดูสิว่า มันจะหนาวขนาดไหนกันเชียว
ทำไมนกน้อยจากไซบีเรียถึงต้องบินหนีหนาวมาที่บ้านเราด้วย รัสเซียเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 9 ของโลก
แม้พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียอยู่ในทวีปเอเชีย แต่เมืองหลวงคือ กรุงมอสโกอยู่ในทวีปยุโรป
ดังนั้นสหประชาชาติจึงจัดให้ประเทศรัสเซียเป็นประเทศหนึ่งใน "ทวีปยุโรป"
เราบินตรงจากกรุงเทพ (สุวรรณภูมิ) มาลงที่เมืองเอียร์คุตสก์ (Irkutsk) ด้วยสายการบินไซบีเรียแอร์ไลน์
ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 6 ชั่วโมง 55 นาที
สำหรับคนไทยเข้าประเทศรัสเซียได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าสะดวกสุดๆ
ประเทศรัสเซียมีความแตกต่างของเวลาระหว่างตะวันตกและตะวันออก 11 เขตเวลา
เขตเวลากรุงมอสโก ถือเป็นเขตเวลากลางในรัสเซีย
ซึ่งใช้ในการกำหนดตารางเวลาเครื่องบิน รถไฟ และการขนส่งอื่นๆ
ซึ่งไซบีเรีย เร็วกว่า ไทย 2 ชั่วโมง แต่... กรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย ช้ากว่า ไทย 3-4 ชั่วโมง
เอียร์คุตสก์ (Irkutsk) เป็นเมืองสำคัญที่สุดในเขตไซบีเรียตอนใต้ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบไบคาล
เป็นศูนย์กลางการติดต่อค้าขายระหว่างรัสเซียตะวันออก จีน มองโกเลีย และทิเบต
จนได้สมญานามเปรียบเป็น "กรุงปารีสแห่งไซบีเรีย"
ปี ค.ศ. 1652 อิวาน โปคาบอฟ ก่อตั้งเมืองเอียร์คุตสก์ขึ้น เพื่อเป็นแหล่งซื้อขายทองคําและขนสัตว์จากชาวบูร์ยาต
และปี ค.ศ.1760 ถนนสายแรกที่มุ่งสู่กรุงมอสโกถูกสร้างขึ้น จึงทําให้เอียร์คุตสก์เติบโตอย่างรวดเร็ว
ตัวเมืองตั้งอยู่บน แม่น้ำอังการ่า (Angara River) เป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำสายใหญ่เยนิไซ (Yenisei River)
ซึ่งไหลต่อลงสู่มหาสมุทรอาร์กติก เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดอันดับ 5 ของโลก "ไซบีเรีย (Siberia)" มาจากคำในภาษามองโกเลีย "Sibir" หมายถึง ดินแดนที่หลับใหล มีพื้นที่ประมาณ 24.1% ของประเทศรัสเซีย มีหลายเมืองของไซบีเรียที่ได้รับการบันทึกว่าหนาวติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก เช่น Oymaykon -71.2°C Verkhoansk -69.8°C และ Yakutsk -50°C ก็หนาวกันขนาดที่น้ำในแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้อย่างนี้เลย และชาวบ้านก็ออกมานั่งตกปลากันกลางแม่น้ำ โปรแกรมในเมืองเอียร์คุตสก์ส่วนใหญ่จะเป็นการชมโบสถ์ มหาวิหาร และพิพิธภัณฑ์
ตอนบ่ายๆ มาเดินเล่นที่ตลาดกลาง (Central Market)
ส่วนใหญ่ขายผลไม้ทั้งสดและแปรรูป ธัญพืช และอุปกรณ์กันหนาว
แต่น่าแปลกตรงที่แม้แต่ผลไม้เน่าๆ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย เค้าก็ยังเอามาขายกัน
อาจจะเป็นเพราะอากาศหนาวปลูกผักผลไม้ไม่ค่อยได้ เค้าจึงไม่อาจทิ้งขว้างผลผลิตพวกนี้ได้
วันที่ 2 พวกเรานั่งรถบัสออกนอกเมืองเอียร์คุตสก์ มาที่เมือง ลิสเวียนกา (Listvyanka) ริมทะเลสาบไบคาล ประกอบกับเป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสชวนให้ถ่ายรูปกันเพลินเลย
ภายในหมู่บ้านมีกระท่อมไม้สร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบไซบีเรีย และมีพิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมและชาติพันธุ์ทอล์ทซี่ แสดงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไซบีเรียนสมัยก่อนมีโบสถ์ไม้ บ้าน โรงเรียน ฟาร์ม และชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่รอบทะเลสาบ เจ้าหน้าที่ชาวรัสเซียที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ นางน่ารักมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส และคอยตอบข้อสงสัยทุกอย่างเลย
