~~กลับมาแล้วจ้าาาา คิดถึงทุกคนนน~~
เรื่องเล่า>>>จากประสบการณ์ส่วนตัว
#เมื่อฉันมีลมหายใจอีกครั้ง#
กุมภาพันธ์ 2556 เมื่ออายุได้ที่ โรคได้ที่ เวลานั้นก็มาถึง เมื่อคุณหมอบอกว่า
"คุณต้องผ่าตัด"
อืมม เรารับฟังด้วยความนิ่งสงบและยอมรับโดยดุษฎีว่าถึงเวลาแล้วจริงๆ
แต่ลึกๆ รู้สึกกลัวอยู่ไ่ม่น้อย เพราะ พอออกจากห้องตรวจ เราก็มานั่งพัก
บริเวณหน้าห้อง วันนั้นพี่สาวไปด้วย และขอไปเข้าห้องน้ำก่อนกลับ
เรานั่งร้องไห้อยู่ พอพี่สาวกลับมาเห็นก็ตกใจว่าเรา้ร้องไห้ทำไม
แต่เค้าไม่กล้าถาม ความรู้สึกตอนนั้นเราแค่ต้องการระบายออกเท่านั้น
เมื่อปี 2540 คุณหมอได้บอกว่าให้เราผ่าตัด แต่เรากลัว ไม่เอาไม่ผ่า
เรายังสาวอยู่เลย เนื้อเรียบๆจะมาผ่าง่ายๆได้ไง คิดงี้) หมอบอกว่า คุณไม่ผ่า
ตอนนี้ อีก 10 ปี คุณก็ต้องผ่าอยู่ดี (หมอทายเกือบถูกเพราะเราอยู่มาได้ 15 ปีล่ะ)
หนีดีกว่าไม่งั้นโดนผ่าแน่ ย้าย รพ. ซะเลย (ใช้สิทธิ์ ปกส.) ไม่รักษาแล้วย้ายไป
เอกชนดีกว่า สมใจค่ะรักษาอยู่ 10 กว่าปี มีแต่ให้ยาและตรวจเลือดเท่านั้น
ชีวิตก็ดำเนินต่อไปได้นี่นา....
ความจริงเรารู้่ว่าเป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุประมาณ 7-8 ขวบ อยู่บ้านนอกก็รักษาตามมี
ตามเกิด หมอคลินิกก็บอกว่า เราเป็นโรคหัวใจ เราก็รักษาบ้างไม่รักษาบ้าง
ตามอาการที่เป็น ก็ใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนคนปกติทุกอย่างค่ะ เพราะไม่เคยรักษา
แบบจริงๆจังๆ และไม่เคยรู้ว่าเป็นโรคหัวใจแบบไหน บ้างก็ว่าหัวใจโต บ้างก็บอก
ว่าโรคหัวใจรูมาติค ตกลงไม่รู้อันไหนกันแน่ และเราก็ไม่อยากรับรู้ความจริงจะว่า
ยังงั้นก็ำได้ จนกระทั่งปี 40 โรคก็กำเริบอีกครั้งถึงได้รักษาอย่างจริงจัง (พอรู้หนี
หมอซะงั้น)
จนสุดท้ายชะตาฟ้าลิขิต หลังจากไปอยู่กับ รพ.เอกชนแรกได้สิบกว่าปี เอกชน
โรงที่ 2 ได้หนึ่งปี ก็ต้องส่งตัวมารักษาที่ รพ. เดิมที่้้เราหนีไป เพราะเป็นคู่
สัญญากัน แต่เราแอบดีใจน่ะ ความไว้วางใจที่เป็น รพ. ใหญ่ ซึ่งผลิตแพทย์ด้วย
ย่อมมีมากกว่าและประวัติการรักษาของเรายังอยู่ในข้อมูล ยังไม่ลบทำให้ไม่เสีย
เวลามากนัก ถือว่าโชคช่วยนะเนี่ย
หลังจากฝนฟ้าคะนอง ก็ถึงกาลฟ้าผ่าลงกลางกระบาล เมื่อหมอบอกว่า
คุณเป็นโรคลิ้นหัวใจตีบขั้นรุนแรง และรั่วด้วย (แหมเทวดา แถมมาเยอะจัง/ ตล
