ชีวิตนี้เป็นของตัวเอง ขอใช้มันให้มีความสุขและคุ้มค่าที่สุด...........
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2548
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
7 พฤษภาคม 2548
 
All Blogs
 
เรื่องเล่าจากทัณฑสถาน

วันนี้ฝนตกปรอยๆทั้งวัน ผมใช้เวลากับการนั่งริมหน้าต่างห้อง มองสายฝนที่โปรยปราย...
อากาศเย็นๆทำให้ผมเริ่มรำลึกถึงเรื่องเก่าๆ คิดถึงประสบการณ์ที่ได้เจอะเจอเหมือนคนแก่~~
และเรื่องหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในใจจนรู้สึกอยากเล่าก็คือประสบการณ์เมื่อกลางปีที่แล้ว ช่วงได้ไปทำงานที่คุกแห่งหนึ่ง

ถ้าไม่รังเกียจว่ายาวเกินไป ก็ลองอ่านเล่นๆละกันครับ^^



+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + +


ถ้าพูดถึงทัณฑสถาน.... หรือที่คนทั่วๆไปเรียกกันง่ายๆว่า คุก คงมีน้อยคนนักที่อยากเข้าไปอยู่ในนั้น
อย่างมากก็คงแค่อารมณ์อยากรู้อยากเห็น จะลองเข้าไปสัมผัส อยากเข้าไปรับรู้ว่าภายในนั้นมีอะไรแบบชั่วครั้งชั่วคราว

และโดยประสบการณ์ของคนทั่วๆไป ก็คงมีน้อยคนที่มีโอกาสเข้าไปดู ว่าคนในนั้นใช้ชีวิตอย่างไร นอนอย่างไร กินอย่างไร ซึ่งเชื่อได้เลยว่าแตกต่างจากที่เห็นเวลาไปเยี่ยมผู้ต้องขังโดยมีซี่กรงกั้นกลาง

เมื่อกลางปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสเข้าไปในทัณฑสถานหญิงแห่งหนึ่งบ่อยครั้ง ทัณฑสถานแห่งนี้เป็นทัณฑสถานที่ใหญ่ระดับภาค มีผู้ต้องขังกว่าหลายพันคน ส่วนสาเหตุที่ผมต้องไปนั้นก็เพื่อช่วยถอนฟันให้กับนักโทษหญิงที่มีปัญหาในช่องปาก ไปประมาณเดือนละครั้ง มีนักโทษมาให้ถอนฟันครั้งละหลายสิบคน
แม้ที่นี่จะมีสถานพยาบาล มีแพทย์ประจำ 1 คน แต่ไม่มีทันตแพทย์ประจำ มีเพียงทันตแพทย์ที่อาสาแวะมาสัปดาห์ละครั้งสองครั้งเพียงคนเดียว และทันตแพทย์ท่านนี้เองที่เปิดโอกาสให้ผมได้เข้าไปช่วยงานเป็นครั้งคราว

ครั้งแรกที่ไปถึงทัณฑสถาน ผมรู้สึกได้ว่าตัวเอง และเพื่อนๆเจ้าหน้าที่ขนอุปกรณ์ดูเหมือนสิ่งแปลกประหลาด สายตาของญาติๆนักโทษที่มองมาเหมือนกำลังสงสัยว่าคนเสื้อขาวกลุ่มนี้มาทำอะไร พวกเรายืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าประตูชั้นนอกอยู่ซักพัก ต่อมาเจ้าหน้าที่ชายร่างใหญ่ก็มาไขกุญแจเปิดรับพวกเราเข้าไป
เมื่อเข้ามาด้านในเราพบว่าที่นี่มีประตูสามชั้น ชั้นนอกสุดเป็นประตูเหล็กทึบ ชั้นที่สองเป็นกำแพงซี่กรงโปร่งๆ มีช่องประตูให้พอเดินเข้าได้ทีละคน ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ไขกุญแจปลดล็อก พวกผมก็เดินลอดประตูซี่กรงเข้าไปเลย ไม่มีใครเดินถอยหลังเข้าไปเหมือนพวกดาราที่บอกว่าถือเคล็ดแม้แต่คนเดียว
พอพวกเราเข้าไปครบทุกคนเจ้าหน้าที่ก็ปิดประตูใส่กุญแจ และแจ้งให้พวกเราวางบัตรประชาชน โทรศัพท์มือถือ สิ่งของที่เป็นโลหะมีคมเก็บในล็อคเกอร์ และแจกป้ายอนุญาตเข้าออกให้พวกเราติดเสื้อคนละใบ พอทุกคนพร้อม เจ้าหน้าที่จึงไขประตูชั้นสุดท้ายเพื่อนำสู่โลกอีกด้านหนึ่งที่น้อยคนนักจะได้เข้ามาเห็น

