|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ความแค้นเป็นดังของหวาน...บทที่ 12 ...กระพือ...
รังสฤษฏ์เติบโตมาในครอบครัวของแพทย์ พ่อของเขา นายแพทย์ รังษี เป็นศัลยแพทย์ทางด้านหัวใจที่มีชื่อเสียง และสืบทอดกิจการโรงพยาบาลมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ‘คุณแม่’ของเขาชื่อ ชวณี ‘เอิงเป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าหนึ่ง สองเป็นชื่อภาษาไทย’ รังสฤษฏ์และชาลิดามีชื่อเล่นเป็นตัวเลขเหมือนกัน แต่แตกต่างแค่ภาษา
พ่อของเขามักจะพร่ำบอกเสมอ‘เอิง’ไม่ใช่แค่ชื่อแต่คือสิ่งที่เขาควรจะเป็น เก่ง ที่หนึ่ง เฟอร์เฟ็ค เขาทำอะไรไม่เคยพลาด ชีวิตของสมบรูณ์แบบทุกอย่าง จะมีแค่สองครั้งเท่านั้นที่ผิดพลาดซึ่งส่งผลต่อชีวิตของเขาจนกระทั่งปัจจุบัน หนึ่งคือเรื่องในวัยเด็กที่เล่นซุกซนจนตกลงไปในบ่อน้ำเก่าภายในบ้าน
สองคือเรื่องที่ละเลยชาลิดาจนเกิดอุบัติเหตุ ทั้งสองเรื่องทิ้งรอยแผลในใจเขามากเท่าๆกัน กลัวความมืด(Achluophobia) อาการที่เสียดแทงใจ รังสฤษฏ์รู้สึกอึดอัด มือไม้เย็นทุกครั้งที่อยู่ภายใต้ความมืด มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่นะ... คงเป็นเมื่อวัยเด็กที่เขาตกลงไปในบ่อน้ำกระมัง เด็กชายรังสฤษฏ์ตกลงไปในบ่อน้ำเก่าในบริเวณบ้านหนึ่งวันเต็มๆ ร่างกายเล็กๆแช่อยู่ในน้ำกลิ่นอับๆ ความมืดและเย็นชื้นเกาะกินเขาจนแทบหมดลมหายใจ ที่จำได้ก็คือ รอยยิ้ม ฟันขาวเป็นระเบียบ และปลายเส้นผมดัดลอน สายตาคู่นั้นมองมาอย่างชิงชังและประสงค์ร้าย ก่อนที่ฝาของบ่อจะปิดลง พร้อมกับเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือจากเขา
‘โชคร้ายจริงๆนะจ๊ะเอิง’ ‘คุณแม่’ยิ้มอย่างอ่อนโยน เมื่อมีคนรับใช้ได้ยินเสียงร้องเรียกและรีบช่วยขึ้นมาจากบ่อ ฟัน‘คุณแม่’ขาวเป็นระเบียบ ผมดัดลอนอย่างงดงาม ยามยิ้มแย้มหรือเจรจาดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ‘น่าสงสารจริงๆ’ มือของ‘คุณแม่’เย็นเฉียบ ที่ข้างซ้ายเขาเห็นสร้อยข้อมือไพลิน อัญมณีประจำราศรีเกิดของ‘คุณแม่’ สร้อยข้อมือเส้นเดียวกับที่ใส่อยู่บนข้อมือขาวที่ผลักเขาลงบ่อน้ำ!
ตั้งแต่นั้นมาโลกของรังสฤษฏ์ก็ไม่เหมือนเดิม ความจริงที่น่าเจ็บปวด ...ผู้หญิงที่คลอดเขาออกมากับ‘คุณแม่’นั้นเป็นคนละคนกัน จิตใจเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในเวลาชั่วข้ามคืน รังสฤษฏ์เลือกที่จะเก็บอารมณ์ ซ่อนสีหน้า รอยยิ้มอย่าง‘แสนดีและอบอุ่น’ถูกนำมาใช้บ่อยครั้ง พร้อมกับอาการกลัวความมืดที่คุกคามมากขึ้น
‘โฟเบีย (Phobia)หมายถึง เป็นอาการจิตวิตก ความกลัว โรคหวาดกลัว ความกังวลชนิดครอบงำ’ รังสฤษฏ์จดจำถ้อยคำนี้ได้ขึ้นใจ จุดด่างพร้อยที่ทำให้ไม่สมบรูณ์แบบ เขาพยายามอ่านหนังสือและหาทางรักษาเอง โดยที่ไม่ให้ใครรู้ การเป็นโรคที่น่าขันนี้กวนใจเขานัก เมื่อครั้งเรียนแพทย์เป็นที่ร่ำลือกันว่ารังสฤษฏ์ความจำดี ทำงานเร็ว เนี้ยบ เขาแทบไม่เคยย่างกรายมามหาวิทยาลัยยามค่ำคืนเลย การักษาโรคโฟเบียต้องใช้พฤติกรรมบำบัดเช่น สูดลมหายใจเข้าลึกๆยามอยู่ในที่มืด เตือนตัวเองไว้ตลอดว่าไม่มีอะไร ...ไม่มีอะไร จนกระทั่งถึงการจำลองสถานการณ์จริงโดยปิดไฟในห้องนอนดู
บางครั้งที่ต้องเผชิญความมืดอย่างสุดวิสัยเช่น การขับรถตอนกลางคืน หรือตรวจ วอร์ดยามค่ำคืน อาการเขาจะเพียงแค่ มือเย็น อึดอัดเล็กน้อยเท่านั้น แต่เรื่องปิดไฟในห้องนอนนี่อย่างไรเขาไม่ชิน ทั่วทั้งบ้านและโรงพยาบาลรังสฤษฏ์จึงชอบให้เปิดไฟสว่างจ้าเสียมากกว่า เขาไม่ได้กลัวความมืดแล้ว เพียงแต่ไม่ชอบมัน เหมือนกับคนเป็นล้านๆในโลกนี้ที่ไม่ชอบที่มืด แต่ทำไมนะ อาการกลัวนี้มันกลับมาเหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัยเด็ก เหน็บหนาว ใจสั่น หายใจแทบไม่ออก มือเย็นเฉียบ ทุกอย่างดูมืดมนอันธกาลตั้งแต่รับรู้ข่าวว่าชาลิดาไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้เสียแล้ว
