ประวัติความเป็นมาเทศกาลสงกรานต์
เป็นรูปหลวงพ่อทวด ที่วัดห้วยมงคลคะ ถ่ายด้วยมือถือเลยไม่ชัดนะคะ ในรูปที่เห็นจากหน้าตักเป็นลำขาวๆนั้นเป็นการสงฆ์น้ำพระแบบใช้ปุ่มกดน้ำคะ ถ่ายเมื่อ 13 เมษายน 2010 ประมาณ 6 โมงเย็นแล้วคะ วันนี้มาอ่านประวัติวันสงกรานต์กันนะคะ ที่จริงแล้วตอนแรกที่จขบ เห็นข้อมูลยาวเหลือเกินก็ไม่อยากอ่านเหมือนกันนะคะ แต่ว่าพออ่านไป ก็ไม่ง่วงนอนอย่างที่คิดนะคะเป็นเรื่องน่าสนใจทีเดียว เพื่อเราจะได้ปฏิบัติตามประเพณีและไม่ยากเลยคะสนุกด้วย อีกทั้งคงจะภูมิใจด้วยถ้าทำได้ตามเนื้อความคะ เราสนุกกับวันหยุดเทศกาลสงกรานต์กัน แต่บ่อยครั้งนะคะ (อย่างน้อยก็จบข) ที่รู้ประวัติความเป็นมาอย่างลางเลือน ที่เล่าเรียนผ่านมาก็นานเหลือเกินคะ ฝากเอาไว้ที่โรงเรียนเผื่อให้หลานๆ เหลนๆ เรียนกันต่อแล้วคะ ลองอ่านดูนะคะ เพื่อนๆบางท่านอาจจะรู้แล้ว ก็ดูรูปเพลินๆนะคะ หากเพื่อนๆ พี่ๆ คนไหนมีประสบการณ์น่าประทับใจมีประเพณีที่ที่แตกต่างตามท้องถิ่นกันก็เล่าให้ฟังกันมั่งนะคะ "สงกรานต์" สงกรานต์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งยึดถือปฏิบัติกันมาแต่โบราณ ตรงกับวันที่ 13 เมษายนของทุกปีและถือเป็น วันผู้สูงอายุแห่งชาติ อีกด้วย คำว่า สงกรานต์ มาจากภาษาสันสกฤตว่า สํ-กรานต แปลว่าก้าวย่างขี้น หรือ เคลื่อนย้ายเข้าไป เป็นวันที่พระอาทิตย์ยกขึ้น สู่ราศีใหม่ จากจักรราศีหนึ่ง เป็นราศีใดก็ได้ แต่ความหมายที่คนไทยใช้ คือเฉพาะวันและเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษในเดือน เม.ย. เท่านั้น ซึ่งตกอยู่ในวันที่ ๑๓,๑๔,๑๕ เมษายนทุกปี แต่วันสงกรานต์นั้นคือ วันที่ ๑๓ เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ วันที่ ๑๔ เป็นวันเนา วันที่ ๑๕ เป็นวันเถลิงศก เทศกาลสงกรานต์เป็นวันที่สมาชิกในครอบครัวได้ร่วมทำบุญประกอบพิธีทางศาสนาต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น การตักบาตร การสรงน้ำพระ การขนทรายเข้าวัดรวมทั้งการบังสุกุลอัฐิของบรรพบุรุษ การเล่นสาดน้ำ การรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ และ มักจัดให้มีการละเล่นพื้นบ้านของไทย เช่น มอญซ่อนผ้า ไม้หึ่ง สะบ้า งูกินหาง รวมทั้งมีการเล่นเพลงยาว รำวง เป็นต้น เพื่อสร้างความสนุกสนาน และความสามัคคีของผู้คนในท้องถิ่น ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์ มีปรากฎในศิลาจารึกที่วัดพระเชตุพน โดยย่อว่า
ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่งซึ่งหัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาทในความมีทรัพย์มาก แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไรจึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบประมาท เหตุใดท่านจึง กล่าวดูถูกเราผู้มีสมบัติมากเฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตร เมื่อเสียชีวิตแล้ว สมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด สู้เราไม่ได้เรานั้นมีบุตร ย่อมประเสริฐกว่าถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้ และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ นับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปี ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนาจนวันหนึ่งเมื่ออาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาดถึง 7 ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้น บวงสรวงขอบุตรจากพระไทร พระไทรมีความเมตตาสงสาร จึงได้ขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ บนสวรรค์ทูลขอบุตรจากพระอินทร์ให้แก่เศรษฐี พระอินทร์จึงให้บัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ ธรรมบาล ลงมาเกิดเป็นชาย เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร และเพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐีจึงสร้างปราสาทสูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทร ริมฝั่งแม่น้ำ
เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัยเพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้ภาษานกได้อีก ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ ท้าวกบิลพรหม ได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลองภูมิปัญญาโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปัญหา 3 ข้อ 1. ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด 2. ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด 3. ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด
เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้ และตกลงกันว่า ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้า ธรรมบาลแก้ไม่ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้เช่นกันครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบไม่ได้ จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่าและไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่ นางนกถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน นกสามีก็ตอบว่า พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกอินทรี : "น่าสงสารกุมารน้อยยิ่งนัก ท้าวกบิลพรหมก็ช่างถามปัญหาที่มนุษย์เกินจะตอบได้" นกอินทรีรู้สึกหมั่นไส้นางนกอินทรีจึงได้บอกถึงคำตอบให้นางนกอินทรีได้รู้
ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า
ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก
ข้อสาม ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน
ธรรมบาล กุมารเมื่อได้ยินดังนั้น ก็ได้จดจำคำตอบจนขึ้นใจ ทั้งนี้เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก และนำไปบอกแก่ท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงจำเรียก ธิดาทั้ง 7 ของตนอันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร แต่เศียรของท้าวกบิลพรหมมีพิษมาก คือ ถ้าตัดแล้วตั้งไว้บนแผ่นดิน แผ่นดินก็จะลุกเป็นไฟ ถ้าโยนขึ้นสู่ท้องฟ้าฝนก็จะตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล และถ้าทิ้งลงมหาสมุทรน้ำก็จะเหือดแห้ง ท้าวกบิลพรหมจึงรับสั่งเรียก ธิดาทั้ง ๗ ให้นางทุงษธิดาคนโต เอาพานมารองรับเศียรบิดา เพื่อให้นำเศียรไปแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาทีแล้วนำไปเก็บไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรลีเขาไกรลาศ บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ชื่อภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์ ครั้นครบกำหนด ๓๖๕ วัน (โลกสมมุติว่าเป็น ๑ปี) เป็นวันสงกรานต์ ซึ่งหมายถึงขึ้นปีใหม่นั้นเอง นางสงกรานต์ธิดา 7 องค์ ก็ก็ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของท้าวกบิลพรหมแห่ประทักษิณ รอบเขาพระสุเมรุเป็น ประจำทุกปี แล้วจึงกลับไปเทวโลก ซึ่งลูกสาวทั้งเจ็ดของท้าวกบิลพรหมนั้น เราสมมติเรียกว่า นางสงกรานต์ มีชื่อต่าง ๆ ดังนี้ ทุงษ, โค ราค, รากษส, มัณฑา, กิริณี, กิมิทา และ มโหทร
