1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30
วาระพิเศษ - เราจะเอาอย่างไร? (ปะการัง)
จากสถานการณ์ของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้ ทำให้ผมอยากตั้งข้อสังเกตและบันทึกไว้ให้พวกเราได้คิดต่อกันสักเล็กน้อย-- ขอเริ่มต้นสมมุติด้วยตัวอย่างนามธรรมที่ใช้กันบ่อยและจับต้องได้ง่าย ดังนี้ สมมุติมีโจรพยายามที่จะเข้ามาขโมยของในบ้านเรา แต่เราจับได้หลังจากที่ปีนรั้วเข้ามาและพยายามจะงัดแงะประตูบ้านเรา เราเลยโวยวายขึ้นเสียก่อน พอเรื่องถึงตำรวจ โจรบอกว่า เปลี่ยนใจไม่ขโมยแล้ว.. เมื่อเกิดการต่อล้อต่อเถียง ไม่ยอมความกัน ก็มีการเกลี้ยกล่อมว่า หันหน้าเข้าหากันเถิด อย่าแตกสามัคคีกันเลย เพราะปรากฏว่าโจรก็เป็นคนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ผู้อาวุโสในหมู่บ้านบางคนก็พากันออกมาบอกว่า สมานฉันท์กันเถอะ ถามว่า..นั่นเป็นวิธีคิดที่ถูกต้องไหม? จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของประเทศเรา เมื่อมีปัญหาที่แก้ไม่ตก เกิดการแบ่งเป็นสองขั้ว เรามักจะมีคนเสนอหนทางที่สามขึ้นมา โดยมักจะใช้คำว่า ทางที่สาม วางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร เสนอให้สมานฉันท์ หรือหันหน้าเข้าหากัน พร้อมกับพ่วงมาด้วยคำว่า "คนไทยด้วยกัน" ฟังดูผิวเผิน ก็เคลิบเคลิ้มชวนหลงใหล เหมือนเป็นทางออกที่งดงาม-- แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว นั่นเป็นวิธีแก้ปัญหาระยะยาวที่ถูกต้องจริงหรือ? นั่นเป็นการแก้ปัญหาที่ราก ต้นเหตุ หรือเพียงแค่ปลายเหตุ? สิ่งหนึ่งเมื่อเกิดการขัดแย้ง จนบานปลาย และจบไม่ลง เรามักจะหลงประเด็นอันเป็นที่มาหลักของปัญหา.. เราไม่กล้าที่จะพิจารณาและชี้ว่า อะไรคือถูกหรือผิด อะไรคือความดีหรือความเลว เราก็เลยป้องกันตัวเอง ด้วยการบอกว่า ฉันเป็นกลาง หรือ หันหน้าเข้าหากันน่า สามัคคีกันไว้ เราคนไทยด้วยกันแต่-- ความถูกต้องกับความผิด สมานฉันท์ได้หรือไม่? ความดีกับความเลว ยอมกันได้หรือไม่? ในต่างประเทศ ไม่ต้องดูอื่นไกล แม้แต่ประเทศในแถบเอเชียเรา เมื่อมีปัญหาการทุจริต หรือแม้แต่ความบกพร่องทางจริยธรรมเกิดขึ้น ยังไม่ต้องถึงกับมีใบเสร็จ เพียงแค่ดูไม่ชอบมาพากลให้เกิดความสงสัยเพียงเล็กน้อย นักการเมืองเหล่านั้น ก็ต้องแสดงสปิริตลาออกไป และไม่ใช่จบแค่ลาออกไป แต่ยังต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลเหมือนคนธรรมดาที่ไม่มีอำนาจอยู่ในมือเพื่อพิสูจน์ตัวเอง จนหลายรายต้องติดคุกติดตาราง แต่ในบ้านเมืองเรา มีการแสดงสปิริตเหล่านั้นบ้างหรือไม่ ส่วนใหญ่ที่เห็นและเป็นอยู่ คือตะแบงเถียง จนกว่าจะจับให้ได้คาหนังคาเขาเสียก่อน ถ้ารู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยม ก็รอดตัวไป หรือแม้แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ก็ยังมีการวิ่งเต้น ทำให้ผิดเป็นถูก ทำดำให้เป็นขาว เรารับรู้และเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นประจำ จนกลายเป็นความเคยชิน และกลายเป็นคำพูดของคนยุคสมัยนี้ว่า "ใครๆก็โกงกันทั้งนั้น.." หรือ "โกงไม่เป็นไร แต่ขอให้ทำงาน" นั่นคือผลของการสมานฉันท์ระหว่างความถูกต้องกับความผิด เป็นผลจากความคิดของการสามัคคี การสมยอมกันของความดีและความเลว-- เราเคยชินกับการเริ่มยอมรับในสิ่งที่ไม่ถูกต้องมามากและนาน จนเข้าใจผิดว่า การยอมรับ การประสานสองสิ่งนั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่แท้จริงแล้ว เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หวังผลทันตาเท่านั้น แต่ในระยะยาว เรากำลังสร้างสังคมและวัฒนธรรมที่ไร้คุณธรรม จริยธรรม เรากำลังหมักหมมสุมกองปัญหาให้เพิ่มขึ้น เราหลงทางอย่างสิ้นเชิง! และทุกวันนี้ การขัดแย้งที่เราต้องเผชิญอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พิสูจน์ชัดว่าเป็นเพราะผลมาจากการไม่ตัดสินให้เด็ดขาด สิ่งต่างๆที่เราต้องเผชิญอยู่นี้ ตอกย้ำให้เราเห็นว่า การยอมๆกันไปก่อนนั้น ส่งผลเสียในระยะยาวเพียงใด คงจำได้ว่า ก่อนที่คุณทักษิณจะได้เป็นนายกฯครั้งแรก และมีคดีเรื่องซุกหุ้น เกิดปรากฏการณ์เห็นใจที่อยู่เหนือตัวบทกฏหมาย ผู้หลักผู้ใหญ่ผู้อาวุโสในบ้านเมืองออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงอนุโลม จนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ว่า "ความบกพร่องโดยสุจริต" นั่นเป็นเพราะเราไม่ยึดถือในหลักเกณท์ที่เรามีใช่หรือไม่ เราใช้ "ความรู้สึก" เข้ามาเป็นตัวตั้งในการแก้ปัญหา เราสมานฉันท์ความถูกต้องกับความผิดด้วยการยอมๆไปก่อนใช่หรือไม่? การยอมรับแบบไทยๆ ยอมผสมปนเปความผิดกับความถูก โดยหวังผลประโยชน์ในวันข้างหน้าว่า ให้เขาได้ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับกันในหมู่กว้างในตอนนั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความคิดที่บานปลายกลายมาเป็นความคิดในวันนี้ "โกงบ้างไม่เป็นไร ขอให้ทำงานเท่านั้น" และดูเหมือนว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ สังคมเราจะเปลี่ยนมายอมรับอย่างสิ้นเชิงว่า โกงได้ถ้ากฏหมายมีช่องโหว่ หรือที่ร้ายที่สุดคือ "โกงได้โดยการแก้กฏหมายเสียใหม่ จากผิดให้เป็นถูก โดยใช้อำนาจหรือเงิน (ซึ่งก็คือโกงมานั่นเอง)" เราเคยได้ยินเรื่องราวของคนที่เก็บเงินที่ใครบางคนทำหล่นไว้ แล้วนำส่งคืนเจ้าของ ถ้าเขาจะเก็บไว้เสียเอง ก็ไม่มีใครรู้ กฏหมายก็เอาผิดไม่ได้ แต่ถามว่า ทำไมเขาถึงไม่เก็บไว้เอง นั่นเป็นเพราะศีลธรรม จริยธรรมในใจของเขา ที่ทำให้เขาเกิดความละอายที่จะยึดครองสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง และทำให้เขาเกรงกลัวต่อบาป เขาไม่ได้เข้าข้างตัวเอง หรือยอมสมานฉันท์ความถูกต้องกับความผิดในใจของเขา และยกประโยชน์ให้ตัวเอง.. การสั่งสมปัญหาโดยการไม่แก้ไขอย่างตรงไปตรงมา เพราะเข้าใจว่าการประสานนั่นเป็นหนทางสันติวิธีที่ดีที่สุดนั้น ยังได้สร้างผลข้างเคียงขึ้นมาให้กับสังคมอีกมากมาย เช่น คนมีเงินคือคนที่น่านับถือยกย่อง (ไม่ว่าเขาจะได้มาอย่างไร) คนที่ประสบความเร็จทางธุรกิจหน้าที่การงาน คือคนที่เป็นแบบอย่าง (ไม่ว่าเขาจะมีวิธีการคิดที่ถูกต้อง มีจริยธรรมหรือไม่) นักการเมืองที่สอบได้ คือคนที่มีสิทธิ์พูด (ไม่ว่าเขาจะได้เป็นด้วยวิธีการใด) คนที่มีปริญญาดอกเตอร์ คือคนที่ต้องเก่งกว่าคนธรรมดา (ไม่ว่าเขาจะได้ความรู้มาด้วยวิธีใด) สิ่งเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้เราเห็นตัวอย่างที่เป็นนามธรรมมากมายในสังคมทุกวันนี้ เราจึงมักจะเห็นคำพูดที่ถากถางคนอื่นในลักษณะนี้ว่า "คุณไม่เคยประสบความสำเร็จในการงาน หรือ คุณล้มละลาย คุณจะมากู้ชาติได้อย่างไร?" "คุณเป็นส.