ชีวิตนี้เป็นของตัวเอง ขอใช้มันให้มีความสุขและคุ้มค่าที่สุด...........
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
20 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 
ฝากหัวใจไว้ที่...ดอยหลวงเชียงดาว

สองปีที่แล้ว คนๆหนึ่งหลงเชื่อคำชักชวนของเพื่อน เขาเก็บเสื้อกันหนาวใส่เป้ เดินทางไปดอยหลวงเชียงดาวโดยแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มีอะไร

ทริปนั้น เกิดอะไรขึ้นหลายๆอย่างที่จดจำไม่มีวันลืม เช่น เต๊นท์ขาดต้องนอนตากน้ำค้างหนาวทั้งคืน รองเท้ากัดจนเท้าเป็นแผล เดินจนปวดขา

แต่แปลกที่แม้จะเหนื่อยเพียงใด พอกลับลงสู่สังคมเมือง... ความรักและความคิดถึงขุนเขาแห่งนี้ก็ไม่เคยลดลงเลย

ดอกไม้เล็กๆที่ซ่อนตัวหลังหลืบหิน พระอาทิตย์ที่ส่องแสงทักทาย หมอกยามเช้าที่สวยที่สุดในชีวิตบนยอดกิ่วลม ยังทำให้ผมคิดถึงอยู่เสมอ

คิดว่าจะกลับมาอีกครั้ง สัญญาว่าจะกลับมาอีกครั้ง...





17-19 พฤศจิกายน2549 ดอยหลวงเชียงดาว

เช้าวันศุกร์ที่แสนเหน็บหนาว ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงปลุกของคุณยายผู้ใจดี เพื่อนสนิทของผมเปลี่ยนชุดจากชุดนอนเป็นกางเกงทะมัดทะแมง ผมเก็บที่นอนตรงระเบียงบ้าน ล้างหน้าแปรงฟันก่อนปรับตัวมาอยู่ในชุดพร้อมเดินทางเหมือนเพื่อน สัมภาระในเป้ถูกแบกขึ้นหลังพร้อมกับคำอำลาคุณยายวัยแปดสิบกว่าๆที่ให้อาศัยพักพิง




ผมนัดเจอกับเพื่อนร่วมทริปอีกกว่ายี่สิบคนที่บ้านของเบิร์ทซึ่งอยู่ในตัวอำเภอเชียงดาว ทริปนี้ได้เพื่อนใหม่หลายคน ส่วนใหญ่เคยมาดอยหลวงแล้ว แม้จะมาจากคนละทิศละทางแต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความผูกพันกับขุนเขาแห่งนี้

หลังจากทานอาหารเช้าฝีมือแม่ของเบิร์ทเรียบร้อย พวกเราก็แบ่งเสบียงกันเพื่อช่วยกันขนขึ้นไป อย่างที่รู้ๆกันว่าบนดอยหลวงเชียงดาวไม่มีที่พัก ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ทุกอย่างต้องเตรียมขึ้นไปเอง ดังนั้นนอกจากสัมภาระส่วนตัวเช่นถุงนอน เสื้อกันหนาว กระเป๋ากล้องแล้ว พวกเราต้องช่วยกันแบกเสบียงกองกลางเท่าที่จะทำได้ คราวนี้หน้าที่ของผมคือปลากระป๋องกับข้าวสาร และมีน้ำส่วนตัวอีก 3 ลิตรสำหรับ 3 วัน:)


ช่วงสายๆรถ4WD มารับและพาเราไปที่เด่นหญ้าขัด ระหว่างทางกว่า2ชั่วโมงต้องเมื่อยก้นบนหลังรถที่ตกหลุมตกบ่อตลอด จะกี่ปีผ่านไปถนนเส้นนี้ก็ไม่เคยปรับปรุงเหมือนเดิม


พวกเราถึงที่ทำการเด่นหญ้าขัดตอน10.00น. ที่นี่เป็นป่าสนที่มีนกมากมายหลายพันธุ์ เหมาะสำหรับเป็นที่ดูนกอย่างยิ่ง ข้างล่างเป็นเต๊นท์ของบรรดานักดูนก



ตรงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ แต่ละคนเตรียมความพร้อมอีกครั้ง งานนี้ สู้ สู้ :)





ระพินทร์ มั่นใจเต็มร้อย



แบกหนักกว่านี้ก็ยังไหววววว....