"นางสงกรานต์" เป็นความเชื่ออยู่ในตำนานสงกรานต์ ถึงความเป็นมาของประเพณี เป็นอุบายให้คนโบราณได้รู้ว่าวันมหาสงกรานต์ คือ วันที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ ซึ่งสมัยนั้นถือเป็นการเถลิงศกใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่ตามสุริยคติตรงกับวันใด โดยสมมุติผ่านนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดเทียบกับแต่ละวันในสัปดาห์ ปีไหนตรงกับวันใด นางสงกรานต์ที่มีชื่อสมมุติเข้ากับวันนั้นๆก็จะเป็นผู้อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมออกแห่ไปสรงน้ำ โดยที่เทพธิดาทั้งเจ็ดนี้ปรากฏในวันมหาสงกรานต์เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า นางสงกรานต์ ส่วนท้าวกบิลพรหมนั้น โดยนัยก็คือ พระอาทิตย์ นั่นเอง เพราะกบิล หมายถึง สีแดง
นางสงกรานต์ของแต่ละวัน จะมีนาม อาหาร อาวุธ และสัตว์ที่เป็นพาหนะ ต่างๆ กันดังต่อไปนี้
วันอาทิตย์ ชื่อ ทุงษ ทัดดอกทับทิม เครื่องประดับปัทมราค ภักษาหารผลมะเดื่อ อาวุธขวาจักร ซ้ายสังข์ พาหนะครุฑ
วันจันทร์ ชื่อ โคราค ทัดดอกปีบ เครื่องประดับมุกดา ภักษาหารน้ำมัน อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายไม้เท้า พาหนะเสือ
วันอังคาร ชื่อ รากษส ทัดดอกบัวหลวง เครื่องประดับโมรา ภักษาหารโลหิต อาวุธขวา ตรีศูล ซ้ายธนู พาหนะสุกร
วันพุธ ชื่อ มัณฑา ทัดดอกจำปา เครื่องประดับไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย อาวุธขวาเข็ม ซ้ายไม้เท้า พาหนะลา
วันพฤหัสบดี ชื่อ กิริณี ทัดดอกมณฑา เครื่องประดับมรกต ภักษาหารถั่วงา อาวุธขวาขอ ซ้ายปืน พาหนะช้าง
วันศุกร์ ชื่อ กิมิทา ทัดดอกจงกลนี เครื่องประดับบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำว้า อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายพิณ พาหนะกระบือ
วันเสาร์ ชื่อ มโหทร ทัดดอกสามหาว เครื่องประดับนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย อาวุธขวาจักร ซ้ายตรีศูล พาหนะนกยูง
"งานสำคัญบุญสงกรานต์"
วันที่ 13 เมษายน วันสังขานต์ล่อง
เริ่มจากตอนเช้ามีการยิงปืนขับไล่เสนียดจัญไรให้ล่วงลับไปกับสังขานต์ แต่ละบ้านมีการทำความสะอาด ตลอดจนตามถนนและตรอกซอยเข้าบ้าน จากนั้นก็ทำความสะอาดชำระล้างร่างกาย สระเกล้าดำหัวให้สะอาดมีจิตใจผ่องใส หลังจากนั้นไปเที่ยวตามหมู่บ้านหรือในปัจจุบันนิยมไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เรียกว่า ไปแอ่วปีใหม่ วันนี้มีการเล่นรดน้ำกันแล้ว
วันที่ 14 เมษายน วันเนา หรือวันเน่า
วันขนทรายหรือ วันเนาว์ วันปู๋ติ วันนี้จะทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นมงคล ไม่ด่าทอหรือทะเลาะวิวาท ตอนเช้าไปจ่ายของและอาหาร เตรียมอาหาร และทุกบ้าน จะทำกับข้าวที่สามารถเก็บไว้ได้หลายวัน เช่น แกงเส้นร้อน แกงอ่อม ฯลฯ หรือไม่ก็จำพวกห่อนึ่ง เช่น ห่อนึ่งไก่ ห่อนึ่งปลา ฯลฯ พร้อมทั้งตระเตรียมอาหารหวาน และเครื่องไทยทานไว้ให้พร้อมเรียกว่าวันดา (คำวันสุกดิบทางภาคอื่น) เตรียมทำบุญถวายพระ ในวันรุ่งขึ้น