เมื่อยามโยทะกาตื่นขึ้นในยามเช้านั้น บนเตียงไร้ร่างของรังสฤษฏ์ เด็กสาวก้าวลงจากเตียง แทบทรุดลงไปกองกับพื้น แข้งขาอ่อนแรงไปหมด หล่อนสูดลมหายใจเข้าปอด หยัดยืนขึ้น โผเผเดินไปที่ห้องน้ำ แล้วก็ต้องเม้มปากแน่นเมื่อเห็นรอยบางอย่างที่ปรากฏรอบลำคอมาจนถึงหน้าอก รอยจุมพิต! เมื่อคืนรังสฤษฏ์ทำให้โยทะรู้สึกลึกซึ้งถึงคำว่าดำกฤษณาและอิทธิฤทธิ์ของกามารมณ์
‘ไหม...ไหม’ เสียงนั้นครางวนเวียนอยู่รอบหู โยทะกาหลับปี๋เพราะไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น ‘ไหมครับ ลืมตาสิ ...มองผม’ กระนั้นหล่อนก็ยังไม่ลืมตา หลังจากนั้นริมฝีปากอุ่นร้อนก็วนเวียนไปทั่วกาย จนต่ำลงสู่เบื้องล่าง โยทะกาเบิกตาโพลงรีบผลักร่างสูงออกไป รังสฤษฏ์เลื่อนใบหน้าจากส่วนล่างขึ้นมาด้านบนอย่างรวดเร็ว
‘นั่นไง ผมรู้วิธีที่จะทำให้คุณลืมตา’ เขายิ้มน้อยๆแล้วริมฝีปากสีเข้มก็ประกบปากบางอย่างรวดเร็ว รสจุมพิตที่ดื่มดำจนหล่อนรู้สึกสมองพร่ามัว กลิ่นกายของเขายังติดจมูก เม็ดเหงื่อของเขาเป็นดังน้ำกรดที่ซึมเข้าผิวหนังหล่อนยามต้องโดน น้ำกรดที่กระตุ้นความรู้สึกส่วนลึกในสัญชาตญาณ ความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านจากส่วนล่างขึ้นมายังสมอง มัวเมา เคลิ้มฝัน จนโยทะกาเผลอหวีดร้องและกอดเขาแน่น นั่นคือสิ่งที่เรียกกันว่า...ความสุขสมแห่งเพศรส
เด็กสาวยกมือบอบบางขึ้นไล้ไปตามรอยจุมพิตที่รังสฤษฏ์ฝากไว้ นี่คือการกระทำที่ผู้ชายชอบเอามาดูถูกผู้หญิงว่า ‘ทีทับแล้วไม่ร้อง ทีท้องแล้วให้รับ’ ความหฤหรรย์ที่ทำให้ศีลธรรมในใจพร่าเลือน โยทะกาหัวเราะขื่น ให้มันรู้กันไปว่าเยื่อบางๆของพรหมจรรย์จะมาตัดสินอนาคตของหล่อน เพศรสคือสิ่งที่ทำให้เพลิดเพลินเหมือนกับการกินอาหาร ความต้องการ สัญชาตญาณการสืบพันธุ์ ล้วนเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก มีแต่มนุษย์นี่แหละที่ใช้มันห่ำหั่นทำลายศักดิ์ศรีกัน
หากรังสฤษฏ์เอาการบังคับฝืนใจมาถากถางหล่อน โยทะกาก็จะทำตรงกันข้าม ไม่ขัดขืน ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไป ทำตัวสนุกหฤหรรย์ไปกับรสรักที่รังสฤษฏ์มอบให้ ทั้งเขาทั้งหล่อนจะได้เท่าเทียมกัน หลังจากนั้นค่อยกวนประสาทเขาด้วยจุดอ่อนที่มี จะดูสิว่าหมอโรคจิตนั่นจะทำเช่นไร
“ไหมเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะแก หน้าซีดๆนะ” พัชรพงษ์หันมาซุบซิบถามเพื่อนตัวเล็กในห้องแล็คเช่อร์เล็ก ก่อนที่อาจารย์จะเข้ามา “เปล่าหรอกแพท แค่นั่งรถเมล์มาแล้วมันเหม็นควันน่ะ” โยทะกาตอบเบาๆยกเสื้อคอเต่าที่มีเสื้อนักศึกษาซ้อนทับขึ้นมาปิดลำคอ “ฉันว่าเป็นเพราะแกดันแต่งตัว‘แนว’มากๆต่างหากล่ะวันนี้ เลยอึดอัดเหงื่อแตกพลั่ก” เพื่อนปรายตามองที่ชุดสุด‘แนว’ของโยทะกา เสื้อคอเต่าซ้อนทับด้วยเสื้อนักศึกษา กระโปรงยีนส์สีดำซีดๆ รองเท้าลายตารางขาวฟ้า เป็นที่รู้กันว่าที่คณะที่เรียนอยู่ค่อนข้างอิสระในการแต่งตัว ขอแค่ตั้งใจเรียน มีงานส่ง ไม่ลอกงานใคร ไม่ไปมีเรื่อง หัดฟังอาจารย์สอนบ้าง แค่นี้ก็พอจะเรียนผ่านไปได้แล้ว
“จีน นต มานั่งด้วยกันสิ ฉันจองที่ไว้ให้แล้ว” พัชรพงษ์หันไปให้ความสนใจกับผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ ทำให้โยทะกาพอจะเบาใจได้บ้าง อาการคลื่นไส้มวนท้องจากผลของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินยังส่งผลอยู่ โยทะกามาเรียนมหาวิทยาลัยโดยรถเมล์ ตอนที่เดินออกมาคนในบ้านรังสฤษฏ์เพียงแต่ยืนดูอยู่เฉยๆ หล่อนเลือกแต่งตัวรัดกุมเพื่อซ่อนรอยจุมพิตที่คอของตนเอง เด็กสาวภาวนาให้คืนวันผ่านไปโดยเร็ว ภาวนาให้ประจำเดือนของมาเร็วๆ จะได้ไม่ต้องมาทรมานกับการกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแบบนี้ อาจารย์ประจำวิชาเข้าห้องมาแล้ว การเรียนเริ่มต้นขึ้น โยทะกาเปิดหนังสือและเริ่มแล็คเช่อร์ สมุดเล่มนี้จะเป็นขุมสมบัติของเพื่อนๆเวลาใกล้สอบ