กอีกๆ) หมายเหตุ เนื้อหาไม่ต่อเนื่อง กระโดดไปกระโดดมา เพราะผู้เขียนสับสนค่ะ ผู้อ่านต้องทำความเข้าใจเอง ฮาาา
ขอบคุณภาพทั้งหมดจากอินเทอร์เน็ต
ขั้นตอนการรักษา ก่อนจะได้ผ่าขอบอกว่าไม่ง่ายต้องผ่านด่านเยอะ
เจาะเลือดไปตรวจนี่ชิลๆ เหมือนกินขนม
ขั้นต่อไป กลืนกล้อง นี่สิเหมือนกินยาขม ทรมานนิดหน่อยแต่ก็ต้องทน
ลักษณะกล้องเป็นสายยาวประมาณ 1 เมตรใหญ่ประมาณนิ้วก้อย ปลายสายติดกล้องจิ๋ว ใหญ่ประมาณหัวนิ้วโป้งมือ
ใส่สายเข้าทางลำคอ ก่อนใส่ต้องพ่นยาชาที่โคนลิ้น หลายครั้งมาก
ต้องใส่ที่ครอบฟัน เพื่อป้องกันการกัดสาย
พอใส่สายได้หมอก็จะหมุนสายไปมาเพื่อตรวจว่าหัวใจเป็นอะไรบ้าง มีลิ่มเลือดมั้ย จะมีอาการเจ็บนิดๆ แต่จะเจ็บมากตอนเอาสายเข้ากับตอนเอาสายออกนี่แหละ
ภาพประกอบด้านล่างเป็นการตรวจกะเพาะนะคะ ยืมมา แต่ใกล้เคียงกัน จะแสดงผลบนจอที่เป็นภาพขาวดำ ฟังพยาบาลพูดว่าเดี๋ยวนี้มีแบบแสดงภาพเป็นสามมิติ มีสีด้วย แต่ราคาเป็นล้าน เรานึกในใจว่าถ้ามีเงินก็ดีสิจะบริจาคให้ รพ. ล้านนึงเลย
ที่คิดแบบนี้เพราะเราในฐานะคนไข้ รู้ถึงความจำเป็น ถ้าเครื่องมือทันสมัย การอ่านผล แปรผลมันย่อมแม่นยำกว่า ขอชมว่าหมอไทยเก่งมากๆๆๆ
เราต้องกลืนกล้องทั้งหมด 3 ครั้ง ห่างครั้งละ 1 เดือน เพราะข้อจำกัดข้อแรก ที่หมอจะไม่ผ่าเลยคือมีลิ่มเลือด หากไม่ตรวจแล้วผ่า
อาจมีลิ่มเลือดไปอุดตันที่สมองก็จะทำให้เป็นอัมพาตได้ หรือว่าสมองตาย รึป่าวไม่แน่ใจน่ะ และเราก็โชคดีเจงๆ ปรับยาที่ทานก็แล้ว
ลิ่มเลือดก็ไม่หายไปค่ะ ยังอยู่ดีเหนียวแน่นมาก (วิธีแก้ไข จะเล่าตอนหลังนะคะ)
อย่างกรณีของแม่พระเอกซี ศิวัฒน์ (ขออภัยที่อ้างอิง) จากข่าวบอกว่าผ่าตัดเข่า
แล้วเสียชีวิต เพราะมีลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด (ไม่ได้วางยาสลบด้วยแค่บล็อคหลัง
เท่านั้น) ใครจะรู้ผ่าตัดเข่าห่างไกลหัวใจตั้งเยอะ ยังตายได้ สอนให้รู้ว่าทุกสิ่งทุก
อย่างอย่ามองข้ามความปลอดภัย เราผ่าตัดหัวใจ ผ่านมาได้มานั่งเม้าท์อยู่นี่ นึก
หนาวข้างในเลยค่ะ
ขั้นต่อไป การฉีดสีสวนหัวใจ เป็นการตรวจหลอดเลือดหัวใจว่าตีบ,ตันหรือไม่
การฉีดสี หมายถึง การฉีดสารน้ำที่ทึบรังสีเข้าไปในร่างกายผ่านทางหลอดเลือดแดง เป็นสารที่ปลอดภัยเพราะเป็นสารไอโอดีน