ตอนบ่าย มีการขนทรายจากแม่น้ำนำไปไว้ที่วัดใกล้บ้าน โดยก่อเจดีย์ทรายตามลานวัด เจดีย์ทรายจะถูกประดับตกแต่งด้วยตุง (ธง) ทำด้วยกระดาษสีตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม และรูปอื่นๆ ชายธงมีการทานช่อ (ทำด้วยกระดาษสีต่างๆ) ตัดเป็นลวดลายติดปลายไม้สำหรับปักที่กองเจดีย์ทราย การทานธงและทานช่อนี้ ด้วยถือคติว่า ผู้บริจาคทานเมื่อตายไปแล้วจะได้อาศัยชายธง หอบหิ้วไห้พ้นจากนรกได้ อานิสงส์การทานตุงหรือช่อนี้มีอยู่ในพระธรรมเทศนาใบลานตามวัดทั่วไป เจดีย์ทรายนี้จะทำพิธีถวายทานในวันรุ่งขึ้น มีการปล่อยนกปล่อยปลาอีกด้วย ในวันเดียวกันนี้มีการเล่นน้ำกันอย่างหนัก และเป็นที่สนุกสนานโดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาว
วันที่ 15 เมษายน วันพญาวัน หรือวันเถลิงศก
ตอนเช้า จัดเตรียมอาหารคาวหวานใส่สำรับไปถวายพระที่วัด และทำบุญตักบาตรและนำไปให้ผู้เฒ่า ผู้แก่ ครูอาจารย์ หรือบุคคลที่ตนเคารพนับถือ เรียกว่าไปทานขันข้าว (ตานขันข้าว) การทานขันข้าวนี้ นอกจากจะทานให้พระ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคารพนับถือดังกล่าวแล้วก็มีการถวายทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลถึงญาติพี่น้อง บิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว โดยพระที่วัดจะแยกย้ายกันนั่งประจำที่บริเวณวัดเพื่อให้ศีลให้พร แก่ผู้ไปทานขันข้าว เสร็จจากการทำบุญตักบาตร ก็มีการถวายทานเจดีย์ทราย ปล่อยนกปล่อยปลา มีการสรงน้ำพระพุทธเจดีย์ มีการค้ำต้นโพธิ์ภายในวัดและหมู่บ้าน มีการสรงน้ำพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมือง เช่น เชียงใหม่ก็จะมีการสรงน้ำพระพุทธรูป เสตังคมณี (พระแก้วขาว) วัดเชียงมั่น พระเจ้าทองทิพย์ และ พระพุทธสิหิงค์ วัดพระสิงห์ พระเจ้าเก้าตื้อ วัดสวนดอก เสาอินทขิล หรือเสาหลักเมือง ส่วนตามจังหวัดต่างๆ ก็จะมีการไปสักการะบูชาพระพุทธรูปสำคัญประจำบ้านเมืองตนเช่นเดียวกัน เช่น ลำปาง ก็ไปสรงน้ำพระแก้วมรกตที่วัดพระธาตุลำปางหลวง เมืองน่านที่วัดพระธาตุแช่แห้ง และที่แพร่ก็ไปสรงน้ำ ที่พระธาตุช่อแฮเป็นต้น
ตอนบ่าย ก็จะเริ่มการดำหัว และจะทำเรื่อยไปจนถึงวันรุ่งขึ้น หรือวันปากปี วันที่สี่ เป็นวันปากปี มีการดำหัวตามวัดต่างๆ ซึ่งมีพระในวัดและในหมู่บ้านนั้นนำไป การไปดำหัวตามวัดนี้มักจะแบ่งแยกกันเป็นสายๆ เพราะบางวัดที่อยู่ห่างไกลก็ไปกันไม่ทั่วถึงนอกจากวัดที่คนนิยมไปกันอย่างสม่ำเสมอ เรียกตามภาษาเมืองว่า ไปเติงกั๋น หรือไปวัดของเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด หรือพระเถระผู้ใหญ่ เทศกาลตรุษสงกรานต์ ชาวเหนือมีประเพณีอย่างหนึ่งที่ยึดถือปฏิบัติ คือ สุมาคารวะ ลูกหลานจะมาขอขมาลาโทษในความผิดต่างๆ ที่เคยกระทำมาต่อญาติผู้ใหญ่ ถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีของผู้น้อย อันมีต่อผู้ใหญ่ เรียกกันว่า การไปดำหัว หรือประเพณีดำหัว การไปดำหัวของคนไทยภาคเหนือ มักจะเริ่มกันใน วันพญาวัน (คือวันเถลิงศก)
"กิจกรรมวันสงกรานต์"