ส. สอบตก คุณไม่มีสิทธิ์มาพูด ประชาชนเลือกผม" "ผมจบดอกเตอร์มา ผมท่องรัฐธรรมนูญได้ คุณมาดีเบตกับผมไหม?" "ประชาธิปไตยต้องพูดในสภา อย่าเล่นข้างนอก เราได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน" นี่เป็นคำพูดที่ถือสิทธิ์และได้ยินอยู่บ่อยๆ จนเหมือนเป็นคาถา ถ้าอย่างนั้น คนที่ไม่มีเงินล้าน ไม่มีกิจการใหญ่โต คนมีหนี้สิน หรือเป็นเพียงชาวไร่ ชาวนา ไม่ได้เป็นส.ส. ที่ประชาชนเลือกมา หรือไม่ได้เป็นดอกเตอร์ ไม่ได้อยู่ในสภา.. เราคงไม่มีสติปัญญาหรือสิทธิ์ในการร่วมดูแลประเทศชาติหรืออย่างไร? สังคมของเรากำลังเบี่ยงเบน เกิดค่านิยมใหม่ๆที่ผิดๆมากมาย นอกจากไม่มีจริยธรรม ไม่มีคุณธรรมแล้ว เรากำลังเริ่มคล้อยตามและยอมรับ การโอ้อวด ยกตนข่มท่าน ไปด้วยโดยปริยาย.. การเล็งไปที่ผลลัพธ์อย่างเดียว โดยไม่สนใจในวิธีที่จะได้มา ทำให้เกิดความคิดที่วิปริตในสังคมยุคใหม่นี้อย่างน่าตกใจ เช่น แม่คนหนึ่งช่วยลูกโกงข้อสอบเพื่อให้สอบได้! หรือที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น คือ พระชื่อดังรูปหนึ่งเห็นด้วยกับความคิดที่จะตั้งคาสิโนของรัฐบาล เพราะจะนำเงินเข้าประเทศ!! ความคิดในการสมานฉันท์ความดีกับความเลว ความถูกต้องกับความผิดกลายเป็นสิ่งที่รับได้ เพียงเพราะผลลัพท์ทางวัตถุเท่านั้นเองหรือ เราต้องการแต่สิ่งที่บำเรอทางกายภาพเท่านั้นเองหรือ เราทอดทิ้งไม่ใส่ใจในคุณธรรม ไม่บำรุงทางจิตวิญญาณเสียแล้วหรือ? . . . . . . . เคยอ่านบทให้สัมภาษณ์ของนายอานันท์ ปันยารชุน ที่มีต่อนักข่าวต่างประเทศ-- ท่านตอบนักข่าวคนหนึ่งในประเด็นเรื่องของประชาธิปไตยไว้น่าสนใจว่า "ความจริงผมคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นนักสังเกตการณ์ชาวตะวันตกเริ่มจะคิดเรื่องประชาธิปไตยทำนองเดียวกับคุณทักษิณ (เสียงหัวเราะและปรบมือ) ผมเป็นนักศึกษาในประเทศอังกฤษ 7 ปี อยู่ในประเทศอเมริกา 12 ปี และเดินทางไปทั่วโลกในระยะเวลา 50 ปี ผมมักถูกกล่าวว่าเป็นคนไทยนิสัยฝรั่ง อย่างไรก็ตาม.. ผมคิดไม่ถึงเลยว่าคนตะวันตกบางคนจะถือเอาว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย ..เราสนใจเพียงรูปแบบ มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ เท่านั้นหรือ เราไม่รู้ หรือลืมไปแล้วว่าประชาธิปไตยนั้น เป็นเรื่องของสังคมเปิด เรื่องหลักนิติธรรม เรื่องความโปร่งใส เรื่องเสรีภาพของสื่อมวลชน เรื่องภาระความรับผิดชอบ เรื่องการมีส่วนร่วมเรื่องความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ เรื่องการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เรื่องการถ่วงดุลอำนาจ ผมรู้สึกงงงวยอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีมานี่ เราพากันหลงทางจนขนาดไม่รู้ว่าเรามาจากไหน เราเป็นใคร และเรากำลังจะไปไหนแล้วหรือ เราลืมค่านิยมต่างๆ ของเราแล้วหรืออย่างไร เราเบาปัญญาขนาดนั้นเทียวหรือ ผมไม่กังวลหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในอนาคต ที่ผมกังวลอย่างยิ่งก็คือ โลกของเราจะเป็นอย่างไร นี่เป็นคำถามที่สาหัสสากรรจ์ที่คุณต้องถามตัวเอง เรากำลังจะก้าวไปในทิศทางใด เราลืมหลักการพื้นฐานไปเสียแล้วหรือ เราลืมหลักศีลธรรมไปเสียแล้วหรือ" จากเหตุการณ์ล่าสุดปัจจุบัน เมื่อมีการต่อต้านไม่ให้ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลยื่นแก้รัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกบางมาตราที่จะทำให้ขั้นตอนกระบวนการพิพากษาการทุจริตของอดีตนายกฯ-ทักษิณต้องตกไป (แทนที่จะมุ่งสนใจแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนหรือปัญหาทางภาคใต้ซึ่งสำคัญกว่า) ก็เกิดการคัดค้านอย่างกว้างขวาง แต่ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลก็ยืนกรานว่าตัวเองมาจากการเลือกตั้ง และไม่สนใจฟังเสียงคัดค้านนั้น จึงเกิดการประท้วงและทำท่าจะบานปลายมากขึ้นทุกที.. และเช่นเคย เหมือนทุกครั้งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราจะมีเสียงที่สามเกิดขึ้น นั่นคือ การสมานฉันท์ ให้ยอมๆกัน นั่นเป็นเพียงวิธีเดียวในการแก้ปัญหาจริงๆหรือ? เราจะลืมถึงต้นเหตุของการขัดแย้งอีกแล้วหรือ? เราจะ "เอาน่า..คนไทยด้วยกัน"อีกแล้วหรือ? เราจะไม่มีใครสักคนที่จะกล้าชี้ชัดว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรที่จะต้องตัดสินให้เด็ดขาด หรือจะเอาแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า Play Safe ยืนอยู่ตรงกลาง ฉันไม่เข้าข้างใครว่า ยอมๆกันน่า ตกลงกันได้ หรือ สมานฉันท์อย่างที่ชอบพูดกัน เราลืมหลักการพื้นฐานไปเสียแล้วหรือ เราลืมหลักศีลธรรมไปเสียแล้วหรือ อย่างที่นายอานันท์ตั้งคำถาม! ระหว่างความถูกต้องกับความผิด, ระหว่างความดีกับความเลว ไม่มีอะไรอยู่ตรงกลาง และไม่อาจประสานได้เพียงเพื่อ"ผลลัพธ์เฉพาะหน้า"! เราต้องกล้าตัดสินใจและเอาให้ชัดกันไปเลย ว่าใครผิด ใครถูก จะเอาหัวหรือก้อยก็เอาไปเลยสักข้าง เราจะเอาสังคมแบบ "เน้นที่ผลลัพธ์เฉพาะหน้า" ก็เอาให้แน่ไปเลย แต่อย่าประสานกันจนกลายเป็นสังคมที่วิปริตอย่าง "โกงได้ ไม่เป็นไร" อย่างทุกวันนี้ เพื่อครั้งต่อไปเราจะไม่ได้ต้องมีการขัดแย้ง และมีทางสายที่สามมาบอกให้สมานฉันท์กันอีก! หรือเราจะเอาแต่คอยปัดฝุ่นซุกไว้ใต้พรมไปวันๆ โดยไม่คิดที่จะจัดรื้อปัดกวาดให้มันสะอาดสักที ไม่มีอะไรต้องคอยซุกปิดซ่อนเร้น หรือเราจะต้องรอจนถึงวันที่ลูกหลานของเราสะดุดพรม ล้มลงหน้าคลุกฝุ่นและบาดเจ็บ หรือ เราจะรอจนถึงวันที่บ้านทั้งหลังพังทลายลงมา..เลือกเอาเถอะครับ! ++++++++++++++++++++++++++++++++++++ *ขอแทรกด้วยบทความในวาระพิเศษนี้ เพียงหนึ่งถึงสองวัน แล้วจะกลับสู่บล็อกเดิม "ฉันตื่น เธอหลับ สลับฝัน คนละฟ้า" ต่อไป-- ผมคิดมาหลายวันแล้วว่าจะเขียนดีหรือไม่ แต่ก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว ต้องขออภัย หากคิดแตกต่างไปจากท่าน.. ในบางเรื่องบางราว เราก็ผสมผสานความคิดได้ เราอาจจะยอมรับกันได้ เราสมานได้ แต่ในบางเรื่อง, บางครั้งเราก็ควรต้องมีการตัดสินใจให้แน่ชัดว่า เราจะเอาอย่างไรดี? ขอบคุณครับ.
Create Date : 03 มิถุนายน 2551
Last Update : 14 มิถุนายน 2551 20:38:30 น.
64 comments
Counter : 526 Pageviews.
โดย: โดม IP: 124.121.17.48 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:8:08:08 น.
โดย: Neilnuch_T วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:8:21:26 น.
โดย: โดม IP: 124.121.17.48 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:8:26:56 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.118.228 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:8:35:59 น.