การสวนหัวใจ หมายถึง การใส่ท่อเล็กๆประมาณ 2 มิลลิเมตร ที่ขาหนีบ หรือ ข้อมือ (ไม่ใช่บอลลูนนะคะ)
**ของเราทำตรงข้อมือค่ะ คุณหมอเลือกให้ สะดวกสำหรับคนไ้ข้ ข้อจำกัดไม่เยอะด้วย ส่วนใหญ่จะทำที่ขาหนีบ ข้อจำกัดเยอะกว่า เช่น ต้องใช้ไม้ดามตั้งแต่ใต้เข่าจนถึงข้อเท้า หลังทำต้องนอนนิ่งๆ 12 ชม. ห้ามขยับ ห้ามงอ ห้ามพลิก เพื่อห้ามเลือดทางปากแผลให้หยุดสนิท
ขณะทำรู้สึกตัวตลอดเวลา เพราะฉีดยาชาเท่านั้น ความรู้สึกเวลาฉีดสีเข้าไปจะรู้สึกวูบวาบ อุ่นๆข้างใน ดูที่จอแสดงผลจะเห็นเหมือนสีที่ละลายอยู่ในน้ำ
ภาพจากอินเทอร์เน็ต
ผลปรากฏว่า เส้นเลือดของเราดีมาก ไม่มีเส้นไหนอุดตันเลย คุณหมอว่างั้น
เย้ๆ ผ่านไปเปลาะหนึ่ง ไม่ต้องผ่าเส้นเลือดร่วมด้วย ลดความเสี่ยงไปอีกเยอะ
และกว่าจะถึงวันนัดเข้า รพ. เพื่อผ่าตัด ก็โดนเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ถึงสามครั้งสามครา
คุณพยาบาลโทรมาเลื่อนครั้งที่ 1 บอกว่า คุณหมอติดประชุม นึกสงสัยเหมือนกัน ประชุมกับผ่าตัด อันไหนสำคัญกว่าอ่า ความคิดตอนนั้น แต่ก็ได้แต่พูดว่า ค่ะๆๆๆ
พอเตรียมตัวจะไป พยาบาลโทรมาเลื่อนครั้งที่ 2 บอกว่า คุณหมอติดธุระด่วน อืมม ได้แต่สงสัยแล้วก็ค่ะๆเหมือนเดิม
พอครั้งที่ 3 โทรมาเลื่อนอีก แต่จำไม่ได้แล้วว่าเหตุผลอะไร หูมันอื้อไปหมดแล้ว ทนไม่ไหวล่ะ ไป รพ. ต้นสังกัดดีกว่า เล่าให้เค้าฟังว่าโดนเลื่อนนัดผ่า 3 ครั้งแล้ว
ผอ. โรงพยาบาลก็ดีใจหาย บอกว่า "ผมจะเปลี่ยนให้ไปผ่าที่ รพ. เอกชน เอามั้ยล่ะ ผมเซ็นต์ให้เดี๋ยวนี้เลย"
แต่เราเห็นว่าเป็น รพ. เล็ก ก็เลยไม่มั่นใจ แถมถึงผ่าได้เลยก็ต้องเริ่มต้นตรวจใหม่อยู่ีดี กับที่เก่าที่นัดผ่าแล้ว ไงๆมันน่าจะไม่นานมาก คิดงี้ก็เลยปฏิเสธไป
ผอ. เลยให้เราไปคุยกับ ปกส. รพ.
ทาง ปกส. ก็เลยโทรไปคุยกับพยาบาลที่โทรเลื่อนนัดเราอีกที
ได้ความว่า ทาง รพ. ได้ปรับปรุงห้องผ่าตัดครั้งใหญ่ (เอ่อ ทำไมต้องมาปรับปรุงตอนเราจะผ่าด้วยน่ะ) และที่นานเพราะต้องเซ็ทเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ทั้งหมดใหม่อีก
ทำให้ต้องใช้เวลา (มีเหตุผลเนอะ ถ้าเซ็ทไม่ดี เดี๋ยวผ่าตัดผิดพลาด ก็ส่งผลไม่ดีต่อเราอีก อืมๆเข้าใจๆ)
ขอบอกว่าเหตุผลข้างต้น ขี้หกทั้งเพ เรารู้ทีหลังตอนนัดมานอน รพ. นั่นแหละ
เพราะเหตุผลที่แท้จริงคือ.....