“อาจารย์ขอนุญาตเข้าห้องครับ” สองเสียงดังประสาน ห้องแล็คเช่อร์เล็กมีประตูอยู่ประตูเดียว การเข้าออกทุกครั้งจึงอยู่ในสายตาอาจารย์ “อ้าว! พี่น้องตระกูลทอง นี่มันกี่โมงกันแล้วน่ะฮึ เวลาแค่นี้ก็ยังรักษาไม่ได้ แล้วเวลาทำงานส่งลูกค้าจะไม่ตายรึ?” อาจารย์ตีหน้ายุ่งใส่สองหนุ่มผู้มาใหม่ ช้อนเงินและช้อนทองฝาแฝดเจ้าปัญหาประจำชั้นปี “เอ้า! รีบเข้ามาได้แล้วจะได้เรียนต่อ” สองแฝดเดินหน้าซึมไปนั่งที่หลังห้อง ท่ามกลางสายตางงงันหลายๆคู่
“ทำไมวันนี้มันสองตัวดูเหี่ยวจังวะ แพท” ประณตซุบซิบกับพัชรพงษ์ “นั่นน่ะสิ อาทิตย์ก่อนพวกมันยังบอกว่าดาวคณะบริหารฯยอมไปกินข้าวด้วยเลย” จิรัฐิติกาลย่นจมูก สองแฝดเป็นพวกพยายามจะหล่อ จึงมีเรื่องหญิงมาเกทับคนหล่อแท้อย่างเขาเสมอ “ก็คงเหมือนเดิมที่แล้วๆมา แห้ว...โดนหลอกแดก” นักวิเคราะห์ข่าวประจำชั้นปีอย่างพัชรพงษ์สรุปให้ฟังง่ายๆ
“ทำไม พวกเราผิดตรงไหน” ช้อนเงินแฝดผู้พี่ซึ่งทำทรงผมสไตล์หนุ่มเกาหลีแต่ปัดเป๋ขวาคร่ำครวญ “ใช่แล้วล่ะเงิน พวกเราผิดตรงไหนออกจะเอาใจคุณปาล์มขนาดนั้น” ช้อนทองแฝดผู้น้องซึ่งทำทรงผมสไตล์เกาหลีเหมือนกันแต่ปัดซ้าย พูดเป็นลูกคู่รับกับพี่ชาย “ก็อย่างนี้แหละทอง คนหล่อมักอาภัพ” คนพี่หันมาพยักเพยิดกับน้อง
“ถ้าพวกแกไม่หยุดพล่ามนะ ฉันจะถีบพวกแกลงสระหน้ามหาวิทยาลัยเลย ไอ้ตัวเงินตัวทอง!” พัชรพงษ์แหวอย่างเหลืออดหลังจากเสียเวลาพักกลางวันครึ่งชั่วโมง มานั่งฟังเรื่องเศร้ารักน้ำเน่าสไตล์เกาหลีของคู่แฝด “โธ่! เจ้แพทพวกเราเพิ่งอกหักมานะ อกก็เดาะแล้ว เจ้ยังจะทำร้ายร่างกายพวกเราอีกเหรอ แม่ไหมช่วยพวกเราด้วย” ว่าแล้วช้อนเงินกับช้อนทองก็วิ่งมาเกาะแขนไหม ปณตและจิรัฐิติกาลหัวเราะกันก๊าก ขณะที่พัชรพงษ์ค้อนขวับๆ
ช้อนเงินและช้อนทองนับถือโยทะกาเป็นแม่ สองคนนี้ไม่ได้อยากเรียนสถาปัตย์เลย แต่บิดาที่มีธุรกิจรับเหมาก่อสร้างบังคับให้เรียน ‘หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเรียนบริหารเพื่อมาดูแลร้านทอง’ ทั้งสองเคยเปรยให้ฟัง แม่ของสองแฝดเปิดร้านทองอยู่แถวซอยอุดมสุข การเรียนอะไรโดยถูกบังคับนั้นส่งผลร้ายเสมอ เทอมแรกของสองแฝดจึงเอฟระนาว เทอมที่สองได้ทำงานกลุ่มร่วมกันกับโยทะกา สองแฝดแสดงนิสัยแย่ๆแถมยังเอาเงินมาจ้างให้หล่อนทำงานให้อีก
โยทะกาจึงปรี๊ดแตกสั่งสอนไปเสียหลายยก แล้วยังช่วยติวหนังสือให้จนสอบผ่าน ช้อนเงินและช้อนทองจึงเรียกล้อเลียนด้วยความนับถือโยทะกาเป็น‘แม่’ ส่วนชื่อเล่น‘ตัวเงินตัวทอง’นั้นพัชรพงษ์เอาไว้ด่าตอนที่สองแฝดทำอะไรไม่ถูกใจหรือเหน็บแนมเล่นๆ ซึ่งก็ไม่มีใครถือโกรธเป็นอารมณ์
“ไหนพวกแกบอกว่าคุณปาล์มดาวคณะบริหารฯ เขาออกอาการ‘ปลื้ม’พวกแกมานักล่ะ” หนุ่มหล่อของจริงไม่ต้องพยายามอย่างจิรัฐิติกาลแซว “ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง คุณปาล์มเขาบอกว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันเถอะ” คนฟังยิ่งหัวเราะกันคิกคัก ความจริงช้อนเงินช้อนทองก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ออกจะแนวเกาหลีตี๋อินเทรนด์ แถมครอบครัวก็ร่ำรวย เพียงแต่หากจะไม่ทำอะไรล้นๆทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่มแข่งกันจีบสาว หรือเพียงแต่ไม่มีชื่อจริงอันน่าขำให้คนแปลกใจ