ในสายตาของผมแล้ว ที่นี่ผิดจากที่ผมเคยคิดไว้มากๆ ไม่มีห้องแคบๆติดซี่กรงเหล็ก ไม่มีหญิงนักโทษนั่งซึมเศร้าอยู่มุมห้องขัง มีเพียงอาคารหลายหลังตั้งห่างกันเป็นจุดๆ แต่ละจุดประดับด้วยไม้ดอกสีสันสดใส พื้นถนนคอนกรีตดูเรียบสะอาดตา มีนักโทษหญิงบางคนกำลังกวาดเศษใบไม้ บางคนกำลังรดน้ำแปลงดอกไม้ เวลาผมมองผ่านหรือสบตาพวกเธอก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา
มีนักโทษหญิงหลายคนเข้ามาช่วยพวกเราถือของ ซึ่งเป็นพวกเก้าอี้ โคมไฟ ตะกร้าใส่อุปกรณ์ห่อด้วยผ้าเขียว พวกเธอช่วยถือของและเดินนำไปจนถึงอาคารพยาบาลซึ่งอยู่ทางซ้ายมือหลังเราเข้าประตู

ที่อาคารพยาบาล ผมเห็นป้ายโปสเตอร์แบบต่างๆติดตามผนัง มีทั้งโปสเตอร์รณรงค์ให้เลิกยาเสพติด โปสเตอร์เกี่ยวกับภัยของบุหรี่ สุรา และป้ายคำขวัญเกี่ยวกับสุขภาพซึ่งทราบว่าจัดทำโดยคุณหมอที่มีเพียงคนเดียวที่นี่
หลังจากทุกๆคนซึ่งรวมทั้งผม เพื่อนๆ และเจ้าหน้าที่ช่วยกันจัดเตรียมเซ็ตเก้าอี้ทำฟันอย่างง่าย ซึ่งได้แก่เก้าอี้มีพนักพิงพอปรับเอนได้ โคมไฟขนาดกลาง และเตรียมอุปกรณ์จำเป็นเช่นถุงมือ ยาชา มีดผ่าตัด คีม ชุดเย็บ เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เริ่มทำงานกันทันที

คนไข้ที่พวกเราได้รับ เป็นคนไข้ที่ผ่านการตรวจจากพยาบาลแล้ว พยาบาลได้ซักประวัติ วัดความดัน และเขียนประวัติในชาร์ทคนไข้ไว้เรียบร้อย ซึ่งช่วยให้พวกเราทำงานได้เร็วมากขึ้น

เท่าที่ผมได้แสกนโดยสายตา ผมพบว่าคนไข้ที่นี่มีหมดทุกวัย ตั้งแต่รุ่นสาวๆ20ต้นๆจนถึงแก่70-80 แต่ละคนก็มีปัญหาในช่องปากแตกต่างกันออกไป มีทั้งฟันผุน่าจะอุด มีฟันคุดที่น่าจะผ่า มีฟันหลอน่าใส่ฟันและมีฟันที่ปวด บวม ติดเชื้อมีหนอง
แต่ที่เราทำได้ ก็เพียงถอนฟัน และผ่าตัดฟันคุด เพื่อแก้ปัญหาปวดเท่านั้น สาเหตุที่เราทำอย่างอื่นไม่ได้ เพราะการรักษาทางทันตกรรมต้องใช้เวลาและอุปกรณ์มาก แต่ที่นี่ไม่มีอุปกรณ์อะไรพวกนั้นเลย และเราก็ไม่สามารถขนอุปกรณ์ครบเซ็ต มาให้บริการรักษาได้จริงๆ บางครั้งก็นึกเสียดาย ทั้งที่ไม่น่าถอนแต่ก็ต้องถอน เพราะไม่มีทางรักษาแบบอื่น