หมอคนที่จะผ่าตัดเราลาออกค่ะ (อืมม บอกเหตุผลนี้ตั้งแต่แรกเราก็เข้าใจได้น่ะ แต่ที่เค้าไม่บอกก็มีเหตุผลอีกแหละ เดี๋ยวจะบอกตอนหลังนะคะ/ เอ๊ะ! จะบอกก็ไม่บอกเลย ขอมั่งสิ อิอิ)
และไม่ได้ออกท่านเดียว มีอีกท่านนึงลาออกเหมือนกัน ทำให้แผนกศัลยกรรมโรคหัวใจและทรวงอก มีหมอเหลือ 2 ท่าน คืออาจารย์หมอ และ พญ. อีก 1 ท่านเท่านั้น
ทำให้ อาจารย์หมอ ต้องมาผ่าตัดเราแทน (ซึ่งท่านยุ่งมากในสามโลกหล้า)
จะว่าไปเราก็แอบดีใจน่ะ ที่ได้ อจ. หมอมาผ่าให้ ไงๆก็ต้องเก่งกว่าหมอธรรมดาล่ะ ว่าป่ะ
หากต้องมีการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับส่วนใดส่วนหนึ่งของหัวใจ มีความจำเป็นต้องให้หัวใจหยุดเต้นชั่วคราว เพราะมิฉะนั้นจะไม่สามารถทำอะไรกับหัวใจขณะเต้นได้ เนื่องจากหัวใจมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา การไหลเวียนของโลหิตและระบบการหายใจของร่างกายขณะนั้นจะต้องอาศัยเครื่องมือที่ทำหน้าที่แทนหัวใจและปอด ที่เรียกว่าอุปกรณ์หัวใจและปอดเทียม เพื่อคงสภาพการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองและอวัยวะที่สำคัญให้ทำงานได้ตามปกติ ดังนั้นไม่ว่าจะต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ผ่าตัดเสริมหลอดเลือดหัวใจตีบ ก็จำเป็นต้องให้หัวใจหยุดเต้นและใช้อุปกรณ์หัวใจและปอดเทียมเหมือนกัน
สำหรับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ มีจุดประสงค์เพื่อเอาลิ้นหัวใจที่ผิดปกติออก และเอาลิ้นหัวใจใส่เข้าไปแทนที่ ซึ่งอาจจะเป็นลิ้นหัวใจที่ทำจากพลาสติกหรือทำจากโลหะ หรืออาจเป็นลิ้นหัวใจที่นำมาจากเนื้อเยื่อของมนุษย์เองหรือจากสัตว์ก็ได้ (ที่มา: thaigoodview.com)
ต้นเดือนมีนาคม เราต้องเข้านอน รพ. เพื่อตรวจร่างกายก่อนผ่าตัดนานถึง 5 วัน (คนอื่นๆไม่น่าจะนานเ่่ท่านี้น่ะ) ตรวจทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างละเอียดค่ะ และเหตุผลที่นานเพราะ ลิ่มเลือดนี่ล่ะ เรื่องใหญ่ ที่เราบอกไว้ข้างบนว่า คุณหมอจะไม่ผ่าเลยถ้าลิ่มเลือดไม่สลายไป และเรามีโรคมาอีกโรคคือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (ไม่ใช่เบาหวานนะคะ คนละโรค) แถมตอนสาวๆเคยเป็นไทรอยด์เป็นพิษอีก แต่หายแล้วค่ะ
ปกติเราจะทานยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดประจำอยู่แล้ว (ทำให้เลือดออกง่าย ห้ามมีแผลเลือดออก) ก่อนผ่าตัด 7 วันหมอให้งดยากิน เพราะเวลาผ่าเดี๋ยวเลือดไหลไม่หยุด แต่ลิ่มเลือดก็ต้องทำให้สลายไป มันขัดแย้งกันอยู่เนอะ เคสเรามันไม่ธรรมดาเหมือนคนอื่นอ่ะ ดังนั้นคุณหมอเลยแก้โดยวิธี ฉีดยาละลายลิ่มเลือด ก่อนผ่า 2 วัน วันละเข็มบริเวณรอบสะดือ