‘ม๊าบอกว่าตอนท้องพวกเรา ม๊าเห็นหมาจีนสองตัวคาบช้อนเงินกับช้อนทองมา พอพวกเราเกิดกิจการของป๊าก็ดีขึ้นมากๆม๊าก็เลยตั้งชื่อนี้ให้’ สองแฝดมักเล่าถึงที่มาของชื่ออย่างภูมิใจ ช้อนเงินและช้อนทองมีสเปคสาวแบบเดียวกันคือสวยไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง จึงโดนสาวๆหลอกให้เลี้ยงข้าวกับซื้อของให้เป็นประจำ โยทะกากับพัชรพงษ์ต้องคอยปราม สำหรับกลุ่มเพื่อนแล้ว สองแฝดเหมือนเด็กชายซนๆเฮี้ยวๆในร่างผู้ใหญ่
อย่างวันนี้ก็เกิดอาการอกเดาะจาก คุณปาล์มหรือปรียาวดี ดาวคณะบริหารฯที่สองแฝดแอบปิ๊งตอนที่เรียนวิชามนุษย์และอารยธรรมกับคณะอื่น “หัวใจของพวกเราคงแตกสลายรักใครไม่ได้อีกแล้ว” แฝดหนุ่มทั้งสองพร่ำบ่น จิรัฐิติกาล ปณต พัชรพงษ์ และโยทะกาหันมามองหน้ากันเองอย่างรู้ความนัย เชื่อเถอะ อีกอาทิตย์หนึ่งเดี๋ยวพวกมันก็ไปตามจีบสาวคนใหม่
จะว่าไปโยทะกาก็คิดว่าดีแล้ว ที่สองหนุ่มอกหักจากคุณปาล์มนั่นเสียได้ เพราะหล่อนเห็นดาวคณะบริหารฯคนสวยบ่อยครั้งที่โรงอาหารและห้องสมุด สวยน่ะก็สวยอยู่หรอกแต่รัศมีความเป็นไฮโซ เริ่ด เชิดหยิ่ง พร่างพราวไปหมด เจ้าหล่อนขับรถยี่ห้อดาวสามแฉกเปิดประทุนมาเรียน แล้วคนที่เลิศเลออย่างนี้นะหรือจะโน้มตัวลงมาหาสองแฝด น่าแปลกอย่างหนึ่งที่คุณปาล์มคนนั้นเคยมีท่าทีสนใจจิรัฐิติกาลอยู่ เพื่อนตอบว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว แต่จนแล้วจนรอดโยทะกาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคนที่เขาชอบคือใคร
“เอิง ทำงานจนลืมเวลาเลยเหรอ” เสียงทักดังขึ้นเมื่อเลขาฯเดินนำใครคนหนึ่งเข้ามาในห้องรังสฤษฏ์ “อ้าว! มายังไงล่ะเข้ม วันนี้ไม่ต้องพาคู่หมั้นคนสวยไปดูเรือนหอเหรอ” หมอหนุ่มผิวขาวล้อ คนมาใหม่ที่ผิวเข้มกว่าสูงสง่าบึกบึนเหมือนนักกีฬาหัวเราะร่วน “อย่าล้อสิวะ ใครๆก็ตัดเพื่อนกับฉันกันหมดหาว่าฉันเอาแต่อยู่กับแฟน” ภาสกรหรือหมอเข้มของเพื่อนๆแพทย์รุ่นเดียวกันหัวเราะร่วน เขากำลังจะแต่งงานกับลูกสาวรัฐมนตรี
“ฉันจะมาชวนแกไปกินข้าวกลางวันว่ะ มีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อยด้วย” คนผิวเข้มยิ้มฟันขาวเป็นระเบียบ ภาสกรเป็นเพื่อนน้อยคนนักที่รังสฤษฏ์คบด้วยอย่างสนิทใจ เขาเป็นคนสู้ชีวิต เด็กวัดที่ไม่มีอะไรเลยแต่ใช้การเรียนเป็นอาวุธสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้พร้อมๆกับรังสฤษฏ์ หลังจากนั้นจึงมารับราชการไต่เต้าจนมีตำแหน่งใหญ่โต อยู่ในโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง “เอาสิ ฉันทำงานเสร็จพอดี” เจ้าของห้องทำงานบอกแล้วลุกจากโต๊ะทำงาน อีกอย่างที่รังสฤษฏ์ชอบในตัวภาสกรก็คือหมอหนุ่มผิวเข้มอ่านความคิดของเขาออก เมื่อรับรู้ข่าวการสูญเสียชาลิดา ภาสกรคือคนแรกๆที่มาแสดงความเสียใจกับเขา เพื่อนมาอยู่ด้วยแม้ในวันรับผลพิสูจน์ทางนิติเวช สำหรับรังสฤษฏ์ที่ไว้ตัวไม่ยอมสนิทกับใครง่ายๆภาสกรจึงเป็นคนจำนวนน้อยนิดที่ควรถนอมน้ำใจ
โยทะกามาเยี่ยมปฐมพงษ์ตามปรกติ วันนี้หล่อนเอาพระองค์เล็กๆมาไว้ใต้หมอนให้พี่ชายด้วย โดยหวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทำให้คนที่รักหายป่วยโดยไว เด็กสาวถามพยาบาลแล้วว่าอนุญาตให้วางไว้ได้ พี่ชายยังนอนหลับตา เครื่องวัดชีพจรหัวใจยังเต้นเป็นเส้นกร๊าฟขึ้นลง หล่อนเล่าเรื่องต่างๆให้พี่ชายฟังตามปรกติ หัวเราะ สนุกสนานราวกับพี่ชายมีสตินั่งฟังอยู่ด้วย จนรังสฤษฏ์เข้ามาภายในห้อง เขาปรายตาดูการแต่งกายสุดพิลึกของโยทะกาแล้วบอกเพียงแต่ว่า “ผมมีเรื่องจะปรึกษาหน่อยเรื่องเคสของพี่ชายคุณ”