วันจ่ายสงกรานต์ ในวันจ่ายสงกรานต์ เตรียมเครื่องเสื้อผ้าใหม่ๆ ไว้แต่ง แล้วยังทำขนมกวน ในเทศกาลสงกรานต์และตรุษสารท สำหรับทำบุญถวายพระ และแจกชาวบ้าน โดยมากเป็นขนมเปียกข้าวเหนียวแดง และขนมกะละแมเป็นพื้น การแจกนอกจากจะเป็นเครื่องแสดงไมตรียังเป็นเรื่องอวดฝีมือด้วยว่าใครกวนขนมได้ดีกว่ากันถ้าบ้านไหนเจ้าบ้านเป็นผู้มั่งคั่งก็ต้องกวนขนมเป็นจำนวนมาก เพื่อแจกแก่ชาวบ้านให้สมกับฐานะ ที่เขากวนในวันสงกรานต์ ก็เพราะ สมัยนั้นหาซื้อได้ยาก จึงต้องทำเอง คนแต่ก่อนไม่มีขนมมาขาย อยากกินก็ต้องทำกินเอง จึงได้มีการกวนขนมกัน
ทำบุญตักบาตร
สงกรานต์วันต้นหรือวันมหาสงกรานต์ ชาวบ้านลุกขึ้นแต่ไก่ขัน เพื่อเตรียม ไปตักบาตรถวายพระ พอหุงหาอาหารเสร็จ ก็จัดเตรียมอาหารและสิ่งของถวายพระบรรจุลงภาชนะมีถ้วยโถโอชามอย่างดี แล้วเอาวางเรียงลงในถาดหรือภาชนะอย่างอื่นๆ เพื่อนำไปทำบุญตักบาตรและเลี้ยงพระประจำหมู่บ้าน และจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มใหม่ ซึ่งเตรียมหาไว้ ก่อนหน้าวันสงกรานต์หลายวัน โดยเฉพาะหญิงสาวจะได้แต่งตัวให้สวยพริ้ง เพื่อไปอวดตามวิสัยของคนหนุ่มคนสาวที่รักสวยรักงาม และหญิงสาวพวกนี้เป็นคนยกเครื่องไทยธรรมของทำบุญ หลังจากตักบาตรเสร็จแล้ว มีเลี้ยงพระฉันเช้าที่ศาลาการเปรียญ โดยมัคนายกเป็นผู้จัดการเรื่องปูเสื่อสาดอาสนะ พอพระฉันเสร็จ ยถาสัพพีอนุโมทนาแล้ว ชาวบ้านก็กลับบ้านกันไป
ก่อพระเจดีย์ทราย
ไม่มีกำหนดว่าจะต้องก่อในวันสงกรานต์เท่านั้น วันอื่นๆ ใกล้เคียงกับ สงกรานต์ ก็มีก่อกัน และไม่จำเป็นต้องก่อที่ในวัดที่อยู่ใกล้แม่น้ำ ตอนเหนือๆ ก่อพระเจดีย์ทรายที่หาดทรายในแม่น้ำก็มี เช่น จังหวัดกำแพงเพชร ในวันก่อ เขามีทำบุญเลี้ยงพระที่หาดทรายด้วย เรียกกันว่า ก่อพระทรายนำไหล เสร็จแล้วก็มีเลี้ยงพระและเลี้ยงดูกัน ส่วนทางภาคอีสานบางแห่งเขาทำบุญสงกรานต์เป็นสองระยะ ระยะแรกทำบุญตักบาตรกลางลานในวันตรุษ ระยะหลังทำบุญตักบาตรที่ลานบ้านในวันสงกรานต์
ทางอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีการทำบุญตักบาตรกลางบ้าน คือเลี้ยงพระกันที่สองข้างถนน จึงเห็นได้ว่าการตักบาตรทำกันที่ไหนก็ได้ แล้วแต่สะดวกและนัดกัน
ทางจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการก่อพระเจดีย์ทราย เป็นสองตอน ตอนที่หนึ่งก่อที่ลานวัดในวันตรุษ และอีกตอนหนึ่งก่อที่ลานบ้านในวันมหาสงกรานต์ การก่อพระเจดีย์ทรายที่กลางลานบ้านก็ก่อแต่องค์เดียว จะขนาดเล็กขนาดใหญ่ก็แล้วแต่กำลังที่จะไปหาบขนเอาทรายมาได้มากน้อยเท่าไหร่ ทรายที่จะนำมาก่อนั้นเอามาจากลำห้วยลำธารหรือตามหาดทรายในแม่น้ำ แล้วแต่จะสะดวก การขนทราย พวกหนุ่มๆ สาวๆ และเด็กๆ นั่นแหละเป็นผู้โกยไปขนใส่กระบุงหาบคอนกันมาเวลาเย็น
สรงน้ำ รดน้ำ และสาดน้ำ
การสรงน้ำพระพุทธรูป มีดอกไม้ ธูปเทียน ไปบูชา แล้วเอาน้ำอบไปประพรมที่องค์พระ ทำพอเป็นพิธีว่าได้แสดงความเคารพบูชาและสรงน้ำท่านในวันขึ้นปีใหม่แล้ว เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปมา ก็มีการแห่แหนกันอย่างสนุกสนาน สรงน้ำพระพุทธรูปแล้วก็มีการสรงน้ำพระสงฆ์ โดยมากมักเป็นสมภารเจ้าวัดเป็นการสรงน้ำจริงๆ สรงเสร็จครองไตรจีวรใหม่ที่อุบาสกอุบาสิกานำมาถวาย ท่านก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์อำนวยพรปีใหม่ให้แก่ผู้ที่ไปสรงน้ำ นอกจากนี้ยังมีการ รดน้ำญาติผู้ใหญ่ หรือผู้ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ เพื่อขอศีลขอพรตามประเพณี สรงน้ำพระเสร็จแล้ว ก็ชวนกันเล่นสนุก