ทิเบต-เนปาล ตอนที่ 3: "ยัมดรก" (Lake Yamdrok Tso) ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์สีเทอควอยซ์
เคยอัพบล็อกทิเบตทิ้งไว้ข้ามปี คราวนี้ได้ฤกษ์รื้อทริปเก่าๆ กลับมาเล่าสู่กันฟังกันอีกรอบ
รื้อฟื้นกันหน่อย เที่ยวย้อนหลังกับเราได้ที่นี่
วันที่ 5 ของการเดินทาง เราต้องออกจากลาซา (เมืองหลวงของทิเบต) กันแล้ว
ไฮไลท์ของวันนี้คือ ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 3 ของทิเบต สีเทอควอยซ์แบบนี้นี่ล่ะ
แต่กว่าจะออกจากเมืองได้นี่สิ ลุ้นกันแทบแย่
มีเพื่อนร่วมทาง 3 คนที่ไม่ได้ไปต่อกับพวกเราด้วย
คนแรกเป็นโรคหัวใจและความดันกำเริบ เวียนหัวตลอดเวลา หมอให้เดินทางต่อได้ แต่ไม่รับรองความปลอดภัย
คนที่สองเป็นเด็ก 10 ขวบ เป็นปอดบวม เพราะอากาศเย็นมาก พ่อของน้องเลยต้องเดินทางกลับด้วย
ถ้าใครจะมาเที่ยวทิเบต ควรเตรียมร่างกายให้พร้อม และต้องมั่นใจจริงๆ ว่า สามารถร่วมเดินทางได้ตลอดทริป
เพราะไม่อย่างนั้นจะเสียค่าทัวร์ฟรีๆ และยังมีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มที่ต้องเดินทางกลับก่อนอีกด้วย
วันนี้ยังต้องเดินทางผ่านจุดที่มีความสูงที่สุดในทริป ประมาณ 5,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล
เราเลยซื้อออกซิเจนกระป๋องเตรียมไปด้วย เพราะไม่รู้ว่าถ้าไปถึงจุดนั้นจริงๆ แล้วจะเป็นยังไงบ้าง
ราคาประมาณ 100 กว่าบาท/ กระป๋อง แนะนำว่าให้ซื้อข้างนอกโรงแรมจะราคาถูกกว่า
เมื่อปัญหาทุกอย่างลงตัว พวกเราก็เริ่มเดินทางกันทันที กว่าจะออกจากเมืองลาซาก็เกือบๆ 11 โมงแล้ว
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาหัวหน้าทัวร์ซื้อไก่ KFC มาให้กินบนรถ จะได้ไม่ต้องจอดรถแวะกินข้าวกันอีก
จุดที่เราจะไป อยู่ห่างจากเมืองลาซา 80 กม.
แม้ถนนหนทางจะดีขนาดไหน แต่เราก็ไม่สามารถทำเวลาได้มากนัก เนื่องจากที่นี่มีการจำกัดความเร็วของรถ
และเส้นทางส่วนใหญ่คือวิ่งลัดเลาะไปตามภูเขาแบบนี้
คนเมารถง่ายๆ คงจะต้องเตรียมตัวให้ดีกันนิดนึง
เริ่มเห็นทะเลสาบสีเทอควอยซ์ข้างหน้าแล้ว
ตื่นเต้นๆ
อยากบอกว่า น้ำในทะเลสาบสีอย่างนี้เลย!!!
ไม่ได้มีการตกแต่งภาพแต่อย่างใด
ทะเลสาบยัมดรก (Yamdrok Tso) เป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 3 ของทิเบต
เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทิเบต มีพื้นที่ประมาณ 700 ตร.กม. อยู่ในวงล้อมของเทือกเขาหิมาลัยด้านเหนือ
ได้สมญานามว่า "คลังแห่งมัจฉาของทิเบต"
จุดที่ชมวิวทะเลสาบอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 4,990 เมตร
รับรองว่าถ้าใครมาถึงตรงจุดนี้ ต้องประทับใจกันทุกคนแน่ๆ
เป็นอีกหนึ่งความงามตามธรรมชาติที่เราไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้มาเห็นกับตา
เป็นภาพที่ยังติดตาตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้
จุดชมวิวตรงนี้มีจามรีและสุนัข Tibetan Mastiff ตัวโตมาให้ถ่ายรูปด้วย ครั้งละ 10 หยวน (50 บาท)
แหม.. ไหนๆ ก็ขึ้นมาถึงที่นี่แล้ว ใครๆ ก็คงอยากจะถ่ายรูปคู่ด้วยล่ะ
เราก็เป็นอีกคนที่ไม่ยอมพลาด
ยื่นโทรศัพท์มือถือให้เค้าถ่ายรูปให้ ได้รูปสวยๆ กลับมาเพียบเลย ไม่โลว์เทคนะจ๊ะ
จากจุดชมวิว เรานั่งรถค่อยๆ ลงเขามาสัมผัสทะเลสาบยัมดรกในระยะประชิด
ลองดูสิว่า จากที่มองเห็นไกลๆ กับใกล้ๆ ความงามจะแตกต่างกันมั้ย