แม้เด็กสาวจะค้านและเสนอให้คุยกันในห้องของพี่ชายก็ตาม แต่ดูเหมือนหมอหนุ่มจะไม่ยอมรับข้อเสนอ “ตามใจก็แล้วกัน ถ้าคุณไม่ไปคุยเรื่องการรักษา ทั้งๆที่เลขาฯผมเขาก็อยู่ในห้องนะ” ชายหนุ่มอ่อยเหยื่อ แววลังเลฉายอยู่ในดวงตาของร่างบางสักครู่ก่อนหล่อนจะยอมตกลง ระหว่างที่ทั้งสองเดินไปด้วยกันตามทางเดิน ผู้คนที่อยู่ในโรงพยาบาลล้วนแปลกใจกับความแตกต่าง คนที่สุดเนี้ยบหวีผมเรียบแปล้ในเสื้อกาวน์สีขาวและเด็กแนวผมสั้นชุดนักศึกษากระโปรงยีนส์ ดูเหมือนคุณหมอหนุ่มจะเอ้อระเหยลอยชาย ทักคนโน้นทีคนนี้ไปตามรายทาง ขณะที่คนตัวเล็กกว่าหน้ามุ่ยเม้มปากไม่ค่อยพอใจ การกระทำนั้นอยู่ในสายตาของผู้หญิงคู่หนึ่งโดยตลอด
‘หมอเอิงจะเข้างานช้าหน่อยค่ะ เพราะว่าจะไปส่งคุณไหมที่มหาวิทยาลัย’ อรอุมาเลขาฯของอดีตคู่หมั้นเคยรายงาน เมื่อยามมันตรีนีโทร.หมายเลขโทรศัพท์มือถือรังสฤษฏ์แล้วไม่มีผู้รับสาย สาวสวยจึงติดต่อเข้าหมายเลขของโรงพยาบาล อรอุมาไม่ชอบหล่อนนั้นมันตรีนีไม่ถือ เพราะรู้ดีว่าอรอุมาริษยาที่หล่อนเป็นคู่หมั้นรังสฤษฏ์ แต่ข่าวยืนยันจากอีกคนนี่นะสิ
‘หมอเอิงให้ญาติคนไข้ที่ชื่อโยทะกาไปอยู่ที่บ้านด้วยค่ะ แถมค่าใช้จ่ายในการรักษาพี่ชายคนไข้หมอเอิงออกให้ทั้งหมดค่ะ’ มันตรีนีใจเจ็บแปลบเมื่อ‘วงใน’จากโรงพยาบาลรายงานมา หล่อนเม้มปากด้วยความหึงหวงปนริษยา แม้จำต้องถอนหมั้นกับเขาด้วยเหตุผลจากตระกูล แต่มันตรีนีก็ยังมีใจปฏิพัทธ์กับเขาไม่เสื่อมคลาย ผู้ชายดีๆเพียบพร้อมนั้นหายาก มันตรีนีนึกโทษในความหน้าบางของตนเองที่ยอมถอนหมั้นกับเขา เพียงเพราะว่า รังสฤษฏ์เป็นลูกที่เกิดอย่างไม่ตั้งใจของนายแพทย์รังษี แต่กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในตระกูลก็เป็นสมบัติของรังสฤษฏ์คนเดียว หล่อนคิดว่ารอให้เรื่องต่างๆซาลงแล้วจะหาทางพูดกับที่บ้าน เพื่อให้ยอมรับรังสฤษฏ์ ดูเหมือนโอกาสจะหมดไปแล้วหรือไม่เขาก็กำลังจะประชดหล่อน เลือกผู้หญิงที่ตรงกันข้าม ...ผู้หญิงที่แลดูต่ำชั้นกว่าหล่อน
“นั่นมันยัยโยทะกานี่” เสียงพึมพำเบาๆจากคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน ปรียาวดีหรือปาล์ม ญาติของมันตรีนีที่มีเพื่อนลูกคนดังในสังคมมารักษาตัวที่นี่ ทั้งสองจึงมาเยี่ยมด้วยกัน “ที่แท้พี่ชายยัยนั่นก็มารักษาตัวที่นี่น่ะเอง” สาวน้อยแสนสวยเบะปาก
“เซอร์อย่างนั้นน่ะจะมีเงินมาจ่ายค่ารักษาเหรอ โรคพยาบาลพี่เอิงน่ะหรูจะตาย” ปรกติปรียาวดีไม่ใช่คนปากร้ายดูถูกคน ยกเว้นกับคนที่หล่อนไม่ชอบอย่างเช่นโยทะกา แค้นของผู้หญิงใหญ่หลวงนัก ...โดยเฉพาะแค้นจากความรัก โยทะกาคือคนที่จิรัฐิติกาลแอบหลงรักแต่ไม่กล้าบอก ปรียาวดีไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าหล่อนสู้โยทะกาไม่ได้ตรงไหน จิรัฐิติกาลจึงปฏิเสธการสานสัมพันธ์ฉันท์คนรักกับหล่อน แต่กลับไปเดินตามก้นโยทะกาต้อยๆ ยัยตัวเล็กผิวคล้ำนั่นมีดีอะไร
ยิ่งวันนี้เห็นท่าทีของโยทะกาและรังสฤษฏ์ที่เดินด้วยกันแล้ว... คนที่ไม่สนิทกันคงไม่ทำท่าปั้นปึงขณะที่อีกฝ่ายก็เอาแต่ยิ้มให้คนโน้นที คนโน้นทีเหมือนจะยั่วโมโหขนาดนี้หรอก มันจะต้องมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้น “ปาล์มรู้จักเด็กคนนั้นเหรอ” มันตรีนีหันมาสนใจญาติผู้น้องที่มาด้วย ทั้งสองเห็นรังสฤษฏ์และโยทะกาจากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ “ฮื่อ พี่ตรีนี ยัยนั่นชื่อโยทะกาเป็นเด็กคณะสถาปัตย์ ได้ข่าวว่าพี่ชายเขาป่วยเห็นหยุดเรียนไปพักหนึ่ง”
“อ้าว! คุณตรีนี” หัวหน้าพยาบาลในชุดขาวเสื้อคลุมน้ำเงินเดินมาทัก มันตรีนียิ้มเจื่อนให้เพราะเรื่องการถอนหมั้นระหว่างหล่อน และหมอผู้บริหารของโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นข่าวซุบซิบกันอยู่พักหนึ่ง สายตาของหัวหน้าพยาบาลตวัดไปตามทางเดินแล้วก็เห็นหลังสองร่างไวๆก็พอจะเดาสถานการณ์ออก “นั่นน่ะเป็นแค่ญาติผู้ป่วยค่ะ” ผู้สูงวัยกว่ารีบบอก แต่มีแววฉงนว่าไม่เชื่อแน่ในแววตาคู่สวยนั้น คนทำงานที่นี่จึงรู้ว่าแก้เกี้ยวไปก็เปล่าประโยชน์
