เช็กวิธีเปลี่ยนสีผิวให้สวยและปลอดภัย
เช็กวิธีเปลี่ยนสีผิวให้สวยและปลอดภัย (นิตยสาร APPEAL) โดย พญ.ณิชนันทน์ ศรีปรัชญากุล จาก BB YOU คลินิกผิวหนัง และศูนย์เลเซอร์ครบวงจร
สาว ๆ ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าการมีผิวที่สวย ขาวอมชมพู จะเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจเพศตรงข้าม จึงพยายามสรรหาวิธีทำให้ตัวเองดูดีขึ้น แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกวิธีไหนที่จะทำให้ผิวสวย ลองมาดูข้อเท็จจริงของการเปลี่ยนสีผิวกัน
ปรับผิวให้ขาวด้วยกลูตาไธโอน
ก่อนอื่นเรามารู้จักกับกลุตาไธโอนกันก่อน กลูตาไธโอนประกอบด้วย กรดอะมิโน 3 ชนิดรวมกัน ซึ่งได้แก่ Cysteine, L-Glutamic Acid, Glycine ตัวที่ออกฤทธิ์ได้ดีคือรูปแบบของ Reduced form หรือเรียกว่า GSH ออกฤทธิ์ให้ความขาวโดยเปลี่ยนการสร้างเม็ดสีเมลานินสีดำ หรือน้ำตาล (Eumelanin) กลายเป็นเมลานินสีแดง (Phaeomelanin) จึงทำให้ผิวดูขาวสว่างใสขึ้น สารกลูตาไธโอนนี้ร่างกายของเราสามารถสร้างขึ้นได้เอง แต่ถ้าหากต้องการเสริมสารตัวนี้ จะต้องใช้วิธีการฉีดเข้าสู่เส้นเลือดเท่านั้น เนื่องจากการวิจัยที่ผ่านมาเมื่อรับประทานกลูตาไธโอน สารนี้จะผ่านเข้าสู่ระบบย่อยอาหารและถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ในระบบ
สำหรับการฉีดสารกลูตาไธโอน มักนำมาใช้ในการรักษาโรค เช่น มะเร็ง พาร์กินสัน โรคตับ โรคไขข้ออักเสบ ซึ่งใช้เพียง 200 มก./ครั้ง และฉีดเข้าตรงสู่เส้นเลือดดำ แต่พบผลข้างเคียงจากผู้ป่วยคือ ผิวขาวขึ้น หากต้องการให้กลูตาไธโอนทำงานได้ดีขึ้น ร่างกายจะต้องมีปริมาณของวิตามินซี และวิตามินอี ที่พอเหมาะสม หากถามว่าต้องฉีดนานแค่ไหน เนื่องจากเป็นการทำให้เม็ดสีเมลานินที่สร้างใหม่จางลง กว่าเซลลูไลท์ผิวเก่าจะหลุดออกซึ่งอย่างน้อยต้องใช้เวลา 1 เดือน เพราะฉะนั้นระยะเวลาที่ออกฤทธิ์ชัดเจนคือเวลา 1 เดือน แต่อย่างไรก็ตามสารนี้ยังไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาในไทย
ข้อดี : นอกจากกลูตาไธโอนจะออกฤทธิ์เปลี่ยนเม็ดสีเมลานินให้จางลงซึ่งเป็นเพียงผลข้างเคียงเท่านั้น หน้าที่ที่แท้จริงคือ อย่างแรก Detoxification ป้องกันตับถูกทำลายจากสารพิษต่าง ๆ ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น อย่างที่สอง Antioxidant ต่อด้านอนุมูลอิสระ และสุดท้ายกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพราะฉะนั้นนอกจากเราจะได้เรื่องผิวขาวใสเวลาโดนแดดจะทำให้คล้ำน้อยลงแล้ว เรายังได้ร่างกายที่แข็งแรง ขับสารพิษได้อีกด้วย
ข้อดี : กลูตาไธโอนยังไม่ผ่านอย.ประเทศไทย อาจมีอาการแพ้เฉียบพลัน ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้หากไม่สามารถช่วยชีวิตได้ทัน และอาจเกิดอาการเม็ดสีที่ตาลดลง หากรับกลูตาไธโอนเกินขนาด
กินอาหารเสริมที่มีสารช่วยให้ผิวขาว