คิดง่ายๆคือถ้าพวกเธออยู่ข้างนอก ได้ไปรพ.หรือไปคลินิกคงมีทางเลือกที่ดีกว่านี้

งานของเราดำเนินไปเรื่อยๆ บางครั้งผมอ่านชาร์ทคนไข้แล้วสะท้อนใจ ผู้หญิงหลายๆคนติดคุกเพราะคดียาเสพติด มีทั้งกัญชา ยาบ้า เฮโรอีน และที่พบบ่อยในหญิงชาวเขาคือมีฝิ่นในครอบครอง บางครั้งผมก็อยากถามพวกเธอว่า ทำไปเพื่ออะไร แต่คำถามนั้นก็ไม่เคยหลุดจากปากผม รู้ไปแล้วได้อะไร ผมถามตัวเอง...

อาจเพื่อปากท้อง เพื่อค่าเทอมลูก เพื่อความอยากได้ อยากมี บางทีพวกเธออาจมีเหตุผลซึ่งผมหรือคนอื่นๆไม่มีวันเข้าใจ

ในชาร์ทคนไข้นอกจากบอกคดีที่ติดตัวแล้ว ยังบอกถึงช่วงเวลาที่ถูกจำคุกด้วย ผมมองผ่านๆพบว่ามีตั้งแต่1-2ปี จนถึง50-60ปี แต่ที่ไม่พบจำคุกตลอดชีวิตเข้าใจว่าเพราะโดนส่งไปเรือนจำกลาง และอีกอย่างในชาร์ทที่สำคัญคือโรคประจำตัวและประวัติแพ้ยา ผมพบว่ามีจำนวนมากที่เขียนว่าติดยา ทั้งยาบ้า ทั้งเฮโรอีน และมีจำนวนไม่น้อย(น่าจะมากกว่า30-40%)ที่เขียนตัวแดงๆโตๆมุมชาร์ทว่าHIV
ในการทำงานพวกเราจึงต้องระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว เรากล้าจับตัวกล้าสัมผัสคนไข้ แต่กับเลือดและน้ำลาย ห้ามเสี่ยง เพื่อนผมคนนึงเคยโดนเข็มทิ่มนิ้วเมื่อปีที่แล้ว แถมคนไข้ก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยง มันเลยต้องกินยาAZTจนอ้วกแตกอ้วกแตน ดังนั้นทุกครั้งที่จับมีดจับคีมทำงานที่มีเลือดออก ผมจึงเสียวๆทุกครั้ง

นอกจากHIV ที่เราพบว่ามีมากแล้ว โรคประจำตัวอื่นๆก็พบมากเช่นกัน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
มีคนไข้คนหนึ่งเป็นโรคไทรอยด์ เธอบอกว่าเธอมีฟันผุและปวดฟันมากหลายวันแล้ว ปวดร้าวไปถึงโหนกแก้มจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
หลังจากดูค่าความดันของเธอแล้ว ผมได้แต่ส่ายหัว ความดันตัวบนเธอพุ่งไปเกือบ200 ส่วนตัวล่างก็ปาไป130กว่าๆ ทั้งๆที่คนปกติน่าจะแค่120/80

ความดันโลหิตสูงขนาดนี้ทำอะไรไม่ได้เลย เดี๋ยวเลือดออกไม่หยุด

ผมชี้แจงให้เธอกินยาโรคไทรอยด์ก่อนแล้วค่อยมาถอนคราวหน้า เธอก็หน้าเศร้าบอกว่า ยาเธอหมด เธอไม่ได้กินยามานานแล้ว ผมสังเกตเธอดีๆก็พบว่าจริงเพราะเธอดูผอมมาก หน้าซีดเหงื่อออก มือสั่นๆ แม้กระทั่งตาทั้งสองก็เริ่มโปนออกมา
ยาที่สถานพยาบาลก็หมด ต้องรองบประมาณสั่งซื้อ โรคที่คนอื่นไม่ค่อยเป็นมักไม่มียาให้ ดังนั้นเธอจึงต้องทนๆไปก่อน ผมทำได้แค่ให้ยาแก้ปวด จนกว่ายารักษาโรคของเธอจะส่งมา....