“ดิฉันก็ไม่อยากจะพูดหรอกค่ะ มันเป็นเรื่องของเจ้านาย” หัวหน้าพยาบาลแกล้งป้องปากกระซิบ “เป็นเรื่องไม่ดีไม่งามเลย” มันตรีนีรู้ดีว่าคนพูดอยากเล่าใจจะขาด หัวหน้าพยาบาลชอบเอาอกเอาใจหล่อนเพราะรู้ว่ามันตรีนีกำลังจะมาเป็นคุณผู้หญิงของโรงพยาบาลนี้ “ไม่เป็นไรค่ะ ตรีนีกำลังอยากทานของว่างพอดีเลย คุณพาตรีนีไปฟูดคอร์ทหน่อยได้ไหมคะ” รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มที่ซ่อนความนัย แล้วทั้งสามคนก็ยกขบวนกันไปทานของว่างแกล้มกับเรื่อง‘ไม่งาม’
คืนนั้นโยทะกานั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ภายในห้อง หยุดเรียนไปหลายวันทำให้ต้องทบทวนหนังสืออย่างหนัก เด็กสาวไม่ใช่คนความจำดีนัก อาศัยว่าขยันท่องขยันอ่าน คะแนนจึงออกมาดีทุกครั้ง แม้ตอนนี้ชีวิตจะเหมือนตกอยู่ในความมืดมัว ติดอยู่กับคนวิกลจริตดังเช่นรังสฤษฏ์ แต่โยทะกาจะไม่ให้ชีวิตล้มลง อย่างแรกที่ควรใส่ใจคือการเรียน
ข้อสอบคราวนี้มีการสอบจับคู่กันด้วย ข้อสอบวิชามนุษย์และอารยธรรมซึ่งพวกที่เรียนสายวิทย์มาอย่างหล่อน เห็นว่ามันยากยิ่งนัก ยุคไหนเป็นยุคไหน ฮวงโฮ เมโสโปตีเมีย อียิปต์ จิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งบางครั้งโยทะกาก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไมให้หนักสมอง ในอนาคตคงไม่มีลูกค้าคนไหนมาบอกให้หล่อนออกแบบบ้านเป็นทรงกำแพงเมืองจีนหรอก หรือถ้ามีจริงๆหล่อนจะเรียกค่าจ้างให้หนัก แล้วค่อยไปหาข้อมูลมานำเสนอ ตอนนี้เรียนอะไรไปหากไม่ได้ใช้งานจริงคงเข้าหม้อหมด
“จอมทัพสูงสุดที่ได้รับการแต่งตั้งโดยจักรพรรดิญี่ปุ่นเรียกไดเมียว ส่วนตำแหน่งขุนนางเจ้าเมืองในญี่ปุ่นเรียกโชกุน” เสียงท่องหนังสือ พร้อมอาการเดินวนไปมาอยู่ในห้องดังขึ้นเป็นระยะๆ ร่างเล็กอยู่ในชุดนอนประจำตัวกางเกงบ็อกเซอร์ และเสื้อกล้ามลายคาราบาวแดง เสื้อชั้นในหล่อนใส่เป็นแบบบังทรงที่เด็กประถมนมเพิ่งตั้งเต้าใช้กัน โยทะกาควักเงินไปซื้อที่ประตูน้ำแบบยกโหล ถ้าเห็นคนแต่งตัวอย่างนี้แล้วใครยังมีอารมณ์หล่อนก็คิดว่าบ้าแล้ว
“ผิดครับ จอมทัพสูงสุดที่ได้รับการแต่งตั้งโดยจักรพรรดิญี่ปุ่นเรียกโชกุน ส่วนตำแหน่งขุนนางเจ้าเมืองในญี่ปุ่นเรียกไดเมียว” เด็กสาวคอแข็งหันขวับไปตามเสียงตอบ สายตาที่บ่งบอกนั้นตำหนิคนพูดได้ประมาณว่า‘ใครถาม!’ “คำว่าโชกุนเป็นคำย่อของคำว่า เซอิไทโชกุน ซึ่งมีความหมายว่าแม่ทัพใหญ่ผู้ปราบคนเถื่อน ส่วนคำว่าไดเมียวแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าคนใหญ่คนโต ตำแหน่งนี้มีความสำคัญรองจากโชกุนเทียบได้กับเจ้าเมือง ต่อมาไดเมียวหลายๆตระกูลจึงได้ขึ้นเป็นโชกุน” โยทะกาเม้มปากไม่ชอบใจคนขัดอย่างที่สุด เพราะนั่นหมายถึงต้องนั่งจำเรียบเรียงความทรงจำใหม่
“คุณดูจากหนังสือก็ได้ คำพูดอาจจะแตกต่างแต่ความหมายประมาณเดียวกัน” เขาท้า มีหรือที่โยทะกาจะอยู่เฉยเพราะหล่อนก็ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในคณะสถาปัตย์เหมือนกัน ปรากฏว่าคำตอบของเขาถูก “หนังสือน่ะอ่านแค่รอบเดียวแต่ตั้งใจก็น่าจะจำได้แล้วนะครับไหม แค่เข้าใจเนื้อหาก็พอแล้ว ขืนท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองเปลืองพื้นที่สมองหมด” คำพูดเหมือนหวังดีแต่โยทะการู้ว่าเป็นคำเหน็บปนเยาะเย้ย รังสฤษฏ์เดินตัวปลิวไปเข้าห้องน้ำ เด็กสาวนั่งเข่นเขี้ยวที่ตอกกลับเขาไปไม่ได้ ก่อนที่จะสั่นศรีษะไล่ความฟุ้งซ่านหันมาสนใจกับหนังสือเรียนต่อ โมโหเขาไปก็แค่นั้น หมอหนุ่มไม่ได้มาช่วยให้หล่อนทำข้อสอบได้หรอก
“กฏหมายไทยที่รวบรวมและตราขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ชื่อกฏหมายตราสาม...” โยทะกาหยุดเดินเรียกความทรงจำจากหนังสือที่เพิ่งอ่านไปเมื่อสักครู่ “กฎหมายตรา...” อะไรสักอย่างนะที่เป็นกลมๆ ใช่แล้ว! “กฎหมายตราสามชั่ง!”
