ตามเส้นทางฝัน @ เมียร์มาร์ : ตอน 2 พระธาตุอินทร์แขวน
จากที่เกริ่นไปในตอนที่แล้วว่า คืนนี้เราจะขึ้นไปนอนใกล้ๆ กับ "พระธาตุอินทร์แขวน" อีก 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมียร์มาร์ ตอนบ่ายๆ พอออกจาก "พระราชวังบุเรงนอง" แล้ว รถบัสพาพวกเรามุ่งหน้าไปยังเมืองไจ้โท แห่งรัฐมอญ ระหว่างทางพบกับสะพานเหล็กที่ข้ามผ่าน "แม่น้ำสะโตง" ไกด์รีบบอกว่า "สะพานข้ามแม่น้ำทุกสายในเมียร์มาร์ ห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด" (แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ขอสักช็อตนะ) และตรงคอสะพานทั้งสองฝั่ง มีด่านทหารอยู่ ซึ่งเด็กรถต้องเอารายชื่อคณะทัวร์ลงไปยื่นให้ทหารด้วย "แม่น้ำสะโตง" มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ตรงที่ เมื่อเกิดศึกระหว่างกรุงอังวะกับกรุงหงสาวดี พระเจ้านันทบุเรงจึงเกณฑ์กองทัพไทยในฐานะเมืองขึ้นไปช่วยรบ โดยมีสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งขณะนั้นมีพระชนม์เพียง 19 ชันษาเป็นแม่ทัพ ปรากฎว่า เมื่อยกทัพไปถึงก็ไม่พบกับกองทัพของพระเจ้านันทบุเรง เพราะยกติดตามข้าศึกไปยังกรุงอังวะแล้ว สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นเป็นโอกาสดี จึงทรงประกาศเอกราชไม่เป็นเมืองขึ้นของพม่าอีกต่อไป เมื่อพระเจ้านันทบุเรงทรงทราบ จึงให้แม่ทัพชื่อ สุรกรรมายกทัพลงมาปราบกองทัพอยุธยา ปรากฎว่ามาทันกันตรงริมฝั่งแม่น้ำสะโตงนี้พอดี ทัพอยุธยาของสมเด็จพระนเรศวรข้ามแม่น้ำมาแล้ว แต่ทัพพม่ากำลังต่อแพข้ามมา สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงพระแสงปืน ยิงข้ามแม่น้ำไปถูกสุรกรรมาเสียชีวิต ทัพพม่าจึงล่าถอยกลับไป ทำให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพกลับอยุธยาโดยปลอดภัย พระแสงปืนที่ใช้ยิงสุรกรรมาตายบนคอช้าง ได้นามปรากฎต่อมาว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง" แต่เห็นความกว้างใหญ่ของแม่น้ำสะโตงแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริงๆ ที่จะใช้ปืนยิงข้ามไปถูกคนตายได้ นั่งรถมาได้สักพัก ก็เข้าสู่ตัวเมืองไจ้โท เห็นทิวเขา ทุ่งนา และสวนยางเป็นระยะ เรามาถึง "คิ้มปุ่นแค้มป์" เพื่อเปลี่ยนเป็นรถท้องถิ่น เป็นรถบรรทุก 6 ล้อ รถแบบนี้เท่านั้นที่จะขึ้นไปข้างบนได้ มีบันไดเทียบท่าให้เรียบร้อย ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปเลือกที่นั่งด้านบนได้เลย ส่วนตะแกรงด้านหลังใช้บรรทุกสัมภาระ ที่นั่ง VIP ของพวกเรา คือ การเอาไม้มาพาดเป็นม้านั่งเรียงๆ กัน โดยไม่มีที่จับยึดใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่ได้มากับทัวร์ ต้องรอให้คนเต็มก่อนเค้าจึงจะออกรถ และต้องนั่งเบียดๆ กันด้วย แต่มากับทัวร์ก็สบายตรงนี้นี่ล่ะ พอคณะของเราขึ้นรถกันพร้อม ก็ออกเดินทางต่อไปได้เลย สำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้นหวาดเสียว รับรองถนนสายนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวัง ทางขึ้นที่สูงชัน และทางโค้งที่เรียกว่า โค้งหักศอกกันเลย ด้วยความเป็นเจ้าถิ่น โชเฟอร์ขับรถกันแบบไม่บันยะบันยัง ไม่กลัวเครื่องรถพัง แต่เครื่องในคนแทบแย่ แต่บรรยากาศสองข้างทางพาเพลินได้เหมือนกัน เป็นป่าไม้เบญจพรรณที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงข้างบนด้วยความปลอดภัย แต่การเดินทางของพวกเรายังไม่สิ้นสุด เราต้องเปลี่ยนมานั่งเสลี่ยงเพื่อขึ้นไปสู่พระธาตุอินทร์แขวนอีกต่อ ถ้าใครไม่อยากใช้บริการเสลี่ยง อยากลองทดสอบพละกำลังของตัวเองด้วยการเดินขึ้นก็ได้เช่นกัน แต่ค่าทัวร์ของเรารวมค่าเสลี่ยงไปแล้ว ขอนั่งสบายๆ มีผู้ชาย 4 คนมาช่วยแบกหามดีกว่า เมื่อก่อนหนุ่มๆ เค้าเป็นคนเข้ามาเลือกว่าอยากให้บริการใคร แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นแจกเบอร์แทน เพราะมีปัญหาว่า หนุ่มๆ จะเลือกแต่คนตัวเล็กๆ คนร่างอวบนิดอวบหน่อยก็ต้องค้างเติ่ง เพราะหนทางที่ขึ้นสู่พระธาตุอินทร์แขวนไม่ใช่ย่อยๆ เลย ลักษณะเป็นเนินเขาที่มีความสูงชันประมาณหนึ่ง ลักษณะของเสลี่ยงคล้ายๆ กับการเอาเก้าอี้ชายหาดมาตั้งอยู่บนคานไม้ไผ่ใช้สี่คนหาม แล้วเอากระสอบปุ๋ยมาสอดไว้ตรงกลางสำหรับวางเท้า การมาที่นี่เราต้องเตรียมกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเล็กมาด้วย เพื่อสะดวกในการแบกขึ้น-ลง ชมวิวสองข้างทางไปเพลินๆ พร้อมๆ กับอากาศที่เย็นลงเรื่อยๆ ที่นี่อากาศเย็นตลอดทั้งปี สงสัยตัวเราและสัมภาระจะหนักไม่ใช่น้อย ดูสิ! เกร็งข้อมือใหญ่เลย ระหว่างทางมีการหยุดพักเหนื่อยบ้าง บางคนก็จะร้องขอให้เราซื้อน้ำเลี้ยงพวกเค้า แต่ไกด์แนะนำว่า ถ้าจะซื้อน้ำให้ สู้เปลี่ยนเป็นให้ทิปเพิ่มดีกว่า จะประหยัดกว่าการซื้อเครื่องดื่มเยอะเลย แต่จริงๆ แล้ว เราไม่จำเป็นต้องจ่ายทิปเพิ่มก็ได้ แม้เค้าจะเรียกร้องยังไงก็ตาม ให้เดินหนีลูกเดียว ลืมบอกไปว่า ค่าทิปคนแบกเสลี่ยงไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์ เราต้องจ่ายเพิ่ม 1,000 จ๊าด (50 บาท) ต่อเที่ยวต่อคน ควรเตรียมเงินให้พอดี และจ่ายให้ทีละคน ไม่อย่างนั้นเค้าจะมาขอเพิ่ม ถ้าให้รวมกัน เค้าจะคิดว่าให้เค้าคนเดียว ระยะทาง 2 กิโลเมตร กับระยะเวลาประมาณ 40 นาที พาหนะ Super VIP ก็พาเราขึ้นมาถึงข้างบน พระธาตุอินทร์แขวนของเมียร์มาร์ อยู่บนหน้าผาที่สูงประมาณ 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล หรือสูงระดับเดียวกับพระธาตุดอยสุเทพที่เชียงใหม่ คืนนี้เราพักกันที่ Mountain Top Hotel เป็น 1 ใน 2 โรงแรมที่ตั้งอยู่บนเขา และเดินเพียงไม่ถึง 500 เมตร ก็สามารถขึ้นมาสักการะพระธาตุอินทร์แขวนได้อย่างสะดวก ก่อนหน้านี้คนต่างชาติไม่อาจเข้าไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนได้ นอกจากยื่นเรื่องเป็นทางการกับรัฐบาลเท่านั้น เมื่อปี 2539 