ก่อนเดินทาง เบิร์ทให้ทุกคนในทริปกล่าวขอขมาเจ้าหลวงคำแดงที่เชื่อว่าสิงสถิต ณ ดอยหลวงแห่งนี้ พวกเราขอให้ท่านคุ้มครองให้ทริปนี้เดินทางโดยสวัสดิภาพ เป็นความเชื่ออีกอย่างหนึ่งของชาวล้านนา



เริ่มต้นเดินทางจากเด่นหญ้าขัด เส้นทางระยะแรกเป็นทางราบกลางป่าสน อากาศเย็นสบาย มีนกร้องทักทายตลอดทาง เราเดินชิลล์ๆประมาณครึ่งชั่วโมงก็เจอเส้นทางชันแรก จุดนี้ต้องปีนป่ายมิใช่น้อย แค่เนินแรกก็ทำเอาผมเสียน้ำไปหลายอึก

จากนี้ไปเริ่มเข้าเขตป่าทึบ อากาศเย็นชื้นตามพื้นและหลืบหินเห็นมอสขึ้นเขียวชอุ่ม ตรงนี้เองที่พบพรรณไม้หายากที่ผมคิดถึงมานาน ดอกเทียนนกแก้ว...
น้องๆหลายคนไม่เคยเห็น เข้าไปมุงถ่ายรูปกันใหญ่ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกดีคือถึงจะตื่นเต้นอยากได้รูปเพียงใด ก็ยังถ่ายรูปด้วยความระมัดระวัง ไม่เหยียบย่ำหรือทำให้ดงพรรณไม้เทียนนกแก้วเสียหาย
หวังว่านักท่องเที่ยวรุ่นต่อๆไปจะได้เห็นความน่ารักของดอกไม้เล็กๆนี้เช่นกัน








ออกเดินต่ออีกชั่วโมงกว่าๆ ถึึงดงท้อ(แท้) ต้นท้อขนาดกลางมีดอกท้อเล็กๆประดับแซมตามยอดไม้ ที่จุดนี้เห็นดอยปิรามิดอยู่เบื้องหน้า มีดอกบัวตองสีเหลืองบานตลอดข้างทาง พวกเราหยุดพักกินอาหารกลางวันใต้ดงท้อ ซึ่งมื้อนี้ได้ข้าวเหนียว1ห่อ หมูทอด2ชิ้น ไส้อั่ว1ชิ้น (บางคนพกรถด่วนมาด้วย อิอิ) เวลาเหนื่อยๆอะไรก็อร่อย ผมว่าข้าวเหนียวเย็นๆในห่อใบตองรสชาติดีกว่าอาหารข้างล่างเสียอีก



พอท้องอิ่มก็นั่งพักให้ข้าวเรียงตัว วันนี้เรายังมีเวลาอีกยาวไกล ระหว่างนอนพักก็นึกถึงทริปที่แล้ว ตอนนั้นมาเชียงดาวครั้งแรก ผมบ้าพลังเดินรวดเดียว 4ชั่วโมงครึ่งถึงอ่างสลุง ตอนนั้นเหนื่อยมากๆๆๆแถมไม่ค่อยได้ดูวิวข้างทาง ทริปคราวนี้เลยอยากเดินไปพักไป ถ้าเหนื่อยก็หยุด

ยังไงๆจุดมุ่งหมายก็ไม่หนีเราไปไหนอยู่แล้ว :)



นอนพักเกือบชั่วโมง จนกลัวว่าถ้าพักนานกว่านี้อาจจะไม่ยอมลุก ในที่สุดก็ต้องสลัดเศษดินออกจากกางเกงแล้วเดินทางต่อ ช่วงนี้ทางเดินเป็นทางแคบๆในดงหญ้าคา ทางซ้ายมือมีทางแยกซึ่งมีป้ายบอกว่าเป็นทางลงไปปางวัว(บ้านนาเลา) ช่วงนี้ดูเหมือนผมจะเดินช้าไปหน่อยเพราะมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่มาทีหลังเริ่มทยอยแซงไปทีละคนสองคน^^"