ได้ยินชื่อทะเลสาบไบคาลมาตั้งนานตอนนี้ได้เห็นในระยะประชิดแล้ว ช่วงหน้าหนาวน้ำในทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งอย่างนี้ ซึ่งแปลกตาไปอีกแบบ อาหารกลางวันของเราวิวดีสุดๆ นั่งกินข้าวกันในภัตตาคารริมทะเลสาบไบคาล ตามโปรแกรมเดิม เราจะได้ขับ Snow Mobile และนั่ง Dog Sled บนทุ่งหิมะกว้างๆ แต่ไปๆ มาๆ กลับเป็นเพียงแค่คนซ้อนท้ายเท่านั้น เค้าไม่ยอมให้ขับเอง ตรงจุดเตรียมตัวที่จะเล่น Dog Sled หรือสุนัขลากเลื่อนดูเลอะเทอะไปหน่อย ก็เลยไม่กล้าเอากล้องไปถ่ายรูปตอนนั่งอยู่บนเลื่อนกลางทุ่งหิมะเลย อาหารแทบทุกมื้อในไซบีเรียต้องมีปลาเป็นส่วนประกอบไม่ว่าจะเป็นปลาทอด ปลาดิบ ปลานึ่ง หรือซุปปลา และปลานั้นก็คือ "ปลาโอมุล (Omulfish)"
ซึ่งเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำลึกและพบได้เฉพาะที่เขตทะเลสาบไบคาลเท่านั้น
ขอถ่ายรูปคุณป้าคนนี้อยู่ตั้งนาน แกไม่ยอมให้ถ่ายซะที
บอกว่าต้องซื้อปลาของแกก่อน เพื่อนก็เลยจัดปลาโอมุลรมควันไป 2 ตัว อร่อยใช้ได้เลยล่ะ
"เรากำลังเดินเล่นอยู่บนทะเลสาบไบคาลหรือนี่!!!" ยังคงพึมพำกับตัวเองอย่างแปลกใจไม่หาย
ดวงอาทิตย์ที่นี่ตกช้ามากๆ เกือบ 2 ทุ่มแล้ว ฟ้ายังจ้า แดดยังเปรี้ยงอยู่เลย พวกเรารีบกินข้าวแล้วลงมาลงถ่ายรูปดวงอาทิตย์ตกอย่างเมามันส์
โปรแกรมของวันที่ 3 คือ นั่งเรือออกไปกลางทะเลสาบไบคาล เดี๋ยวมาดูกันว่า น้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งซะขนาดนี้แล้วเรือจะออกจากฝั่งได้ยังไง o(‧""‧)o วิวตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ทะเลสาบไบคาลซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่จัดแสดงสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ที่พบในเขตนี้ Hovercraft คือ เรือที่สามารถเดินทางไปได้ทั้งในน้ำ โคลน หรือน้ำแข็ง และพื้นผิวอื่นๆ ใบพัดด้านหลังจะทำหน้าที่ยกเรือขึ้นโดยแรงดันอากาศสูงทำให้มันโผล่ขึ้นเหนือพื้นผิว เครื่องยนต์จะช่วยเพิ่มเติมแรงผลักดันในการขับเคลื่อนเรือ ที่นี่ไม่เพียงแต่มีเรือแล่นอยู่กลางแม่น้ำนะ รถยนต์ก็ยังลงมาวิ่งได้ด้วยความเร็วพอๆ กับเรือ Hovercraft เลย ข้างในเรือลำเล็กๆ สามารถบรรจุได้ประมาณ 8 คน แม้ข้างนอกจะดูหนาวเย็นมากก็ตาม แต่นั่งอยู่ในเรือที่ปิดมิดชิดไม่มีลมเข้าแบบนี้นานๆ ก็ร้อนเหมือนกันนะ นั่งนานๆ ไม่มีอะไรทำ ก็งีบหลับเอาแรงซะหน่อย หลับได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ นั่งมานานเกือบชั่วโมงจึงมาถึงปากแม่น้ำอังการ่า อังการ่าเป็นแม่น้ำสายเลือดใหญ่ของชาวเอียร์คุตสก์ที่ไหลลงสู่ทะเลสาบไบคาล ทะเลสาบไบคาล เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลก ลึกประมาณ 1, 637 เมตร ได้รับสมญานามว่า ดวงตาสีฟ้าแห่งไซบีเรีย 。◕‿◕。 และ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้ทะเลสาบแห่งนี้เป็น "มรดกโลก" ตั้งแต่ ค.ศ.1996 เป็นต้นมา นั่งเรือมาตั้งไกลแต่ให้อยู่ถ่ายรูปแค่แป๊บเดียวเอง แอบเคืองเล็กๆ ◑﹏◐ ได้ข้อคิดอย่างหนึ่งเวลาที่เราจะซื้อทัวร์ให้เลือกที่ตรงกับลักษณะหรือความชอบของเรา เช่นถ้าเป็นคนชอบถ่ายรูป ควรเลือกทัวร์ที่เน้นการถ่ายรูปเพราะแต่ละคนจะเข้าใจซึ่งกันและกัน บางสถานที่ไม่ได้ไปถึงกันได้ง่ายๆกว่าจะหามุม กว่าแสงจะได้จังหวะ บางครั้งก็ต้องใช้เวลาในการรอคอยกันบ้าง ถ้าไปกับทัวร์ที่เน้นเที่ยวชมแบบผ่านๆถ่ายรูปพอเป็นพิธี พอเค้าเที่ยวเสร็จแล้วเค้าก็อยากจะไปที่อื่นต่อ แต่เรายังไม่ทันได้รูปสวยสมใจเลย กินข้าวแก้กลุ้มกันดีกว่า มาเจอบรรยากาศ และอาหารกลางวันอร่อยๆ มื้อนี้ ค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เป็นมื้อที่ถูกใจสุดๆ บาร์บีคิวไม้โต ทีแรกนึกว่าจะกินไม่หมด แต่แป๊บเดียวเรียบ!!!