เมื่อลงมามองใกล้ๆ น้ำในทะเลสาบจะสีอ่อนลงนิดนึง
ลมแรงมาก น้ำเย็นเจี๊ยบเลย
แอบอธิษฐานว่า ขอให้ได้กลับมาเยือนที่นี่อีก
ไม่รู้เป็นอะไร เวลาไปไหน ถ้าได้ไหว้พระขอพร ก็ชอบขอให้ได้กลับไปที่นั่นอีกครั้ง
ธงมนตราที่โบกสะบัด โดยมีความเชื่อที่ว่า
เวลาที่ลมพัดผ่าน กระแสธรรมก็จะล่องลอยไปด้วย เป็นการสาธยายมนตราเพื่อเป็นสิริมงคล และป้องกันภัยแก่ผู้คนที่เดินทาง
และ 5 สี ของธงมนตรานี้คือ สีเหลือง น้ำเงิน แดง เขียว และขาว สื่อถึงธาตุดิน น้ำ ไฟ ไม้ และเหล็ก
เดินลงมาข้างล่าง ที่เห็นตั้งเรียงรายอยู่ริมทะเลสาบ
คือ เจดีย์ที่ก่อขึ้นจากหินแถวนั้น เพื่อเป็นพุทธบูชา
ได้เวลาเดินทางกันต่อ วันนี้ส่วนใหญ่เราจะอยู่บนรถกันตลอดเลย
เพราะเป็นการนั่งรถข้ามเมืองจากลาซาไปเจียนเซ่ หรือกังสเต
ระหว่างทางผ่านจุดที่มีความสูงมากที่สุด ระดับความสูง 5,560 เมตรจากระดับน้ำทะเล
และยังมีธารน้ำแข็ง Kharola Glacier ขนาดใหญ่ให้เห็นอีกด้วย
เสียดายว่ามาถึงตรงนี้ตอนบ่ายคล้อยซะแล้ว ดวงอาทิตย์ไปอยู่อีกฝั่ง ทำให้ถ่ายรูปไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
ตรงจุดนี้เราต้องใช้ความระมัดระวังในการเคลื่อนไหวมากเป็นพิเศษ
เพราะอากาศเบาบางลงไปมาก ระวังจะหายใจไม่ทัน และหัวใจเต้นเร็ว
เพื่อนๆ บางคนได้โอกาสใช้ออกซิเจนกระป๋องกันตรงนี้นี่ล่ะ
แต่สำหรับเราแล้ว ยังไหวอยู่ ไม่มีอาการอะไรเลย ยังเริงร่ากับการถ่ายรูปได้อย่างเต็มที่
นั่งรถลัดเลาะภูเขาหิมะมาหลายลูกมากเลย
หลับๆ ตื่นๆ มาเจอเขื่อนตรงจุดนี้ วิ่งลงไปถ่ายรูปกันอีก
ก่อนเข้าที่พัก เรายังแวะกันอีกหนึ่งที่ คือ วัดเพลกอร์ (Pelkhor Chode Monastery)
สถูปคูมบูม เจดีย์สูง 32 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่ เป็นสถาปัตยกรรมชั้นเลิศของทิเบต
ก่อสร้างตามแบบมันดาลา ในลักษณะ 3 มิติ เป็นสัญลักษณ์แทนเขาพระสุเมรุ ปลายยอดสถูปเป็นหอประดิษฐานพระพุทธรูป
ทางเข้าไปสู่ส่วนกลางของสถูปเป็นสัญลักษณ์แทนทางศักดิ์สิทธิ์ที่จะนำไปสู่การปลดปล่อยวิญญาณ
บนนี้ยังสามารถเดินขึ้นไปชมวิวข้างบนได้ด้วย
แต่เราไม่ได้ขึ้นไปหรอก หมดแรงเดิน ทั้งหิวและเหนื่อย
ปิดท้ายวันนี้ด้วย ด่านปราการป้องกันเมืองเกียงเซ
ซึ่งกองทัพอังกฤษได้ขยายอิทธิพลเข้าสู่ทิเบตจากอินเดีย และพยายามรุกเข้าเมืองลาซา
ด้วยกำลังพลกประมาณ 1,000 นาย พร้อมปืน แต่กองทัพทิเบต 1,500 นาย สู้ด้วยมีดและดาบ
ในที่สุดกองทัพทิเบตพ่ายให้แก่กองทัพอังกฤษ จนอังกฤษสามารถเดินทางเข้าสู่เมืองลาซาได้
คืนนี้กว่าเราจะไปถึงเมืองเจียนเซ่และเข้าพักในโรงแรมได้ ก็ปาเข้าไปเกือบวันใหม่แล้ว
ด้วยถนนหนทางที่กำลังทำอยู่ ฝุ่นตลบเลย และอากาศหนาวเย็นมาก สะท้านไปทั้งร่าง
แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อๆ ไปนะคะ
คิดอยู่ว่าจะยังคงอยู่ในหมวดต่างบ้านต่างเมือง หรือหลงรักเมืองไทยดี
แบบว่า... ดองทริปไว้เพียบเลย
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2557 |
|
23 comments |
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2557 17:28:18 น. |
Counter : 9095 Pageviews. |
|
|
|
มาตะลึงกับภาพสีสวยๆ
ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของเนปาลภาพแล้วก็ โหววๆๆแล้วค่ะ
ขอบคุณที่แนะนำที่เที่ยวดีๆนี้นะคะ น่าประทับใจมากๆ