เดินมาจนถึงเนินช่วงสุดท้ายซึ่งเป็นจุดที่(น่าจะ)เหนื่อยที่สุด ทางเดินชันค่อยไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ มีแง่งหินให้หยุดพักเป็นระยะ ตรงช่วงนี้ผมบ่นว่าเหนื่อยฉิบหาย และไอ้ป๊อบก็บอกว่าตรงนี้ภาษาเหนือเรียก"เนินหมาก๊าน" ซึ่งแปลว่าเนินหมายอมแพ้นั่นเอง เวร... เปรียบซะจนกรูไม่กล้าบ่นเลย



แถวๆหมาก๊าน เริ่มมีพรรณไม้กึ่งอัลไพน์ให้เห็นมากขึ้น ฟองหินเหลืองแอบซุกตามซอกหลืบหิน ถ้าสังเกตดีๆอาจได้เห็นกอสวยๆ ชมพูพิมพ์ใจก็กำลังออกดอกบานเต็มต้น สีชมพูหวานสมชื่อจริงๆ

ผมเดินไปถ่ายรูปไป รู้ตัวอีกทีก็เกือบสี่โมง แต่ยังเดินอยู่แถวๆดงเย็น ดงเย็นเป็นชื่อเรียกจุดที่อยู่ใกล้อ่างสลุงแล้ว ลักษณะเป็นป่ารกครึ้ม อากาศชื้นตลอดวัน เวลาเดินลอดซุ้มไม้จะรู้สึกเย็นวาบเหมือนอยู่ในป่าดิบชื้น จุดนี้โยชี้ให้ผมดูกองหินที่มีมอสขึ้นเขียวครึ้ม โยบอกว่าสังเกตดีๆมีกล้วยไม้อยู่ด้วย ตอนแรกมองผ่านๆผมไม่เห็นอะไร แต่พอก้มลงมองใกล้ๆ เห็นต้นอะไรสักอย่างเล็กๆรูปร่างคล้ายถั่วงอก ขนาดไม่กี่มิลลิเมตรเกาะอยู่บนก้อนหินนั้น
"กล้วยไม้เล็กที่สุดในโลก สายพันธุ์เดียวกับที่อยู่ในงานราชพฤกษ์ไง "
พวกเรามุงจุดนั้นอยู่หลายนาที ก่อนเดินทางต่อ ผมเดินจากจุดนั้นมาด้วยความเป็นห่วง ต้นมันเล็กนิดเดียว หวังว่ามันคงไม่โดนคนที่ไม่รู้เหยียบเอานะ

จากดงเย็นใช้เวลาอีกนานพอสมควรก็ถึงอ่างสลุง ผมพลิกดูนาฬิกาข้อมือ วันนี้ใช้เวลาเดิน7ชั่วโมงกว่า เฮ้อ.. พวกเราช่วยกันกางเต๊นท์ กินข้าวที่ห่อมาและใช้เวลาที่เหลือกับการพักผ่อน ออมแรงไว้เดินต่อวันพรุ่งนี้ คืนนี้เป็นโชคดีของพวกเราเพราะช่วงวันที่17-18พฤศจิกายน เป็นคืนที่มีฝนดาวตกพอดี ผมมุดเข้าไปในเต๊นท์ซุกตัวใต้ถุงนอนอุ่นๆ โผล่แต่ศีรษะออกมาแหงนมองท้องฟ้า ดาวคืนนี้น่าจะมีเป็นล้านๆ และท่ามกลางจุดสีขาวๆนั้นมีแสงไฟวิบวับวิ่งผ่านไป บนยอดดอยที่มืดสนิท ผมเห็นดาวตกมากมายจนไม่ได้นับจำนวน

ช่างเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายจริงๆ...



....