“ผิดครับนั่นมันยี่ห้อน้ำปลา กฎหมายนั่นเขาเรียกว่าตราสามดวง” เฉลยข้อสอบพูดได้ยืนยิ้มอยู่หน้าห้องน้ำ เขาใส่เสื้อคอป่านกับกางเกงแพรจีน ผมยุ่งเล็กน้อย แว่นตายังวาววับเหมือนเคย ร่างบางเดินไปที่โต๊ะหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาดู เขาตอบถูกอีกแล้ว “พรุ่งนี้มีสอบเหรอครับ” ร่างสูงเดินมาหยิบหนังสือไปจากมือนั้นแล้วขมวดคิ้วยุ่งๆ “อะไรกัน โน้ตเลอะเทอะไปหมดแล้วจะอ่านออกเหรอ” “ช่างฉันเถอะน่า! เอาหนังสือฉันคืนมา คุณจะนอนก็นอนไป ฉันไม่แอบปิดไฟหรอกเพราะต้องท่องหนังสือ” โยทะกาพูดจากใจจริง วันนี้หล่อนไม่มีอารมณ์จะสู้รบปรบมือกับเขา สอบย่อยของวิชานี้รออยู่ในตอนเช้า
“งั้นเหรอครับไหม ผมว่าผมมีอะไรทำที่น่าสนใจมากกว่านอนนะครับ” เขายื่นใบหน้าขาวสะอาดหล่อเหลามาใกล้ “เรื่องบางเรื่องที่จะต้องทำกันสองคนถึงจะได้ผล” เด็กสาวขนลุกเกรียวใจเต้นรัวเร็ว นี่รังสฤษฏ์คิดจะ... นี่มันบ่อยเกินไปแล้ว ยิ่งบ่อยโอกาสมีเด็กยิ่งสูง อีกอย่างเขาไม่เหน็ดเหนื่อยบ้างหรืออย่างไร แม้ตัดสินใจว่าจะยอมเขาแล้ว แต่ฟ้าเหลืองบ่อยๆก็ไม่ไหว
รังสฤษฏ์มองท่าทางสยองของโยทะกาแล้วก็นึกขำ หล่อนคงคิดว่าคืนนี้เขาคงจะเรียกร้องให้มีอะไรกันอีกละสิ อยากมีหรือเปล่า...เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกแปลกๆในยามตื่นเช้าว่ามีเสียงกรนและลมหายใจอุ่นๆของคนข้างเตียงให้สัมผัส ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้นอนตามลำพังบนเตียงหลังใหญ่
“เอ่อ...ฉันว่า” โยทะกาใจเต้นสับสนไปหมด นึกหาคำพูดหว่านล้อมประมาณว่า ‘พี่คะทำเร็วๆนะคะหนูจะอ่านหนังสือต่อ’ แต่ครั้งนี้โยทะการู้สึกกระดาก ปากคอสั่นจนอยากจะเป็นลม รังสฤษฏ์หลุดอาการหัวเราะก๊ากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คราวนี้โยทะกาเปลี่ยนมาเป็นตกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่ม “ไหมนี่คุณคิดอะไรอยู่เนี่ย ผมแค่จะช่วยคุณติวหนังสือ พรุ่งนี้จะได้ทำข้อสอบได้ ไวไฟจริงๆคุณนี่” ร่างบางอ้าปากค้างในความช่วยเหลือที่ออกมาจากปากเขา
“แล้ว...” เด็กสาวกำลังเรียบเรียงคำพูดในสมองจะถามเขาว่า เขาแค้นหล่อนมิใช่หรือ “คืนนี้ถ้าเรามีอะไรกันเสร็จ คุณก็คงตาลีตาเหลือกตื่นขึ้นมาอ่านหลังสือ แล้วก็เดินวนไปวนมาท่องหนังสือเหมือนบทสวดสาปแช่งผมใช่ไหมละครับ” รังสฤษฏ์เดาความคิดหล่อนออกทุกอย่าง ข้อมูลจากคนของเขาที่ให้ไปสืบโยทะกาเป็นคนที่ทำเกรดเฉลี่ยได้สูงสุดของชั้นปี ถึงแม้ลักษณะภายนอกจะตรงกันข้ามแต่หล่อนก็เป็นเด็กตั้งใจเรียนเหมือนกับเขา “ผมจะลองถามคำถาม ให้คุณตอบ เราจะเก็งข้อสอบด้วยกัน ไม่อย่างนั้นทั้งคุณทั้งผมต่างก็ประสาทเสียไม่ได้นอนเต็มอิ่มแน่คืนนี้”
“ไหม ไหมครับ วันนี้มีสอบไม่ใช่เหรอ” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นเมื่อยามเช้ามาเยือน “ไหม ตื่นได้แล้วครับ” มือใหญ่เขย่าร่างเล็กที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงเบาๆ “อือ...ไม่เอาคนจะนอน เดี๋ยวค่อยไปมหาลัย” หล่อนพึมพำดิ้นไปดิ้นมาจนเสื้อผ้าเปิดให้เห็นไปถึงไหนๆแล้ว รังสฤษฏ์ส่ายศีรษะระอาใจ ก่อนที่จะงัดคำพูดไม้ตาย “ไปมหาวิทยาลัยแต่เช้าจะได้ทบทวนความรู้อีกรอบ ขืนเข้าห้องสอบเลย จะลนลานสมองไม่ปลอดโปร่งทำข้อสอบได้ไม่ดี เปอเซ็นต์ติดเอฟมีเยอะนะครับ” ได้ผล!ร่างเล็กบนเตียงชะงัก แต่กระนั้นก็ยังมิวายตอบโต้ทั้งที่งัวเงีย
“คุณไม่ต้องมาหลอกฉันหรอกน่ะ ฉันตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้ว ไปมหาลัยทันอยู่หรอก” รังสฤษฏ์ปรายตาไปที่โทรศัพท์มือถือซึ่งโยทะกาตั้งปลุกและวางไว้บริเวณหัวเตียง “อีกครึ่งชั่วโมงเองนะครับไหม ตื่นแล้วไปมหาวิทยาลัยเถอะสมองจะได้ปลอดโปร่ง ถ้าคุณไม่เชื่อหมอสมองอย่างผมแล้วคุณจะเชื่อใคร คุณรู้ไหมครับสมองอัจฉริยะต่างจากสมองคนปัญญาอ่อนยังไง แล้วรู้ไหมว่าการผ่าตัดเปิดกะโหลกเริ่มที่ส่วนไหน” เท่านั้นแหละเด็กสาวสลัดผ้าห่มลุกจากเตียงโดยไว ส่งสายตาอาฆาตให้เขาเต็มที่
“ผมให้เวลายี่สิบนาทีอาบน้ำ แล้วก็อีกสิบหน้านาทีแต่งตัว คุณจะเอาเวลาเผื่อไว้สำหรับแต่งหน้าทาปากด้วยไหมครับ” โยทะกาปิดประตูห้องน้ำดังปังแทนคำตอบ รังสฤษฏ์ยิ้มขำที่ใช้คำพูดลากหล่อนให้ลุกจากเตียงได้ เมื่อคืนจากการได้ติวหนังสือกัน เขาพบว่าโยทะกามีสมองในการจินตนาการและทักษะในการวาดรูปสูง หล่อนไล่ชื่อราชวงศ์จีนโดยที่วาดแล็กเช่อร์ในหนังสือเรียน เป็นหม้อไหกาละมังหม้อและรูปภาพประหลาดๆ ตัวอย่างเช่น