สาดน้ำ และเลี้ยงกันที่ลานวัด ของที่เลี้ยงมีขนมปลากริมไข่เต่า และลูกแมงลักน้ำกะทิ ซึ่งชาวบ้านเรี่ยไรออกเงิน และจัดทำเอามาเลี้ยงกันด้วยความสามัคคี เหตุที่มีการสรงน้ำ รดน้ำ และสาดน้ำในวันสงกรานต์ มาจากความเชื่อ ที่ว่าการสาดน้ำ จะช่วยให้ฝนฟ้าตกบริบูรณ์ น้ำเป็นเครื่องหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์ เมื่อมีน้ำการเพาะปลูก ทำไร่ไถนาก็ได้ผล และถือกันว่าน้ำเป็นเครื่องชำระมลทินให้สะอาดอีกประการหนึ่ง เหตุนี้น้ำจึงเป็นสิ่งที่ใช้ในพิธีต่างๆ อาบน้ำ ซัดน้ำ หรือรดน้ำ เมื่อทำพิธีสมรส อาบน้ำเมื่อตาย อาบน้ำเมื่อโกนจุก หรือบวชนาค ฯลฯ
รดน้ำดำหัว
เครื่องดำหัวของภาคพายัพ ที่เขานำไปรดน้ำผู้ใหญ่ในวันพญาวัน นอกจากดอกไม้ธูปเทียนและผ้าใหม่สำหรับผลัด เขายังมีหมากพลูไปด้วย เพราะหมากพลูเป็นเครื่องแสดงความเคารพนับถือและเป็นเครื่องแสดงไมตรีจิตด้วยอีก และยังมีน้ำส้มป่อยและน้ำอบ น้ำส้มป่อยเป็นของใช้แทนสบู่ที่เมื่อก่อนยังไม่มี สำหรับสระผมและชำระร่างกาย ผู้ใหญ่เมื่อรับเครื่องดำหัวแล้ว ก็เอาน้ำส้มป่อยและน้ำอบประพรมบนศีรษะพอเป็นกิริยา ว่าได้ดำน้ำสระหัวแล้ว ต่อจากนั้นก็ให้ศีลให้พร กันตามประเพณี
อนึ่งในวันนี้บางคนยังนำเสื้อผ้าของเขาสำรับหนึ่ง ต่างคนเอาบรรจุลงขันของตน พร้อมด้วยเครื่องบริขาร มีกล้วย มีอ้อย มีใบขนุน มีใบแก้วเป็นต้น นำไปตั้งที่ลานวัดภายในมณฑลวงด้ายสายสิญจน์ แล้วพระสงฆ์ จะประพรมเสื้อผ้าเหล่านั้นด้วยน้ำมนต์ เพื่อความบริสุทธิ์ของเสื้อผ้าเพื่อใช้ในปีใหม่ เสร็จแล้วนำกลับมาเก็บไว้อย่างนั้นหลายๆ วัน
ปล่อยนกปล่อยปลา
เรื่องปล่อยนกปล่อยปลานั้น ที่ทำกันมากคือปล่อยปลา เพราะในกรุงเทพฯ ถ้ามีเงินก็หาซื้อเอาไปปล่อยได้สะดวก ปลาที่ปล่อยโดยมากเป็นปลาชนิดที่เขาไม่กินกัน เป็นลูกปลาตัวเล็กๆ จับเอามามากๆ ได้สะดวกเพราะตกคลัก โดยมากเป็นลูกปลาหมอ เพราะมันอดทน ไม่ตายง่ายเหมือนปลาชนิดอื่น การแห่ปลา พวกผู้ชายจะไม่แห่ปลาในตำบลของตน แต่มีประเพณีว่า ชายตำบลนี้ต้องเข้าร่วมแห่ปลาตำบลโน้นเพื่อเชื่อมสามัคคีกัน เรื่องปล่อยนกปล่อยปลา ที่มักทำกันในวันสงกรานต์ เพราะก่อนหน้าวันสงกรานต์เป็นหน้าแล้งอากาศร้อนจัดน้ำแห้งขอด คงเหลือแต่ที่มีแอ่งและหนองน้ำ อีกไม่ช้าพอน้ำแห้งหมด ปลาเหล่านั้นก็จะต้องตาย ชาวบ้านจึงพากันไปจับปลาที่ตกคลัก ถ้าเป็นลูกปลาจะกินไม่ได้เนื้อได้หนังอะไรก็เลี้ยงไว้ในตุ่มเอาบุญ แล้วนำไปปล่อยในวันสงกรานต์ จึงเกิดเป็นประเพณีปล่อยปลา และลามมาถึงปล่อยนกด้วย
บังสุกุลอิฐ
นอกจากปล่อยนกปล่อยปลาในวันสงกรานต์แล้ว ยังมีประเพณีบังสุกุลอัฐญาติ ผู้ใหญ่ การบังสุกุลนั้นทำแต่ครั้งเดียวจะทำในวันสงกรานต์วันไหนแล้วแต่จะสมัครใจและนัดหมายกัน โดยมากทำในวันสรงน้ำพระ หรือไม่ก็ทำกันใน วันท้ายวันสงกรานต์ ถ้าจะทำกันในวันแรกของสงกรานต์ เมื่อพระฉันเพลแล้ว ให้เสร็จธุระกันไปก็ได้ ตามประเพณีแต่ก่อนเขาไม่เอาอัฐิเข้าบ้าน ถ้าเป็นชาวบ้านมักฝังญาติผู้ใหญ่ไว้ใต้โคนต้นโพในวัด ฝังไส้ตรงเหลี่ยมไหนรากไหนของต้นโพเขาจำเอาไว้ และนิมนต์พระไปบังสุกุลที่ตรงนั้น เรื่องบังสุกุลอัฐิในวันสงกรานต์ ถ้าว่าถึงประเพณีชาวฮินดูก็ไม่มี เพราะเมื่อเขาเผาศพแล้ว ตามปกติก็ทิ้งอัฐิ และเถ้าถ่านลงในแม่น้ำ โดยเฉพะแม่น้ำคงคา เพราะฉะนั้นเรื่องบังสุกุลอัฐิก็คงเป็นประเพณีเดิมของเรา ไม่ใช่ได้มาจากอินเดีย ในท้องถิ่นเราบางแห่ง เมื่อถึงวันสงกรานต์ เขามีพิธีบวงสรวงผีปู่ย่าตายาย ประจำหมู่บ้าน ซึ่งทางภาคอีสานเรียกว่า ผีปู่ตา และภาคพายัพเรียกว่า ผีปู่ย่า ภาคปักษ์ใต้เรียกว่า ผีตายาย และผีประจำเมืองคือผีหลักเมือง และ ผีเสื้อเมืองด้วย
ทางภาคกลางมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ ห้ามตักน้ำ ตำข้าว เก็บผัก หักฟืน อันเป็นงานประจำวันครัวเรือนและอยู่ในหน้าที่ของผู้หญิงซึ่งจะต้องเตรียมหา สำรองให้พร้อมก่อนถึงวันสงกรานต์ จะได้ไม่กังวล
ที่จริงเรื่องวันสงกราน๖ยังมีเกร็ดน่ารู้อีกมากเลยคะแต่เกรงว่าแค่นี้ก็ยาวพอแล้ว ก็เลยขอจบเรื่องเอาไว้แค่นี้ก่อนนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจากกระทรงงวัฒนธรรม ขอขอบคุณ บริษัทสยามแกลเลอรี่ จำกัด และสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพาณิชย์ เอื้อเฟื้อภาพประกอบ ที่มา : กองสร้างสรรค์กิจกรรม ฝ่ายกิจกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ขอบคุณ น้องญามี่ เจ้าดั้งเดิม ขอบคุณ คุณ กุ้ง KungGuenter ขอบคุณ คุณ Lozocat ที่กรุณาให้หยิมยืมของแต่ง blog และคำแนะนำดีๆ ค่ะ
Create Date : 12 เมษายน 2553 |
Last Update : 29 มกราคม 2556 15:17:50 น. |
|
67 comments
|
Counter : 1316 Pageviews. |
|
|
|
โดย: cengorn วันที่: 12 เมษายน 2553 เวลา:3:17:10 น. |
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 12 เมษายน 2553 เวลา:7:05:09 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 เมษายน 2553 เวลา:7:53:09 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 12 เมษายน 2553 เวลา:9:59:30 น. |
|
|
|
โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 12 เมษายน 2553 เวลา:16:37:44 น. |
|
|
|
โดย: Scorchio วันที่: 12 เมษายน 2553 เวลา:20:58:45 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:5:17:54 น. |
|
|
|
โดย: อาคุงกล่อง วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:12:55:04 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:14:39:45 น. |
|
|
|
โดย: Chamelinc วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:17:22:17 น. |
|
|
|
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:22:25:14 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 เมษายน 2553 เวลา:6:19:51 น. |
|
|
|
โดย: แม่ปุ้มปุ้ย วันที่: 14 เมษายน 2553 เวลา:7:57:57 น. |
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 14 เมษายน 2553 เวลา:11:33:07 น. |
|
|
|
โดย: หมึกสีดำ วันที่: 14 เมษายน 2553 เวลา:11:33:35 น. |
|
|
|
โดย: cd2lucky วันที่: 14 เมษายน 2553 เวลา:16:28:37 น. |
|
|
|
โดย: แม่ปุ้มปุ้ย วันที่: 14 เมษายน 2553 เวลา:18:28:16 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:5:51:29 น. |
|
|
|
โดย: แม่ปุ้มปุ้ย วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:6:43:51 น. |
|
|
|
โดย: พจมารร้าย วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:10:34:29 น. |
|
|
|
โดย: cd2lucky วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:12:16:03 น. |
|
|
|
โดย: zerxiustor วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:14:06:12 น. |