โดย: BUATALAY IP: 203.156.36.198 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:10:34:30 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.92.39 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:10:48:20 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.92.39 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:10:49:16 น.
โดย: หนอนฯ IP: 202.28.180.202 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:12:25:38 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.123.157 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:12:52:44 น.
โดย: shin chan (alei ) วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:15:52:34 น.
โดย: มัยดีนาห์ วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:15:58:57 น.
โดย: ตะเบบูญ่า IP: 202.91.18.205 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:21:26:27 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.104.77 วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:2:20:32 น.
โดย: ปะการัง (ชบาฉาย ) วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:9:10:09 น.
โดย: ปะการัง (ชบาฉาย ) วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:9:45:30 น.
โดย: หนอนฯ IP: 202.28.180.202 วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:13:12:25 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.85.43 วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:23:54:33 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.85.43 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:3:33:30 น.
โดย: หนอนฯ IP: 58.9.170.113 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:7:45:04 น.
โดย: ปะการัง IP: 72.197.61.207 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:8:16:43 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.84.90 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:10:09:52 น.
โดย: BUATALAY IP: 203.156.36.181 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:10:41:05 น.
โดย: ตะเบบูญ่า IP: 202.91.19.204 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:22:19:13 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.76.34 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:2:11:40 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.76.34 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:7:38:30 น.
โดย: BUATALAY IP: 203.156.38.54 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:11:35:13 น.
โดย: BUATALAY IP: 203.156.38.54 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:11:36:43 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.92.69 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:11:53:15 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.120.233 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:13:34:07 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 203.156.38.54 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:13:55:21 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.120.233 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:14:08:36 น.