เช้าวันรุ่งขึ้นเริ่มต้นเวลา 4.30 น. ผมมุดออกนอกเต๊นท์มาสมทบกับเพื่อนๆเพื่อเดินขึ้นยอดดอยหลวง เช้านี้อากาศหนาวจัด แต่เส้นทางชันตามไหล่เขาทำเอาผมร้อนเหงื่อแตกที่อุณหภูมิ 3 องศา
พวกเราโชคดีขึ้นมาถึงก่อนเวลา จึงตั้งขาตั้งกล้องถ่ายภาพทัน



ฟ้าสีน้ำเงินเข้มเริ่มเปลี่ยนสีทีละนิด แสงพระอาทิตย์บนยอดเขาแห่งนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นจริงๆ





ช่างภาพชอบฟ้าเปลี่ยนสี แต่บางคนชอบการยืนอาบแดดอุ่นๆ



พวกเราเก็บภาพบนยอดดอยหลวงนานเกือบสองชั่วโมง ทั้งภูเขา ทั้งดอกไม้อย่างชมพูเชียงดาวและเหยื่อจง แต่ละคนปล่อยใจไปกับธรรมชาติและความรู้สึกของตนเอง... แม้ดูเผินๆแล้วดอยหลวงเชียงดาวเป็นแค่เทือกเขาธรรมดาๆเทือกนึงอยู่ปลายสุดของหิมาลัย แต่ในความธรรมดานั้นมันมีความหมายมากมาย ที่นี่เป็นที่ๆทำให้ผมชอบการเดินทาง ที่นี่ทำให้เพื่อนของผมคนนึงได้เจอรักแท้ ที่นี่ทำให้ที่นี่ทำให้คนๆหนึ่งรักการถ่ายภาพ รพินทร์บอกว่าฟ้าบนดอยหลวงเชียงดาวไม่เคยเหมือนกันเลยซักปี... ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน...

หลังจากใช้เวลาบนยอดดอยหลวงจนพอใจ พวกเราก็ลงมาทำมื้อเช้าที่จุดกางเต๊นท์ ระหว่างทางลงน้องอ๊อดโชคดีได้เจอกวางผาที่ชะง่อนหินในระยะไม่ถึงสิบเมตร ทั้งคนทั้งกวางได้แต่ตกใจมองหน้ากันตาปริบๆก่อนที่เจ้ากวางผาจะกระโดดหายตัวไปตามหน้าผา กวางผาเป็นสัตว์ป่าหายากและน้อยคนนักที่จะได้เห็นในระยะใกล้ขนาดนี้



เก็บภาพดอยสามพี่น้องซะหน่อย....



ดอกชมพูเชียงดาว



เหยื่อจงสีเหลืองนวล ที่ชื่อนี้เพราะมันเป็นอาหารอันโอชะของกวางผา ที่ชาวบ้านเรียกว่า"จง"



พอถึงเต๊นท์ก็แบ่งหน้าที่กันทำอาหาร มื้อเช้าวันนี้ช่วยกันทำแบบง่ายๆ วันชัยใช้ใบตองแทนฝาหม้อหุงข้าว โห... สุดยอด



ฟอร์มดีอยู่ได้ไม่นาน ผลงานก็ฟ้องออกมา ...ข้าวดิบ เหอๆๆๆ



น้องๆช่วยกันทอดกุนเชียงกับเจียวไข่ น้องๆทอด... ผมรอชิม อิอิ



โยทำหน้าเครียด ไอ้ที่อยู่ในกะทะเริ่มไหม้..



กินข้าวเสร็จก็ทำข้าวห่อเป็นเสบียงสำหรับมื้อเที่ยง ก่อนเดินไปกิ่วลมซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ทริปที่แล้วเคยเดินขึ้นกิ่วลมตอนตี5 เพื่อมาดูพระอาทิตย์ขึ้น หมอกยามเช้าของที่นี่สวยไม่แพ้ที่ไหนๆ



พอถึงยอดกิ่วลมมองกลับมาเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน มียอดดอยหลวงอยู่ทางขวา เห็นเต๊นท์ตรงอ่างสลุงแล้วทำให้สงสัย สูงชิบ..เมื่อเช้าเดินขึ้นไปได้ยังไงวะ