‘นี่อะไรครับ’ ชายหนุ่มชี้มือไปที่สัญลักษณ์เส้นตรงที่หล่อนเขียนไว้ใต้หัวข้อลำดับราชวงศ์จีน โยทะกาขมวดคิ้วสักครู่ก่อนจะร้องออกมา ‘อ๋อ ราชวงศ์ฉิน’ ‘แล้วทำไมต้องเขียนสัญลักษณ์เป็นเส้นตรงละครับ’ คราวนี้คนที่ขมวดคิ้วกลับเป็นรังสฤษฏ์เอง ‘อ้าว! คุณไม่เคยได้ยินคำว่าตงฉินเหรอ จำง่ายดีออกถ้าเขียนเป็นเส้นตรง’
‘งั้นทำไมเส้นตรงถึงมาแทงหมูที่มีรูปควันกรุ่นๆละครับ’ เขาชี้มาที่รูปถัดมา “อ๋อ นั่นเป็นราชวงศ์ฮั่นไง มาจากหมูหัน หมูหันมันต้องใช้ไม้ตรงๆเสียบๆใช่ไหมล่ะ ไม้ตรงๆมาก่อนก็คือราชวงศ์ฉิน เสียบไม้แล้วถึงได้หมูหันก็กลายเป็นราชวงศ์ฮั่นเป็นยังไงล่ะ มีเหตุผลดีออกจำง่ายด้วย”
รังสฤษฏ์คุ้นเคยกับการจดแล็กเชอร์แบบแปลกๆของเพื่อนนักศึกษาด้วยกันสมัยเรียน แต่สัญลักษณ์แปลกๆ แถมตีความแบบพึลึกๆอย่างหล่อนนี่เขาเพิ่งเคยเห็น ‘แล้วอย่างนี้ถ้าเพื่อนคุณยืมแล็คเช่อร์ไปดูนี่ เขาจะไม่ยิ่งงงกันเข้าไปใหญ่เหรอ’ หมอหนุ่มนึกสงสารเพื่อนที่เอาแล็คเช่อร์หล่อนไปอ่านขึ้นมาตงิดๆ ‘ก็ไม่นี่ เพื่อนคนอื่นเขาก็อ่านกันได้ปรกติ ตรงไหนไม่เข้าใจเขาก็ยังมาถามได้’ เล่นเอาคนได้ฟังนึกงงเข้าไปใหญ่ คนในคณะหล่อนนี่คงจะจินตนาการสูงจนเหลือเชื่อ จึงสามารถถอดรหัสลับประหลาดๆนี่ออก รังสฤษฏ์จึงติวให้แต่ส่วนที่เป็นตัวอักษรพิมพ์ไว้อย่างดีเท่านั้น
ความจริงอย่างหนึ่งที่เขาไม่รู้ก็คือคณะของโยทะกามีแผนกแปลภาษาแล็คเช่อร์ ให้เป็นภาษาที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ แผนกนั้นประกอบด้วยพัชรพงษ์และประณต ทั้งสองจะเอาแล็คเช่อร์ของโยทะกาไปแปลจนพอเข้าใจได้ แล้วเอาเผื่อแผ่เพื่อนคนอื่นเวลาใกล้สอบ
โยทะกาทำข้อสอบด้วยสมองที่ปลอดโปร่ง ต้องยอมรับว่ารังสฤษฏ์เก็งข้อสอบเก่งจริงๆ แปดสิบเปอเซ็นต์เป็นเรื่องที่ทบทวนกับเขามาแล้วทั้งนั้น หล่อนนั่งพับข้างหนึ่งกับเก้าอี้เพื่อทำข้อสอบ วันนี้เพื่อนๆมองเด็กสาวแปลกๆบ้างก็หันไปซุบซิบกัน คงเพราะวันนี้โยทะกาแต่งตัวเรียบร้อย กระโปรงจีบรอบคลุมเข่า และรองเท้าผ้าใบลายตาหมากรุกที่สะอาดสะอ้าน รังสฤษฏ์บังคับให้หล่อนใส่ชุดนี้ เมื่อเห็นมือบางกำลังจะหยิบกระโปรงยีนส์สีดำสนิทตัวโปรดขึ้นมาใส่
‘ไหมครับ อาจารย์คุณคงไม่อนุญาตให้นักศึกษาที่ใส่กระโปรงยีนส์เข้าสอบหรอกนะ’ ‘อาจารย์เขาไม่ซีเรียสหรอกน่า อีกอย่างกระโปรงตัวนี้มันก็สุภาพ ไม่มีใครมานั่งวิเคราะห์เนื้อผ้ากันหรอกว่าเป็นยีนส์หรือเปล่า’ หล่อนบ่นกระปอดกระแปด รังสฤษฏ์นึกเฮี้ยนอะไรขึ้นมาอีกล่ะ จึงจะมากะเกณฑ์การแต่งตัวของหล่อน ‘กระโปรงตัวนี้ครับ’ เขายื่นกระโปรงจีบรอบที่โยทะกาจะใส่ก็ต่อเมื่อ ไม่มีกระโปรงตัวไหนให้ใส่เท่านั้น ‘ไม่!’
และแล้วกระโปรงยีนส์สีดำของหล่อนก็ลอยหวือไปตกแหมะที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ ‘ตัวนั้นมันเปื้อนแล้ว ใส่ตัวนี้ครับไหม คุณก็น่าจะรู้นี่ว่าถ้าขัดคำสั่งผมจะเป็นยังไง’ รังสฤษฏ์บอกด้วยแววตาพราวระยับ โยทะกามองเขาราวกับจะเผาให้ตายไปต่อหน้า เมื่อคืนหล่อนคิดว่าเขาเป็นคนดีขึ้นมานิดหนึ่งแล้วนะที่ช่วยติวหนังสือให้ พอตอนเช้าก็กลับเป็นปีศาจโหดร้ายเหมือนเก่า แถมวันนี้ยังให้คนขับรถมาส่งหล่อนที่มหาวิทยาลัยอีก
“ไหม อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกพบ” ช้อนเงินและช้อนทองเดินมาบอกเมื่อหล่อนออกจากห้องสอบ “มีอะไรหรือเปล่า เงิน...ทอง” เวลาที่มี‘เรื่อง’เท่านั้นที่สองแฝดจะเรียกชื่อเล่นหล่อนห้วนๆเช่นนี้ “อาจารย์จะถามไหม เรื่องอาการป่วยของพี่ชาย แล้วก็เรื่องหมอที่ชื่อรังสฤษฏ์...” โยทะกาหน้าซีดมือที่จับย่ามกำแน่นและเย็นเฉียบ เสียงผู้คนรอบข้างซุบซิบลอยตามลมมาเข้าหู ‘นั่นอย่างไรล่ะ คนที่ขายตัวเพื่อรักษาพี่ชาย’
++++++++++++++++++++++
Create Date : 25 มิถุนายน 2552 |
Last Update : 25 มิถุนายน 2552 23:07:46 น. |
|
1 comments
|
Counter : 515 Pageviews. |
|
|
|
โดย: dena IP: 203.155.149.89 วันที่: 26 มิถุนายน 2552 เวลา:9:40:59 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ฟ้าเหลืองกันเลยนะหมอเอิง อิอิอิ