เกือบลืมเล่าถึง อจ. หมอ ปกติ อจ. หมอ จะลงมือผ่าเองน้อยค่ะ เพราะเป็นหัวหน้าแผนกนี้ด้วย ดังนั้นงานบริหารก็เยอะอะน่ะ
อายุก็ประมาณ 50 กว่าๆ ไม่หนุ่มแต่ก็ไม่แก่เท่าไหร่ เราประทับใจมาก เพราะคุณ
หมอมีบุคคลิกนุ่มนวลค่ะ พูดจาก็เพราะ ก่อนวันผ่าตัดหมอก็มาตรวจตามปกติ
หมอ: มีอะไรจะถามหมอมั้ยครับ
เรา: เอ่อๆๆ กลัวไม่ฟื้นอย่างเดียวอะคะ
หมอ: ไม่ต้องกลัวนะครับ เราเกิดมาในยุคนี้ ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย มีอุปกรณ์หัวใจเทียม เครื่องปอดเทียม ไม่เหมือนยุคเก่าๆ ที่ผ่ากันสดๆเลย รอดก็รอด ประมาณนั้น มีกรณีเดียวที่ไม่ฟื้นคือ ติดเชื้อในกระแสเลือด อันนี้ช่วยไม่ไ้ด้จริงๆ
เรา: อ๋อ ค่ะ ขอบคุณค่ะ
พักสายตา
เมื่อถึงวันอันระทึก ใครเคยเข้าผ่าตัดใหญ่คงรู้ดีว่า ความรู้สึกเป็นเช่นไร
7.30 น. เตียงเข็นก็มา เราก็ขึ้นนอนเพื่อไปห้องผ่าตัด
ถึงหน้าห้องผ่าตัด จะมีเฉพาะช่องให้คนไข้เข้าเท่านั้น จะเป็นสายพานหมุนๆให้เราสไลด์ตัวท่านอนเข้าไปมีเตียงเข็นรับอยู่ด้านใน ถึงตอนนี้รู้สึกแป่วๆเหมือนกัน มองไม่เห็นหน้าญาติแล้ว มีแต่พยาบาล กับ จนท. เท่านั้น
พยาบาลก็เข้ามาถาม ชื่อ นามสกุล เพื่อไม่ให้ผิดตัว และถามว่า วันนี้มาทำอะไรค่ะ เราก็ตอบไปเพื่อยืนยัน กันไม่ให้ผิดโรคผิดตำแหน่งมั้ง หลังจากนั้นเค้าก็เอาที่ครอบปากจมูกเพื่อให้ออกซิเจน เสียงพยาบาลบอก สูดเข้าไปแรงๆนะคะจะไ้ด้รู้สึกสบายๆผ่อนคลาย เราก็ทำตามสูดเข้าไปหลายๆครั้ง และไม่รู้สึกตัวอีกเลย เพิ่งรู้ทีหลังว่าเค้าใส่ยาสลบไปกับออกซิเจน
ก่อนสลบเราธรรมดามากๆไม่รู้สึกเครียดหรือวิตกใดๆเลย
ตามคิวผ่าประมาณ 10.30 น. และออกจากห้องผ่าตัดตอนบ่ายสามกว่าๆ
เมื่อฉันมีลมหายใจอีกครั้ง
ความรู้สึกแรกหลังจากฟื้นกลับมาคือ คนไปไหนกันหมดน่ะ (เราไม่ได้ลืมตาเป็นแค่เพียงความรู้สึกเท่านั้น) ทำไมไม่มีใครเดินผ่านมาเลย จะถามแค่ว่า "ผ่ารึยัง" แค่นั้นแหละ แล้วก็หลับต่อ หลังจากนั้นเค้าก็คงเข็นไปห้องไอซียู
พี่สาวเล่าให้ฟังว่า เข้ามาหลายครั้งแล้วแต่เราไม่ฟื้นซะที เค้าเห็นสภาพสายระโยงระยางเข้าไปในลำคอเยอะแยะไปหมด ดูจากสภาพเราก็คงกลัวว่าเราจะไม่ฟื้นนะแหละ พออีกครั้งพี่สาวเอามือมาแตะที่แขน เราลืมตาพรึบเลย เหมือนว่าสลึมสลือด้วยยาสลบ พอมีคนมาแตะถึงลืมตาได้ ประมาณนั้น พี่สาวตกใจ อ้าวว
ประสบการณ์ในห้องวิกฤต จะผ่านพ้นช่วงอันตรายหรือไม่ก็อยู่ที่ห้องนี้
พอฟื้นคนไข้ทุกคนจะร้องหาน้ำ เค้าจะไม่ให้ดื่มน้ำค่ะจนกว่าจะครบ 12 หรือ 24 ชม. นี่แหละจำไม่ไ้ด้ หลังจากให้ดื่มได้ ก็ให้แค่จิบๆเท่านั้น แถมควบคุมปริมาณอีก พยาบาลบอกว่า ในห้องนี้ น้ำกับน้ำแข็ง อร่อยที่สุดในโลก 55