เมียร์มาร์เพิ่งเปิดประเทศเป็นปีการท่องเที่ยว และสร้างถนนขึ้นมาถึงยอดเขา ทำให้เที่ยวได้สะดวก การไหว้พระที่เมียร์มาร์นั้น ส่วนใหญ่จะใช้ใบไม้เป็นกำๆ และมีดอกไม้ ธูป เทียน ซึ่งเค้าเชื่อกันว่า ใบไม้สีเขียวๆ หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ ไกด์บอกว่า ที่นี่เค้าจะมีการทำบุญใหญ่ทุก 5-10 ปี โดยจะรวบรวมเงินจากที่ผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมทำบุญ ดังนั้นเราควรใช้เงินจ๊าดในการทำบุญ เมื่อถึงเวลารวบรวมเงิน เค้าสามารถนำไปใช้ได้สะดวก แต่ถ้าเราใช้เงินบาท หรือเงินสกุลอื่นๆ เค้าต้องไปยื่นเรื่องที่กรมศาสนาก่อน เพื่อจะขอแลกเป็นเงินจ๊าด ทั้งนี้ต้องใช้เวลาในดำเนินการนาน และค่าเงินมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ข้างหน้าของเราคือ "พระธาตุอินทร์แขวน" เป็นหินก้อนใหญ่ๆ ที่หมิ่นเหม่อยู่ตรงริมหน้าผา บนยอดคือพระธาตุองค์เล็กคล้ายสวมชฎา ทั้งก้อนหินและองค์พระธาตุเหลืองอร่ามไปด้วยทองคำ ตอนแรกที่เราขึ้นมาถึง ข้างบนปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ จนแทบจะมองไม่เห็นองค์พระธาตุ แต่ก็ภาวนาในใจว่า ขอให้ฟ้าเปิดด้วยเถอะ เราอยากเห็นพระธาตุอินทร์แขวนแบบเต็มๆ สองตา และชัดเจน ไม่น่าเชื่อว่า สักพักฟ้าก็ค่อยๆ เปิดให้เราได้เห็นองค์พระธาตุอย่างที่ตั้งใจ วินาทีนั้นยกกล้องขึ้นรัวภาพใหญ่เลย กลัวว่าช่วงเวลานาทีทองแบบนี้จะมีไม่มากนัก มีหมอกหนาๆ บางๆ สลับกันเป็นพักๆ ราวกับว่าตอนนี้เรากำลังอยู่บนสรวงสวรรค์กันเลยทีเดียว "พระธาตุอินทร์แขวน" หรือ เจดีย์ไจ้ทีโย (Kyaikhtiyo Pagoda) แปลว่า ก้อนหินทอง เป็น 1 ใน 5 ศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมียร์มาร์เชื่อว่าต้องมากราบไหว้ให้ได้ นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ชเวดากอง ในเมืองย่างกุ้ง เจดีย์ชเวมอดอร์ หรือพระธาตุมุเตา ในเมืองหงสาวดี พระมหามัยมุนี ในเมืองมัณฑะเลย์ และพระเจดีย์ชเวสิกองในเมืองพุกาม แต่บางคนบอกว่า สิ่งที่ 5 คือ พระบัวเข็ม ที่ทะเลสาบอินเล ประวัติความเป็นมาของ "พระธาตุอินทร์แขวน" คือ เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว พระพุทธเจ้าได้ประทานพระเกศาเส้นหนึ่งมาให้กับฤาษี แต่เมื่อถึงคราวที่จะละสังขาร ฤาษีได้ฝากพระเกศาของพระพุทธเจ้าไว้กับพระเจ้าติสสะ โดยขอให้สัญญาว่าจะต้องหาก้อนหินที่มีรูปเหมือนศีรษะของฤาษี แล้วสร้างเจดีย์ใส่พระเกศาธาตุนี้ไว้ เมื่อพระเจ้าติสสะหาไม่ได้ พระอินทร์ได้ช่วยไปหาก้อนหินนี้มาจากใต้มหาสมุทร แล้วนำมาแขวน คือวางตั้งไว้บนหน้าผาที่หมิ่นเหม่ ทำให้พระเจ้าติสสะสามารถสร้างเจดีย์ขึ้นบนยอดก้อนหิน แล้วบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าไว้บนนั้น ทำให้หินก้อนนี้ได้ชื่อว่า "พระธาตุอินทร์แขวน" เสียดายตรงที่ว่า ส่วนที่เข้าไปปิดทองนั้น จะเข้าได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น