หลังจากทำงานไปเรื่อยๆจนใกล้เวลาพักเที่ยง คนไข้ที่มาต่อคิวถูกเรียกมาจนครบ พวกเราก็เก็บเครื่องไม้เครื่องมือ นักโทษชั้นดีที่ได้รับมอบหมายให้มาช่วย รีบล้างเก็บอุปกรณ์ เก็บเก้าอี้เก็บโคมไฟให้ กาแฟและโกโก้ถุกนำมาเสริฟพร้อมขนมหลากหลายชนิด ทั้งคุกกี้ เค้ก และขนมไทยๆอย่างกลีบลำดวน ปั้นสิบ ทองหยอด ฝอยทอง เจ้าหน้าที่พยาบาลบอกว่าขนมพวกนี้เป็นฝีมือของนักโทษ ซึ่งเมื่อผมชิมแล้วพบว่าอร่อยมากจริงๆ อร่อยกว่าที่เคยกินตามร้านหรูๆข้างนอกเสียอีก

หลังจากทานขนมจนพออิ่มท้อง ก็มีเจ้าหน้าที่มาตามไปรับประทานมื้อเที่ยง ตอนแรกผมนึกว่าจะมีแต่อาหารว่าง เลยกินขนมซะเต็มคราบ แต่ในเมื่อเขาเชิญชวน เราก็ควรกินอีก(ตามมารยาทครับ อิอิ)
เจ้าหน้าที่ของทัณฑสถานพาพวกเราไปที่เรือนรับรองซึ่งอยู่ตรงหน้าประตูที่เราเดินเข้ามา ระหว่างทางผมสังเกตว่าเรือนพักนักโทษมีชื่อเพราะๆตามชื่อดอกไม้ ผมเองจำได้แค่บางชื่อ เช่นเรือนเครือฟ้า เรือนแว่นแก้ว เรือนคำ เรือนบัวบาน แต่ละเรือนก็จะมีนักโทษแตกต่างกันออกไป เช่น เรือนเครือฟ้าจะเป็นเรือนสำหรับหญิงต้องโทษที่ตั้งครรภ์หรือเพิ่งคลอดเด็กอ่อน ดังนั้นผมจึงเห็นเปลเด็กผูกที่เสาเรือนและบางครั้งเห็นแม่เด็กกำลังหยอกเย้ากับลูกของเธอ ผมรู้มาว่าเด็กจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในนี้แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น เมื่อเด็กเริ่มโตจะถูกส่งไปอยู่ข้างนอกกับญาติ หรือถ้าไม่มีญาติก็ต้องส่งไปสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แม้มันจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับตัวเด็ก แต่พอคิดว่าแม่ลูกต้องแยกจากกัน ผมก็สงสารอยู่ในใจ

นอกจากหญิงตั้งครรภ์แล้ว อีกอย่างที่ทำให้ผมสลดใจก็คือหญิงชรา มีหญิงชราหลายคนมาช่วยเสริฟอาหารพวกเรา ซึ่งเด็กกว่ามากคราวลูกคราวหลาน เสริฟอาหารเสร็จก็เดินค้อมตัวออกไป แล้วยกน้ำเย็นมารินใส่แก้วให้ มีครั้งนึงที่ผมสงสัยว่าคนแก่ๆแบบนี้ทำอะไรผิดก็เลยลองถามดู

“ยายทำผิดอะไร ทำไมเขาจับยายมาอยู่ที่นี่”

“ยายไม่ได้ทำอะไร ลูกยายมันขายยาบ้าแล้วตำรวจมาจับ ยายเลยรับว่าขายเอง สงสารมัน”

ฟังแล้วสะท้อนใจอยู่ลึกๆ ผมไม่คิดว่ายายจะโกหก เพราะโกหกผมยายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

“แล้วลูกยายเขามาเยี่ยมยายบ้างมั้ย”

“ไม่เคยมาเลย ตั้งแต่ยายมาอยู่ที่นี่หลายปี ยายก็ไม่เคยเห็นหัวมัน”