เราประทับใจพยาบาลที่ประจำเตียงเรา เค้าเอาใจใส่ ดูจากการเช็ดตัวให้ก็รู้เลยว่าไม่รังเกียจ ไม่ใช่แค่ทำผ่านๆ แต่เค้ามีจิตบริการจริงๆ
เราถามเค้า บอกว่าทำมา 10 ปีแล้ว อืมมนานเนอะ คนไข้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เค้าต้องอยู่ตรงนั้น ทำแบบเดิมๆ เค้าบอกเป็นพยาบาลต้องทำให้คนไข้ได้ทุกอย่าง นับถือๆอ่ะ ขอตินิดนึงพยาบาลดูทีวีกันเสียงดังมาก เรานอนไม่หลับ
ช่วงแรกๆพูดไม่ได้เพราะใส่สายอยู่ อยู่ในห้องนี้ ไม่ต้องเรียกพยาบาลค่ะ เค้าไม่มา เราขวักมือเรียก ไม่มีใครสนใจเลยอ่า จะบอกว่าให้ปิดพัดลมให้หน่อย (แอร์ไม่เย็นเลยใช้พัดลมช่วย) เห็นเราเป็นอากาศธาตุไปซะงั้น แต่พอถึงเวลาเค้าจะมาเอง หรือถ้าเครื่องของเราดัง ติ๊ดๆ เค้าจะวิ่งมาดู ว่ามีไรผิดปกติ เครื่องมันจะฟ้องเอง
ช่วงนี้ก็ยาระงับปวดกันไป ขยับก็ไม่ได้เพราะปวดแผล และเรามีภาวะซีด เลยต้องให้เลือด 2 ขวด ถึงตอนนี้รู้สึกซาบซึ้งคนที่บริจาคเลือด คุณได้บุญมากๆที่ได้ต่อชีวิตคนๆหนึ่ง กราบขอบคุณค่ะ ก่อนเข้า รพ. พยาบาลเค้าก็บอกว่า ให้หาญาติหรือคนรู้จักมาบริจาคเลือด กรุ๊ปใดก็ได้เพื่อทดแทนกัน
หลังจากอยู่ในห้องนี้ประมาณ 5 วัน ก็ย้ายไปอยู่ห้องรวม เราขอห้องพิเศษแล้วไม่ได้ พยาบาลบอกว่า ตึกนี้ไม่มีห้องพิเศษ และไม่สะดวกคุณหมอต้องไปตรวจข้ามตึกด้วย ห้องรวมก็เหมือนห้องพิเศษแหละ เพราะมีแค่ 2 เตียง เนื่องจากที่บอกว่าหมองดผ่าหลายๆเคสเพราะหมอลาออก ผ่าไม่ทันประมาณนั้นน่ะ
จะบอกว่าส่วนมากคนเป็นโรคหัวใจ มีแต่แก่ๆแล้วทั้งนั้น ทำให้รู้สึกว่าเราสาวที่สุดในรุ่น 555 (แหมดีใจพิลึก)
ข้างเตียงเราก็เป็นป้าอายุประมาณ 74 ปี แกเ็ป็นที่หลอดเลือดหัวใจ ต้องผ่าเส้นเลือดที่ดีตรงหน้าแข้งหรือน่อง เพื่อมาเปลี่ยนตรงหัวใจ ที่เค้าเรียกบายพาสอ่ะ การผ่าตัดหลอดเลือดเป็นอะไรที่ยุ่งยากมากกว่าอีก เส้นเลือดเล็กๆเองเนอะ
เราทึ่งแกมาก เพราะแกไม่เคยร้องโอยให้เราได้ยินเลยซักครั้ง จนถึงวันที่เราออกโรงพยาบาล ส่วนเราร้องโอ๊ยๆ ทุกครั้งที่ขยับตัว หรือไอ จาม ขอบอกว่าเจ็บปวดทรมานมากกกกกกกกกถึงมากกกกที่สุด
เราสงสัยเลยถามป้าว่า ป้าไม่เจ็บเหรอค่ะ ไม่เคยเห็นป้าร้องให้ได้ยินสักแอะเดียว
แกตอบว่า เจ็บสิ แต่ร้องไปก็เท่านั้นแหละ ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น / อึ้งอ่ะ
พักเบรค
ใกล้ๆออกจาก รพ. คุณหมอก็มาตรวจตามปกติ
หมอ: คุณ..... ดีใจมั้ยครับจะได้กลับบ้านแล้ว
เรา: ส่ายหน้าพร้อมบอกว่า "ยังไม่อยากกลับค่ะ"
หมอ: อึ้งๆๆ ทำหน้างงๆ มีแต่คนดีใจเวลาหมอบอกว่าให้กลับบ้าน"ทำไมละครับ"
เรา: นึกในใจ กลัวคิดถึงหมอนะค่ะ ฮิ้วว อิอิ "กลับไปไม่มีคนดูแลเลยอยากอยู่ รพ. ค่ะ" (รันทดได้อีกชีวิต)