โดย: คนบ้านนอก IP: 118.172.59.130 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:15:52:24 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.85.56 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:22:44:21 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.243.239 วันที่: 7 มิถุนายน 2551 เวลา:9:56:44 น.
โดย: shin chan (alei ) วันที่: 7 มิถุนายน 2551 เวลา:16:34:43 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.76.186 วันที่: 7 มิถุนายน 2551 เวลา:23:49:09 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.76.186 วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:0:17:20 น.
โดย: ปะการัง (ชบาฉาย ) วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:9:08:36 น.
โดย: ปะการัง (ชบาฉาย ) วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:9:25:48 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.110.130 วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:9:51:30 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.243.152 วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:16:20:23 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.88.39 วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:0:03:42 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.124.245 วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:7:42:16 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.88.39 วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:8:19:54 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.124.245 วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:9:24:18 น.
โดย: BUATALAY IP: 203.156.38.184 วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:9:28:34 น.
โดย: แม่น้องนิก (Mommy and me ) วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:10:24:59 น.
โดย: ปะการัง IP: 72.197.61.207 วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:13:54:36 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.82.89 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:6:27:51 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.71.236 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:9:37:56 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.118.85 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:9:58:47 น.
โดย: BUATALAY IP: 203.156.36.30 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:10:23:16 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.71.236 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:10:43:30 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.118.85 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:10:48:19 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.71.236 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:10:49:48 น.
โดย: BUATALAY IP: 203.156.36.30 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:13:04:50 น.
โดย: ปะการัง IP: 72.197.61.207 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:13:19:41 น.
โดย: BUATALAY IP: 203.156.36.30 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:15:48:06 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.94.143 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:20:56:37 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.114.116 วันที่: 11 มิถุนายน 2551 เวลา:7:41:12 น.
โดย: แม่น้องนิก IP: 216.244.10.32 วันที่: 11 มิถุนายน 2551 เวลา:10:33:16 น.
โดย: นกขมิ้น IP: 124.120.114.116 วันที่: 11 มิถุนายน 2551 เวลา:11:05:25 น.
โดย: ปะการัง IP: 72.197.60.216 วันที่: 11 มิถุนายน 2551 เวลา:11:32:00 น.