“ถ้ายายรู้ว่าเขาจะไม่มาเยี่ยม ยายจะยังรับแทนเขาอีกไหม”

“รับ” ยายตอบสั้นๆ “สงสารมัน”

เหตุผลสั้นๆ แต่ยิ่งใหญ่พอจะให้ผมเลิกถาม ผมได้คำตอบในใจแล้วว่า นี่ละจิตใจมนุษย์เรา

หลังจากนั้นผมก็ทานอาหารไปเรื่อยๆ อาหารมื้อเที่ยงที่นี่รสชาติดีมากๆจนผมกินไปสองจาน ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าที่นี่คุณภาพชีวิตดีกว่าที่คิด บางทีอาจจะดีกว่าคนหาเช้ากินค่ำข้างนอกด้วยซ้ำ บรรยากาศสะอาดสะอ้าน มีน้ำกินน้ำดื่ม มีอาหารครบสามมื้อ มีเสื้อผ้า(ยูนิฟอร์มคือเสื้อสีฟ้า ซิ่นสีดำ) มีสถานพยาบาลยามป่วยไข้ อีกทั้งหญิงต้องโทษเหล่านี้ได้รับการฝึกสอนวิชาชีพยามว่างด้วย อาจจะเป็นทำอาหาร เย็บปักถักร้อย ฝึกนวดแผนไทย หรือทำงานถักสาน เพื่อเป็นความรู้ติดตัวไปประกอบอาชีพภายนอก และของที่หญิงนักโทษเหล่านี้ทำ ก็ถูกนำออกมาจำหน่ายที่หน้าทัณฑสถาน หากขายได้ก็จะกลายเป็นรายได้ให้พวกเธอเก็บหอมรอมริบเผื่อเอาไปตั้งตัวหลังพ้นโทษ

หลังจากทานอาหารเสร็จ พวกเราก็ได้เวลากลับ ผมเคยถามหมอรุ่นพี่ที่แวะมาที่นี่บ่อยๆว่า แล้วทัณฑสถานชายล่ะ มีใครไปช่วยเรื่องปัญหาฟันให้นักโทษแบบที่นี่ไหม

คำตอบก็คือ ไม่มี

พอถามว่าทำไมไม่มี ก็ได้รับคำตอบว่า

ทัณฑสถานชายมีนักโทษที่ร้ายแรงและน่ากลัวว่าทัณฑสถานหญิงมาก ในนั้นบรรยากาศไม่ค่อยปลอดภัย เครื่องมือที่พวกเราใช้ก็คือมีดผ่าตัด คีม เข็ม กรรไกร ความคมมากพอจะเฉือนเนื้อคนได้ง่ายๆและมันก็อันตรายหากเราต้องรักษาแบบถึงเนื้อถึงตัว หากมีนักโทษทำอะไรไม่คาดฝันขึ้นมา จะเป็นอันตรายต่อหมอ และอาจเป็นปัญหาใหญ่ได้
“หมอคงไม่อยากขึ้นข่าวหน้าหนึ่งใช่ไหม แบบโดนจี้จับเป็นตัวประกัน” รุ่นพี่ถามยิ้มๆ ผมได้แต่หัวเราะแหะๆ
นึกภาพตัวเองดิ้นแด่วๆโดนล็อกคอ อืม ไม่น่าเสี่ยงจริงๆ^^”
ก่อนกลับผมหันไปมองข้างหลัง ประตูเหล็กบานใหญ่กำลังถูกปิดลง ตัดขาดจากโลกภายนอก
คิดๆแล้วที่นี่ก็ไม่เลวร้ายเกินไป แต่อย่างไรก็ตามความสะดวกสบายก็ไม่ได้บอกถึงความสุข ผมเชื่อว่าถ้าเลือกได้ คนเหล่านี้ก็คงอยากอยู่กับครอบครัวของเธอ อยากมีอิสระ อยากเห็นความเป็นไปของโลกภายนอกมากกว่าการอยู่ในที่แคบๆแบบนี้เป็นสิบๆปี

ผมนึกภาพหญิงคนหนึ่งหน้าตาสะสวย อัธยาศัยดีมาช่วยผมเก็บเครื่องมือ เธอบอกว่าอยู่มาหลายปีแล้ว และต้องอยู่อีกหลายสิบปี ผมฟังแล้วก็อึ้งๆไม่รู้เหมือนกันว่าวันที่เธอพ้นโทษแล้ว ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร

หลังจากนั้นผมก็ได้มาที่นี่อีกหลายๆครั้ง ทุก 1 เดือน ทุก 2 เดือน จนพักหลังๆไม่มีคนไข้ให้ทำเท่าไหร่ก็เริ่มซาๆไป
ถ้าคนไข้ไม่มาก ทันตแพทย์แค่คนเดียวแวะไปสัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอ

ดังนั้นหลังจากสิ้นปี47 ผมก็ไม่ได้แวะเวียนไปที่นั่นอีก

แม้จะเป็นประสบการณ์ช่วงสั้นๆ ไม่กี่ครั้ง ไม่กี่วัน
แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่า

ถ้าเลือกได้ ก็ขอจงอย่าหลงผิด อย่าทำอะไรที่ทำร้ายตัวเอง
แม้ที่นี่จะไม่เลวร้ายมาก แต่ก็ไม่ใช่ที่ๆควรมาอยู่เลย


ยอมลำบากแบบสุจริตอยู่ข้างนอก ดีกว่าอยู่ที่นี่แบบไม่มีอิสรภาพจริงๆ




Create Date : 07 พฤษภาคม 2548
Last Update : 7 พฤษภาคม 2548 22:33:23 น. 19 comments
Counter : 9897 Pageviews.

 
สมัยเรียนวิชา มนุษย์กับสันติภาพ
ครูเคยพาไปทัศนศึกษาที่เรือนจำกลางคลองเปรม ครั้งหนึ่งค่ะ


ได้ความรู้สึกเดียวกับที่คุณเขียนในบล็อกนี้ทุกประการเลยค่ะ

ยอมลำบากอยู่ข้างนอกนี้ดีกว่าอยู่สบาย (เหรอ) อย่างไร้อิสรภาพจริงๆ

=@^__^@=


โดย: มรกตนาคสวาท วันที่: 7 พฤษภาคม 2548 เวลา:20:02:01 น.  

 
มารับความรู้ค่ะ


โดย: กอหญ้าพาฝัน IP: 203.113.77.41 วันที่: 7 พฤษภาคม 2548 เวลา:20:42:59 น.  

 
สงสารยายค่ะ นี่แหละน๊า ความรักของแม่


โดย: อะ-โล-ฮ่า วันที่: 7 พฤษภาคม 2548 เวลา:21:06:21 น.  

 
อ่านแล้วเกิดความสงสารและตื้นตันใจ
หลายเรื่องเลยค่ะ
โดยเฉพาะเรื่องที่แม่ยอมทนรับโทษแทนลูก
แต่ลูกไม่เคยมาเยี่ยมแม่เลย


โดย: nature-delight วันที่: 7 พฤษภาคม 2548 เวลา:23:50:20 น.  

 
อ่านแล้วสะเทือนอารมณ์มาก

ความรักของแม่ยิ่งใหญ่จิง

ชีวิตคนเราก็ขอแค่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ก็พอ สู้ต่อไปเพื่อนอนาคต ^^


โดย: nanaosan วันที่: 8 พฤษภาคม 2548 เวลา:8:07:31 น.  

 
เข้ามาอ่านค่ะ ถือว่าได้แชร์ประสบการ์ณชีวิต เราชอบอ่านบทความ ข้อเขียนสไตล์นี้เลย เหมือนของคุณอรสม ที่เขียนเรื่องทำนองนี้

อืมอ่านแล้วก็เห็นใจ พลาดก้าวเดียวในชีวิตอาจต้อง สูญเสียอิสรภาพ

ดีจังที่คุณแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คนเหล่านี้ ให้เค้าได้มารอยยิ้มบ้าง

ปล.ขอบคุณอีกครั้งที่มาเยี่ยมบล็อกเรา และอีกอย่าง ชอบสีม่วงเหมือนกันเลย


โดย: Shorty and The Freaky Dogs วันที่: 8 พฤษภาคม 2548 เวลา:21:21:16 น.  

 
แวะมาอ่านครับ


โดย: ultra7 (ultraman seven ) วันที่: 9 พฤษภาคม 2548 เวลา:0:09:51 น.  