เมื่อคืนหิมะเพิ่งตกไปเองยังไม่อัดแน่นเท่าไหร่ เนื้อปุยๆ ฟูๆ โปรยเล่นถ่ายรูปกำลังสวยเลย นั่งฟินอยู่ตรงจุดนี้นานมากลืมคิดถึงเรื่องเปียก เย็น และหนาวไปเลย โปรแกรมย่อยอาหารช่วงบ่ายคือ นั่งรถม้าเที่ยวรอบป่าสนไทก้า ที่นี่เป็นแค้มป์ด้วย แต่ช่วงหน้าหนาวอย่างนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาพักเท่าไหร่ วันนั้นก็เห็นมีแต่กลุ่มพวกเราด้วยนะ เพื่อนร่วมทางที่ทำให้ทริปนี้มีแต่ความสนุกสนานและประสบการณ์น่าจดจำมากมาย เจอกันครั้งแรกในทริปทิเบต-เนปาลหวังว่ายังจะได้เจอกันอีกหลายๆ ทริปนะ เพื่อนเที่ยวแนวนี้หายากจริงๆ อีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปนี้คือ นั่ง รถไฟสายทรานส์ไซบีเรียน(Trans-Siberian Railway) การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของไซบีเรียสู่ความทันสมัยคือการมีรถไฟสายนี้นี่ล่ะ สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1891 ตามแนวคิดของเซอร์เกย์ วิตเต รมว.กระทรวงการคลังในสมัยนั้น เป็นการเชื่อมกรุงมอสโกกับดินแดนทางตะวันออกอันห่างไกลของรัสเซียมองโกเลีย จีน และทะเลญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน หรือพูดง่ายๆ คือเป็นการเชื่อมรัสเซียฝั่งตะวันตกกับฝั่งตะวันออก โดยเราจะขึ้นรถไฟในตอนกลางคืนจากเอียร์คุตสก์ (Irkutsk) ไปยังเมืองอูลันอูเด (Ulan-Ude) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง คืนนั้นเรานอนบนรถไฟข้ามเมืองกัน สำหรับเวลาที่ปรากฎบนหน้าตั๋วรถไฟคือเวลาของกรุงมอสโก ดังนั้นเราต้องเทียบเวลาให้ตรงกับเมืองที่เราอยู่เอาเอง ในตั๋วของเราคือวันที่ 25/3/14 เวลามอสโก 17.10 (เอียร์คุตสก์ = 22.10 และไทย = 20.10) *****ดังนั้น การเทียบเวลา เป็นเรื่องสำคัญมากๆสำหรับการมาเที่ยวรัสเซีย และสิ่งสำคัญอีกอย่างสำหรับการมาเที่ยวแนวนี้คือ ขนาดของกระเป๋าเดินทาง ควรจะเป็นขนาดที่พอเหมาะและน้ำหนักพอดีที่เราจะรับผิดชอบยก แบก หิ้ว ลากด้วยตัวเองไหว แต่การนั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียนที่ทรมานที่สุดสำหรับเราคือการเปิดฮีทเตอร์ซะเต็มเหนี่ยวเลย ในสภาพที่อากาศไม่ถ่ายเททำให้รู้สึกอึดอัด และหายใจไม่ออก แต่ถามว่านอนหลับมั้ยไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เหมือนปิดสวิทซ์ทุกอย่างโดยอัตโนมัติ ตื่นอีกทีก็ตอนที่เสียงนาฬิกาปลุกดัง แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปค่ะ มาดูกันว่าที่เมืองอูลันอูเด (Ulan-Ude) ประเทศรัสเซีย มีอะไรน่าสนใจบ้าง
ขอบอกว่า ธรรมชาติที่นั่นงดงามมากๆ ชวนตะลึง (อีกแล้ว)
ถึงขนาดที่ไกด์ท้องถิ่นยังเอ่ยปากว่า ไม่เคยเข้าไปไกลขนาดนี้ และไม่เคยถ่ายรูปกับสถานที่พวกนี้มาก่อนเลย
ไม่ควรพลาดจริงๆ ขอบอก...
Create Date : 18 กรกฎาคม 2557 |
|
40 comments |
Last Update : 21 กรกฎาคม 2557 11:54:43 น. |
Counter : 28744 Pageviews. |
|
|
|