อาหารเสริมในท้องตลาดขณะนี้มีมากมาย ซึ่งสารที่ทำให้ผิวขาว ส่วนมากมักจะเป็นสาร Antioxidant หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นหลัก ซึ่งจะสกัดมาจากผลไม้พืชผักต่าง ๆ อย่างที่เคยได้ยินกันมา ทั้งนี้จะขอแนะนำว่าควรจะรับประทานอาหารเสริมที่ประกอบด้วย วิตามินซี, วิตามินอี, Alpha Lipoic acid, NAC (ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของกลูตาไธโอน), Cysteine (ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของกลูตาไธโอน), Cysteine (ซึ่งเป็นกรดอะมิโนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกลูตาไธโอน) Pycnogenol ซึ่งแต่ละชนิดจะใช้เวลาในการรับประทานไม่เท่ากัน แต่อย่างน้อยก็ 1 เดือนจึงเห็นผลชัดเจน แต่หากต้องการผลอย่างต่อเนื่องอาจจะบอกได้เลยว่าต้องรับประทานตลอดชีวิต แต่ถ้าหากเราสามารถรับประทานอาหารที่มีวิตามินและสารอาหารต่าง ๆ ครบ อาจจะไม่ต้องทานวิตามินใด ๆ เลยก็ได้ และขอแนะนำเพิ่มเติมสำหรับสารที่ไม่ละลายในน้ำอาจจำเป็นต้องมีระยะในการหยุดกิน เพื่อลดการสะสมในร่างกาย เช่น วิตามินอี
ข้อดี : สามารถทำให้ผิวกระจ่างใสทั่วร่างกาย และสารพวกนี้ยังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ถ้าเรารับประทานอย่างพอเหมาะจะทำให้ระบบในร่างกายทำงานได้ดีอีกด้วย
ข้อดี : ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าการฉีดสารกลูตาไธโอน เนื่องจากปัญหาเรื่องการดูดซึมของสารต่าง ๆ ต้องผ่านระบบย่อยอาหาร ปริมาณที่ได้รับจะน้อยกว่า อาจต้องเปลืองค่าใช้จ่ายของการซื้ออาหารเสริมมากกว่า แต่ความปลอดภัยจะค่อนข้างสูง
ทาครีมไวท์เทนนิ่ง
ครีมจำพวกนี้มีสารมากมายหลายชนิด แล้วแต่บริษัทที่ผลิต ซึ่งส่วนมากจะออกฤทธิ์ที่กระบวนการของการผลิตเม็ดสีเมลานิน คือ อย่างแรกขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ไทโรสิเนส (ซึ่งคือเอนไซม์สำคัญในการสร้างเม็ดสี) เช่น Hydroquinone (สารตัวนี้จะอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่เป็นเวชสำอางเท่านั้น ควรใช้ยาในการควบคุมของแพทย์), Arbutin, Flavonoids, Ellagic acid, Hydroxycoumarins, Kojic acid, Licorice Extract-Glabridin, Paper Mulberry อย่างที่สองขัดขวางกระบวนการส่งต่อเม็ดสีเมลานิน เช่น Niacianamide, soy และอย่างสุดท้ายทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี เช่น Azelaic acid นอกจากนี้ยังมีสารที่เร่งการผลัดเซลล์ผิว ในประเภท AHA BHA อีกด้วย
ข้อดี : มีความปลอดภัยสูง อัตราการแพ้รุนแรงน้อยมาก
ข้อดี : ต้องทาครีมเป็นประจำทุกวันอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อที่จะเห็นผลชัดเจน ได้ผลเฉพาะจุดที่ทาครีมและอาจมีผลข้างเคียงทางผิวหนัง เช่น แสบร้อน ลอกเป็นขุย แต่สามารถหายเองได้
การใช้เลเซอร์เพื่อทำให้ผิวขาวขึ้น
สำหรับชนิดของเลเซอร์ที่สามารถทำให้ผิวขาวได้ในขณะนี้มี 2 ชนิด คือ อย่างแรก Intense Pulse Light ซึ่งแท้จริงแล้ว IPL ไม่ใช่เลเซอร์ แต่มีความยาวคลื่นที่กว้างมาก จึงสามารถทำลายเม็ดสีได้บ้าง จึงทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น และอย่างที่สอง Q-Switch Nd:YAG เป็นเลเซอร์ที่มีคลื่นความถี่ที่เฉพาะเจาะจงกับเม็ดสีดำ หรือน้ำตาลโดยเฉพาะ คือ 532 nm. และ 1064 nm. การทำงานของเลเซอร์จะไปดีดตัวเม็ดสีให้แตกกระจายออก และรอเม็ดเลือดขาวมาทำลายอีกครั้ง
ข้อดี : Q-Switch Nd:YAG เลเซอร์ตัวนี้เรียกได้ว่าเป็นพระเอกในเรื่องของการช่วยให้ผิวหน้าขาว รักษากระ รอยสัก เลยทีเดียว
ข้อดี : วิธีนี้จะเหมาะกับการเน้นผิวขาวเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2555 ISSUE 19
Create Date : 10 ธันวาคม 2555 |
Last Update : 10 ธันวาคม 2555 10:54:58 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1506 Pageviews. |
|
|
|
|
|