บนกิ่วลมมีพรรณไม้สารพัด ที่กิ่วลมเหนือมีกล้วยไม้สิรินธรเนียซึ่งเป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ของโลก พบที่ดอยหลวงเชียงดาวเป็นแห่งแรกจึงได้รับชื่อพระราชทาน ก่อนจะพบที่อื่นๆภายหลังเช่นที่เทือกเขาในเนปาล ช่วงที่ผมไปกล้วยไม้ยังไม่มีดอก เห็นเพียงกอเล็กๆอยู่ในซอกหิน บริเวณนั้นมีฟองหินเหลือง กับฟ้าครามเป็นดงใหญ่ ส่วนพรรณไม้อื่นๆเช่นเทพอัปสรสีน้ำเงินเข้มจะพบได้บ้างแถวๆกิ่วลมใต้







ผมใช้เวลาที่กิ่วลมเหนือพักใหญ่ก่อนเดินลัดเลาะตามไหล่เขาสีเขียวชอุ่มไปกิ่วลมใต้ ระหว่างทางเห็นกล้วยไม้ป่าหลายช่อตามคบไม้ เช่นเอื้องตาเหิน กล้วยไม้ป่าจะออกดอกเพียงปีละครั้งช่วงกุมภา-มีนา
ที่ยอดกิ่วลมใต้มีหมอกลงหนาจัด ดอกขาวปั้นที่พบตามโขดหินริมหน้าผาก็น่ารัก (แต่ต้องใช้ท่วงท่ากายกรรมและเสียงชีวิตพอสมควรในการไต่ลงไปเก็บรูป) ทิวค้อเชียงดาวกลางหมอกที่มีอีกชื่อว่าปาล์มรักเมฆ ใครหว่า.. ตั้งชื่อได้น่ารักจริงๆ









พระอาทิตย์เริ่มต่ำลง พวกเราเดินลงจากยอดกิ่วลมกลับมาที่ดอยหลวงอีกครั้ง(ใครคิดโปรแกรมทริปนี้วะ เดินถึกจริงๆ) จุดชมวิวที่ดีที่สุดคือพระอาทิตย์ตกหลังดอยสามพี่น้อง วันชัยเอาอุปกรณ์มาวาดภาพสีน้ำเหมือนเคย ผมจับจองที่นั่งตรงริมหน้าผาก่อนดึงโปสการ์ดออกมาเขียนบางอย่างถึงใครซักคน วันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ยังไม่ทันที่พระอาทิตย์จะลับเหลี่ยมเขา หมอกก็วิ่งมาบังวิวจนมิด
ทันทีที่พระอาทิตย์ตก อากาศก็เย็นลงอย่างรวดเร็ว ผมรีบแบกกระเป๋ากล้องกับขาตั้งกล้องลงจากดอยหลวง เพราะท้องเริ่มบอกว่าหิว
คืนนี้เราก่อกองไฟนั่งคุยกันเรื่อยๆ มันเผาร้อนๆทำให้รู้สึกว่าคืนนี้ช่างวิเศษกว่าคืนไหนๆ











เช้าวันที่3บนยอดดอย ตอนนี้น้ำส่วนตัวผมเหลือแค่นิดเดียว เลยอดแปรงฟัน ก็คิดในใจว่าค่อยลงไปอาบน้ำรวดเดียวข้างล่างละกันวะ
อากาศเย็นๆ นั่งผิงไฟแก้หนาว มื้อนี้นอกจากข้าวกับผัดกระเพราแล้วยังมีอาหารทะเลด้วยครับ หมึกปิ้งรสแซ่บอย่าบอกใคร...








กินอิ่มก็ได้เวลาเก็บของเดินทางกลับ ใครบางคนเริ่มกระจายน้ำหนักสัมภาระให้เพื่อน ดังภาพนี้แล





ทางกลับช่วงแรกคล้ายๆขามา แต่ทางลงมันช่างสบายกว่าการขึ้นเยอะ หญ้าข้างทางมีน้ำค้างเกาะพราว และเราก็ได้เจอเทียนนกแก้วเผือกซึ่งเป็นกอเล็กๆอยู่ข้างทาง รูปร่างไม่เหมือนนกแก้วเท่าไร เบิร์ทบอกว่าเทียนนกแก้วสีขาวหายากมากๆ น้อยคนนักที่จะได้เห็น