โดย: BUATALAY IP: 203.156.61.189 วันที่: 11 มิถุนายน 2551 เวลา:12:33:09 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
"ปะการัง" เป็นนักเขียนที่มีผลงานบทกวีและเพลง เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน.. กลับมาเขียนหนังสืออีกครั้ง ตามคำชักชวนและได้รับเอื้อเฟื้อบล็อก "ชบาฉาย"นี้ จากโดม วุฒิชัย
สำหรับเช้าวันนี้...เปิดประเด็นได้สวยงามทีเดียวนะครับ
ผมคนหนึ่งหละไม่เห็นด้วยกับการเมืองในระบบโกงกินที่ผ่านมา
และเมื่อคราวก่อนผมก็ร่วมลงชื่อและร่วมไปชุมนุมกับเขาด้วย
แต่มาปีนี้ผมก็ได้แต่เฝ้าติดตามข่าวทางหน้าจอ บ้าง ทางเว็บไซต์บ้าง
ก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นรูปธรรมหรอก นอกจากเอาใจช่วย และอธิบายให้คนที่ไม่เข้าใจว่าฝั่งใดถูกและผิดในทัศนะที่เราเห็น
โดยส่วนตัวแล้วถือว่าเรื่องจริยธรรมของนักการเมืองนั้นควรจะมาก่อนสิ่งอื่นใดทีเดียว ความสามารถในส่วนอื่นๆนั้นมาทีหลัง
การต่อสู้คราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ
มันไม่เหมือนเมื่อก่อนตอน 14 ตุลา หรือ 6 ตุลา ที่ประชาชนมองเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
แต่ตอนนี้ประชาชนต่างก็มีฝักมีฝ่ายเป็นของตัวเอง พลังในการขับไล่จึงไม่เต็มที่ ซ้ำยังมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
แล้วการขับไล่คนที่ขาด หิริ โอตัปปะ (ความละอายต่อความผิดบาป) ไม่ใช่ไล่ง่ายๆ
จะว่าไปแล้วก็เนื่องมาจากวัตถุนิยมก็มีส่วน เพราะคนมองเห็นว่าเงินสำคัญและวัตถุสำคัญ จึงยอมเพื่อสิ่งเหล่านี้กันหมด ตั้งแต่ประชาชนรากหญ้าจนถึงนักการเมืองผู้ทำท่าว่าทรงเกียรติ เพียงแต่ราคาถูกซื้อต่างกันเท่านั้นเอง และซื้อในรูปแบบที่ต่างกัน
เมื่อคราวเลือกตั้งที่ผ่านมา ผมก็ออกไปใช้สิทธิ์ เมื่อได้มาอย่างนี้แล้ว ผมก็ให้นึกประชดอยู่ในใจว่า การที่ประชาขนประเทศไทยเลือกผู้แทนมาอย่างไรนั้น มันก็เท่ากับฟ้องว่าประชาชนในประเทศนั้นเป็นแบบไหนเหมือนกัน
คือเพราะคุณยอมถูกซื้อ เมื่อถูกซื้อเขาก็เลือกคนแบบที่เห็นและเป็นอยู่มา ก็เลยได้ใครมาก็ไม่รู้มาปกครองบ้านเมือง ทั้งที่รู้ๆอยู่ชัดๆว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่ใครทำอะไรได้บ้างล่ะครับ
เมื่อถูกซื้อมาขนาดเลือกตั้งได้ (อย่างไม่น่าเชื่อ) จะทำกันอย่างไรดีครับพ่อแม่พี่น้อง
นึกอีกทีจะไปประชดประชาชนก็ไม่ถูก ก็ต้องด่าพวกนักการเมืองนั่นแหละที่อาศัยความเจ้าเล่ห์แสนกลหลอกซื้อพวกเขา
ปะการังครับ ! มันไม่ง่ายเลยในการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่ผมก็แอบมีความหวังอยู่ในใจว่า ฝั่งที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงจะชนะ
เพราะผมยังเชื่อเรื่องธรรมะย่อมชนะอธรรม ถึงแม้จะต้องใช้เวลานานหน่อยก็ตาม
ผมยังเชื่อเรื่อง กรรม ที่แปลว่า การกระทำ
ใครทำอย่างได้ก็ได้รับผลอย่างนั้น ไม่ช้าก็เร็ว
แต่ผมเชื่อได้เลยว่า ขณะนี้ ปัจจุบันนาทีนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่าพวกที่ถูกด่าและขับไล่นั้นยากที่จะนอนหลับอย่างมีความสุข
เมื่อเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย ผมควรจะทำอย่างไรดี ทั้งที่ผมก็ไม่ได้ชอบฝ่ายที่ถูกขับไล่เลยแม้แต่น้อย
ผมเชื่อว่าโดยสามัญสำนึกของผู้คนนั้นยากที่จะเป็นกลางอย่างแท้จริง
"ไม่มีใครนั่งอยู่บนรั้วหรอก มีแต่อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอแหละครับ"
ผมเชื่อว่าความคิดผมกับคุณก็ไม่แตกต่างกันหรอกในเรื่องนี้
แต่สิ่งที่ผมไม่อยากเห็นก็คือการใช้กำลัง หรือการะปะทะระหว่างคนไทยด้วยกัน ไม่ว่าจะระหว่างฝ่ายใดกับฝ่ายใดก็ตาม
ผมไม่ได้ต้องการการประนีประนอมสมานฉันท์แบบปลอมๆ สมานฉันท์กันเพื่อกลุ่มนักการเมืองหรือเพื่อคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด
แต่ถ้าสมานฉันท์กันเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ผมเห็นด้วยครับ
ผมยังรู้สึกขอบคุณคุณสนธิ ที่ลุกขึ้นมา ขอบคุณสำราญ รอดเพชร ขอบคุณแกนนำหลายท่าน
ซึ่งมีชอบบ้างไม่ชอบบ้างในเรื่องส่วนตัวจุกจิกนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่บุคคลเหล่านี้ก็กล้าหาญลุกขึ้นมาต่อสู้กลางแจ้ง
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆสำหรับเช้าวันนี้