หมอ: อืม แต่ถ้าคนไข้ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเป็นอะไร ต้องกลับไปพักฟื้นที่บ้านนะครับ ไม่งั้นหมอต้องทำหนังสือเสนอให้ ผอ. รพ. ทราบและอนุมัติ
เรา: เหรอค่ะ ค่ะๆได้ค่ะ
หมอ: งั้นหมอให้อยู่ต่ออีกสองวันนะครับ / ยังใจดีแถมให้เราอีกแน่ะ
เรา: ขอบคุณค่ะหมอ
สรุปรวมอยู่ รพ. ทั้งหมด 21 วัน ก่อนกลับถามหมอว่า เมื่อไหร่ขับรถได้ค่ะ หมอบอก 3 เดือนครับ เอาเข้าจริง 2 เดือนกับอีก 8 วัน(นับจากวันลงมีดนะคะ ไม่ใช่วันออกจาก รพ.) อิชั้นก็ขับรถแล้วค่า ไม่ได้อยากขับ ความจำเป็นมันบังคับอ่ะ
ลืมบอกว่าแผลที่ผ่า เป็นเส้นตรงลงมา เหมือนโดนแหวะอก น่ากลัวป่ะ ยาวประมาณ 1 คืบ
นน. ลดลง 5 โล จาก 56 เหลือ 51 ตอนนี้อยู่ในช่วงเรียกเนื้อ เอ๊ย! ไม่ใช่ๆ มันมาเอ๊งงง กลับมาที่ 53 แว้ววค่า
ของเราใช้ลิ้นหัวใจเทียมที่เป็นโลหะค่ะ ค่าใช้จ่ายประมาณ สองแสนกว่า (ปกส.)
เราจ่ายส่วนที่เบิกไม่ได้แค่สี่พันกว่าเท่านั้น save มากๆ Like ค่ะ :D
มีคนเล่าให้ฟังว่ามีญาติคนหนึ่งใส่ลิ้นหัวใจวัว กับ รพ. เอกชน ค่าใช้จ่ายล้านนึง
แพงอ่ะ เป็นทางเลือกสำหรับคนมีตังค์อะน่ะ
ข้อดี - ข้อเสีย
- ลิ้นหัวใจเทียม (Mechanical Valve)?มีชนิดลูกบอล ทำจากสาร Silastic และชนิดโลหะเป็นบานพับ (Disc Valve) ทำงานเหมือนการปิดเปิดของประตูหรือหน้าต่าง
ข้อดี???? : ลิ้นหัวใจเป็นโลหะ จึงคงทนไม่มีการเสื่อมสลาย ข้อเสีย?ต้องกินยากันเลือดแข็ง (anticoagulation) ตลอดชีวิต เกิดลิ่มเลือดจากลิ้นหัวใจได้ เกิดการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจใหม่ได้ มีเสียงของลิ้นหัวใจดังรบกวน - ลิ้นหัวใจจากเนื้อเยื่อสัตว์ (Bioprosthesis, Tissue Valve)?มี 2 ชนิด คือ ลิ้นหัวใจหมู (Porcine Valve) และลิ้นหัวใจที่ทำจากเยื่อหุ้มหัวใจของวัว (Bovine Pericardium)
ข้อดี????ไม่ต้องกินยากันเลือดแข็งและเกิดลิ่มเลือดที่ลิ้นหัวใจน้อย ข้อเสีย?ลิ้นหัวใจใหม่จะเสื่อมสภาพภายใน 5-10 ปี ทำให้ต้องทำผ่าตัดใหม่
ความกังวลโทรคุยกะเพื่อน
เรา: แก คอชั้นเหี่ยวว่ะ เหี่ยวทางขวางพอเข้าใจได้ว่าแก่แล้ว แต่นี่มันเหี่ยวเป็นเส้นๆทางลง หมายความว่าไงว่่ะ เกิดจากที่หมอผ่าตัดแน่เลย (หมายถึงว่าหมอเย็บตรงหน้าอก เนื้อก็หายไปบางส่วน แต่ที่ลำคอเนื้อเท่าเดิม มันเลยเหี่ยว ความคิดเราน่ะ)
เพื่อน: เออ ช่่างมันเหอะ รอดมาได้ก็ดีแล้ว
เรา: อืม ก็จริงน่ะ ก่อนผ่าก็บอกว่า ขอแค่รอดเท่านั้น พอได้คืบจะเอาศอก พอได้ศอกจะเอาวา คนเราเนอะ
อีกนิดจะจบล่ะ ครบ 1 เดือนไปพบหมอตามนัด หมอที่มาตรวจเรากลับกลายเป็นหมอที่บอกว่าลาออกไปแล้ว เซอร์ไพรส์มากๆ และที่พยาบาลไม่บอกเหตุผลกับเราตั้งแต่แรก เพราะรู้ว่าหมอไปทดลองก่อน ถ้าไม่ดีก็กลับมาประมาณนั้นค่ะ