อิจฉาคุณผู้ชายทั้งหลายจังเลย ตามคติการบูชาพระธาตุประจำปีเกิดของชาวล้านนา "พระธาตุอินทร์แขวน" นี้ ถือเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีจอ แทนพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสรวรรค์ และเชื่อว่าใครที่ได้ขึ้นมากราบไหว้ครบ 3 ครั้ง จะพบแต่ความสุขความเจริญ ขอสิ่งใดก็จะสมปรารถนา แต่เราไปไหว้แค่ 2 ครั้งเอง ตอนแรกๆ ตั้งใจว่า ตอนกลางคืนจะขึ้นไปอีกรอบ แต่ทนต่อความหนาวเย็นไม่ไหว อุณหภูมิน่าจะประมาณแค่ 10 องศาต้นๆ ขอซุกกายอยู่ในห้องอุ่นๆ ดีกว่า สำหรับผู้หญิงนั้น จะเข้าใกล้พระธาตุอินทร์แขวนได้ใกล้ที่สุดในจุดนี้ ซึ่งมีทางลงอยู่ด้านข้าง ทริปนี้รวบรวมพลได้ทั้งหมด 4 คน แต่ละคนพอชวนปุ๊บ ก็ตกลงปั๊บ ไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจกันเลย เนื่องจากเมียร์มาร์เป็นทริปที่เพื่อนๆ สนใจอยากจะมาอยู่แล้ว ที่สำคัญคือ อย่าลืมมาไหว้ขอพรเทพทันใจด้วย แม้จะเป็นคนละจุดกับที่มีคนนิยมไปไหว้กันมากๆ ในเมืองย่างกุ้ง แต่ไกด์บอกว่า เทพทันใจนี้มีข้อพิเศษ คือ อยู่จุดเดียวกันกับพระธาตุอินทร์แขวนนี่ล่ะ และเช่นกัน อนุญาตให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่จะเข้าไปปิดทองได้ เราก็เลยต้องฝากให้ไกด์ทำหน้าที่แทน ตอนเช้าๆ นัดแนะกับเพื่อนอีก 2 สาวว่าเราจะขึ้นมาถวายข้าวพระพุทธกัน ซึ่งเค้าจะมีร้านขายอยู่ตรงใกล้ๆ กับจุดที่ขายดอกไม้ธูปเทียนนั่นเลย และก็เป็นการขึ้นมาสักการะพระธาตุอินทร์แขวนครั้งที่ 2 ของพวกเรา แต่ยังไงก็ไม่ครบ 3 ครั้งอยู่ดี เอาไว้หาโอกาสมาอีกดีกว่า แม้ใครๆ จะบอกว่า เมียร์มาร์ในปัจจุบันก็เหมือนเมืองไทยในสมัยก่อน แต่ก็ยังรู้สึกประทับใจมากจนอยากจะมาอยู่เรื่อยๆ ชอบความศรัทธาในพุทธศาสนาของเค้า และคนที่นี่ไม่ว่าจะยากดีมีจน เด็กเล็ก วัยรุ่น หนุ่มสาว ผู้ใหญ่ หรือคนแก่ เค้าจะใช้เวลาว่างด้วยการเข้าวัดทำบุญ ระหว่างทางเห็นฤาษีบำเพ็ญเพียรด้วยการย่างอย่างช้าๆ สวดมนต์ไปเรื่อยๆ พร้อมกับสั่นกระดิ่งเล็กๆที่อยู่ในมือ และแล้วก็ถึงเวลาอำลาพระธาตุอินทร์แขวน เดี๋ยวพวกเราต้องนั่งเสลี่ยง พาหนะ Super VIP ลงเขาแล้ว ซึ่งขาลงนั้นทรมานกว่าขาขึ้นอีก เค้าเดินลงเข่าลงเท้ากันตึกๆ ทำเอาท้องไส้กระเทือนไปหมดเลย ยิ่งอิ่มๆ จากข้าวต้ม 4 ถ้วยตอนมื้อเช้าด้วย อิ่มบุญ อิ่มใจกันไปแล้ว กับ 2 ศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ ทั้งพระธาตุมุเตา และพระธาตุอินทร์แขวน บล็อคต่อไปขอเปลี่ยนบรรยากาศ มาเที่ยวเมืองไทยของเราบ้าง จะพาไปชิมเย็นตาโฟชามละ 200 บาท อยากรู้ว่าเป็นยังไง อย่าลืมตามมาชิมด้วยกันนะคะ เที่ยวย้อนหลังกับเราได้ที่นี่ค่ะ ตามเส้นทางฝัน @ เมียร์มาร์ : ตอน 1 พระธาตุมุเตา และพระราชวังบุเรงนอง (Click!!!)
Create Date : 22 กันยายน 2554 |
|
60 comments |
Last Update : 24 กันยายน 2554 12:20:49 น. |
Counter : 5306 Pageviews. |
|
|
|