|
|
|
โดย: ถุงก๊อปแก๊ป วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:17:11:22 น. |
|
|
|
โดย: harry_potty วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:17:17:06 น. |
|
|
|
โดย: amonrat35 วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:17:55:21 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:21:13:15 น. |
|
|
|
โดย: ย่าชอบเล่่า IP: 125.24.195.131 วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:21:14:59 น. |
|
|
|
โดย: zerxiustor วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:21:41:12 น. |
|
|
|
โดย: blog pu วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:22:09:49 น. |
|
|
|
โดย: เค็งเองนะ( ลงสะพาน...เลี้ยวขวา) IP: 122.57.181.24 วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:0:55:22 น. |
|
|
|
โดย: amonrat35 วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:3:32:52 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:7:50:52 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:9:41:31 น. |
|
|
|
โดย: ก้อนหิน (cator ) วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:13:02:46 น. |
|
|
|
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:14:25:47 น. |
|
|
|
โดย: amonrat35 วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:15:15:04 น. |
|
|
|
โดย: cd2lucky วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:17:07:36 น. |
|
|
|
โดย: zerxiustor วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:18:47:46 น. |
|
|
|
โดย: blog pu วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:21:46:25 น. |
|
|
|
โดย: zerxiustor วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:23:22:30 น. |
|
|
|
โดย: ญามี่ วันที่: 17 เมษายน 2553 เวลา:2:15:33 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 เมษายน 2553 เวลา:6:31:04 น. |
|
|
|
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) วันที่: 17 เมษายน 2553 เวลา:13:54:01 น. |
|
|
|
โดย: cd2lucky วันที่: 17 เมษายน 2553 เวลา:17:34:00 น. |
|
|
|
โดย: แม่ปุ้มปุ้ย วันที่: 17 เมษายน 2553 เวลา:18:08:11 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:5:35:35 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:6:19:58 น. |
|
|
|
โดย: der Flieder วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:7:49:17 น. |
|
|
|
โดย: nulaw.m วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:13:07:15 น. |
|
|
|
โดย: nulaw.m วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:14:04:02 น. |
|
|
|
โดย: nulaw.m วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:16:02:08 น. |
|
|
|
โดย: blog pu วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:19:28:08 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:19:35:41 น. |
|
|
|
โดย: da IP: 124.120.15.123 วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:1:26:30 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆๆค่ะคุณอร