ตอนนี้ก็ครบสามเดือนแล้วนับจากวันผ่า เราดีขึ้นเยอะแล้ว และที่ลืมไม่ไ้ด้คือต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เป็นห่วง แวะมาส่งกำลังใจกัน ขอบคุณนะคะ เราได้อ่านทุกเม้นท์ค่ะ แต่ที่ยังไม่ตอบเพราะแรงยังไม่มา อิอิ
คนที่อ่านมาถึงตรงนี้ได้ครบหมดโดยไม่ข้าม คุณได้ที่ 1 มารับเหรียญทองค่ะ สุดยอด พร้อม อีกหนึ่งกล่อง คริคริ
บันทึกแนบท้าย หลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมควรจะต้องทราบ ดังนี้ 1 การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม แม้ว่าไม่ได้ทำให้คุณหายขาดจากโรคหัวใจ แต่คุณจะสบายขึ้น มีอายุยืนยาวขึ้น สามารถกลับไปทำงานได้ 2 ลิ้นหัวใจเทียมเป็นสิ่งแปลกปลอม ร่างกายจะสร้างลิ่มเลือดเล็กๆเกาะที่ลิ้นหัวใจ ทำให้ลิ้นหัวใจเสีย ต้องผ่าตัดเปลี่ยนอีก และ ลิ่มเลือดเหล่านี้ทำให้เกิดอัมพาตได้ นอกจากนั้นลิ้นหัวใจเทียมยังติดเชื้อโรคง่ายกว่าลิ้นหัวใจปกติ 3 จำเป็นต้องรับประทานยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ชื่อ Coumadin หรือ Orfarin ไปตลอดฃีวิต 4 ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดนี้ก็มีอันตราย เพราะทำให้เลือดแข็งตัวช้า เลือดออกง่าย และ มากผิดปกติ ในทุกๆส่วนของร่างกาย อาจถึงขั้นเสียฃีวิตได้ 5 จำเป็นต้องพบแพทย์ และ ตรวจการแข็งตัวของเลือดเป็นระยะ เพื่อปรับยาให้เหมาะสม ห้ามปรับยาเอง กรุณาพบแพทย์ตามนัดเสมอเพื่อประโยชน์ของท่านเอง 6 ยานี้มีปฏิกริยาเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นๆหลายขนาน รวมทั้ง ยาแก้หวัด ต้านการอักเสบ ยาสมุนไพร อาหารเสริม ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อยาต่างๆรับประทานเองโดยเด็ดขาด 7 ห้ามฉีดยาเข้ากล้าม ห้ามทำผ่าตัดใดๆ ห้ามทำฟัน ก่อนปรึกษาแพทย์โรคหัวใจที่ดูแล 8 หากมีเลือดออกผิดปกติ ให้หยุดยาและพบแพทย์ทันที 9 ควรหลีกเลี่ยงโอกาสเกิดอุบัติเหตุ หรือ งานที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ 10 ผู้ป่วยสตรีที่รับประทานยานี้อยู่ห้ามตั้งครรภ์เด็ดขาด โอกาสที่เด็กจะพิการ มีสูงมาก 11 ท่านควรมีบัตรที่แสดงว่ารับประทานยานี้อยู่ และ แจ้งแพทย์ที่ไม่ใช่แพทย์ประจำตัวท่าน ทุกครั้งว่ารับประทานยานี้อยู่ จะเห็นว่ายานี้มีอันตรายและข้อควรระวังมาก แต่ก็เป็นยาที่มีความจำเป็นต้องใช้ในผู้ที่ได้รับ ลิ้นหัวใจเทียมอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงควรทราบไว้เพื่อปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง ทั้งนี้เพื่อตัว และหัวใจ ของท่านเอง
Create Date : 20 มิถุนายน 2556 |
|
41 comments |
Last Update : 20 มิถุนายน 2556 10:33:07 น. |
Counter : 5631 Pageviews. |
|
|
|