 
Good story krab. Thank you for visiting my blog krab.


โดย: Pol (POL_US ) วันที่: 9 พฤษภาคม 2548 เวลา:3:09:00 น.  

 
“ถ้ายายรู้ว่าเขาจะไม่มาเยี่ยม ยายจะยังรับแทนเขาอีกไหม”

“รับ” ยายตอบสั้นๆ “สงสารมัน”

ประโยคนี้อ่านแล้วช็อคเลยค่ะ


โดย: hypnotizer วันที่: 9 พฤษภาคม 2548 เวลา:21:33:57 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ ที่เก็บมาเล่าให้ฟัง

ฝันดีนะคะ


โดย: yadegari วันที่: 10 พฤษภาคม 2548 เวลา:3:54:10 น.  

 
สงสารคนที่คลอดลูกในคุกอ่ะครับ สงสารทั้งแม่ สงสารทั้งลูกเลย


โดย: นิเค วันที่: 10 พฤษภาคม 2548 เวลา:18:53:23 น.  

 
ตอนเรียนวิชากระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน
ก็ได้ไปทัศนศึกษาที่ "บ้านปรานี" ซึ่งเป็นสถานพินิจเยาวชนหญิง
ความรู้สึกก็คล้ายๆกันครับ
แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็คือ เค้าพยายามสร้างภาพให้เกิด "ความน่าอยู่" เมื่อมีคนภายนอกเข้ามาเยี่ยมชม


ระวังตัวด้วยนะครับ


โดย: ยังไม่ได้ผ่าฟันคุดเลย (นายกาเมศ ) วันที่: 11 พฤษภาคม 2548 เวลา:9:27:23 น.  

 
ขอบคุณที่เข้าไปอ่านกระทู้ของเรานะคะ อย่าทำแบบนั้นบ่อยนะคะ เพราะผู้หญิงน่ะ บอบบางยิ่งกว่าที่คุณเห็นนะ


โดย: คิดถึงจัง...จะรู้มั้ยเนี่ย IP: 202.176.91.86 วันที่: 11 พฤษภาคม 2548 เวลา:14:50:09 น.  

 
ขอบคุณที่แชร์ให้ฟังค่ะ ..

ความรักของแม่ .. ยิ่งใหญ่เสมอค่ะ ..

เป็นกำลังใจให้ทำสิ่งดี ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ นะคะ ..


โดย: janii (JANii ~~ ) วันที่: 11 พฤษภาคม 2548 เวลา:21:45:33 น.  

 
น่าสงสารจัง ถ้ามีโตรงการดีๆแบบนี้อยากให้เอามาเล่าสู่กันฟังอีก อยากไปช่วยคนแบบนี้จัง หมอฟ้า


โดย: นักศึกษาทันตแพทย์ IP: 58.147.18.176 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:59:47 น.  

 
อยากรู้ว่า ที่คุณไปนี่ใช่ ที่ปทุมธานีรึป่าวค๊ะ ดิฉันเคยอยู่มาหลายปีเหมือนกัน เข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ข้างในได้เป็นอย่างดี


โดย: ครั้งหนึ่ง IP: 58.147.59.60 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:20:02 น.  

 
อย่าลืมมาเล่าหั้ยเราฟังอีกนะคะ

ตอนนี้แฟนหนูอยูคลองเปรมคะ

ยังไงรบกวนเล่าหั้ยฟังบ่อย ๆ นะ คะ


โดย: กระแตคะ IP: 58.8.50.111 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2551 เวลา:1:32:33 น.  

 
ได้รับรู้ถึงความรู้สึกคนในนั่นจิง ๆ คะ

ขอบคุณมากคะ

มาเล่าหั้ยฟังอีกนะคะ


โดย: กระแต&ซันนี่ IP: 58.8.50.111 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2551 เวลา:1:34:07 น.  

 
มีประโยชน์มากนะคะขอบคุณที่เล่าให้ฟัง


โดย: มะเหมี่ยว IP: 202.133.139.228 วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:8:27:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Carlziess Lens
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"a man is not where he lives,bus where he loves.. ...."

Friends' blogs
[Add Carlziess Lens's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.