ลงจากหมาก๊าน..ผมเดินไปเรื่อยๆ แหงนมองดอยช้าง ดอยสามพี่น้องที่มีถ้ำมากมายเหมือนก้อนชีสที่มีรูพรุน เวลามองถ้ำเหล่านั้นแล้วทำให้คิดถึงตำนานพื้นบ้านที่เล่ากันมานานว่าในถ้ำเหล่านั้นมีแห่งหนึ่งที่เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างวัดเจดีย์หลวงใจกลางเมืองเชียงใหม่กับดอยหลวงเชียงดาว
น่าแปลกนะครับที่ทางเชื่อมนั้นมีจริงๆ แต่เป็นเพียงอุโมงค์ของน้ำใต้ดิน



ขากลับฟ้าสวยเป็นใจมากๆ ชมพูพิมพ์ใจสีหวานและเอื้องศรีจันทราปลิวลมทักทายอยู่สองข้างทางเหมือนกับจะบอกลา ทริปนี้เราเลือกลงทางปางวัว(ปางตาย) ซึ่งโชคดีอีกแล้วที่ได้เห็นกล้วยไม้ป่าเล็กๆสีสวยมีทั้งดอกสีส้มและสีชมพูในกิ่งเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามปางวัวปลายฤดูฝน ทางเลยเฉอะแฉะ ทำให้ผมลื่นล้มตลอด .....

และ..ทริปเชียงดาวครั้งที่2ของผมก็จบลง พร้อมกับสภาพเลอะโคลนเล็กน้อย แต่ยังไงก็นับว่าดีเพราะทริปนี้ไม่ปวดขา ไม่ปวดไหล่เหมือนครั้งที่แล้ว



ชมพูพิมพ์ใจกับเอื้องศรีจันทรา



กล้วยไม้ป่า...นิรนาม







ทริปนี้จบลงด้วยรอยยิ้ม แม้บรรยากาศทั่วๆไปจะไม่สวยมากเหมือนคราวที่แล้ว แต่เชียงดาวก็ยังคงเป็นเชียงดาว เป็นที่ๆผมเคยประทับใจและได้ความความทรงจำดีๆ ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่หลายคน ทุกคนอารมณ์ดี มีน้ำใจ(และถึกๆกันทั้งนั้น) หวังว่าในโอกาสหน้าผมจะได้เจอเพื่อนดีๆ ได้ร่วมเดินทางกับเพื่อนๆแบบนี้อีก และที่สำคัญที่สุด หวังว่าจะได้กลับมาดอยหลวงเชียงดาวอีกครั้ง



สัญญาครับ...ว่าจะกลับมาอีกครั้ง




Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2550 11:50:04 น. 13 comments
Counter : 2071 Pageviews.

 
สวยมากคะ อยากไปดอยเชียงดาวคะ ชอบบรรยากาศ ชอบลุย ชอบกางเตนท์ ชอบชีวิตแบบนี้ ดอกไม้ก็สวย วิวก็สวย เห็นแล้วอยากไปจัง


โดย: nakwan6 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:20:12:07 น.  

 
ผมไปหลังหมอสองอาทิตย์ เทียนนกแก้วหาแทบไม่ได้แล้ว
น่าเสียดายครับ

ยังนึกถึงบรรยากาศหนาวๆ แล้วก็ต้นค้อเชียงดาว ที่มีที่เดียวที่ดอยหลวงเชียงดาว


โดย: man@ (manatto ) วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:20:57:42 น.  

 
ตามมาเที่ยวครับ
บรรยากาศดี ภาพสวยตามเคยเลย

อ่านเรื่อง ดูรุป แล้วคิดถึงประสบการณืเก่าๆ คิดถึงเพื่อนๆ
ตอนที่เคยเดินป่า เที่ยวเขาด้วยกันแบบนี้
บรรยากาศแบบนั้น ผมไม่ได้สัมผัสมันมานานหลายปีแล้ว
อยากกลับไปเป็นเด็กอีกจัง จะได้ว่างๆ มีเวลาเที่ยวกับเพื่อนๆ อีก


โดย: กุมภีน วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:21:55:07 น.  

 
ที่นี่..ดอยหลวงเชียงดาว..
มีคนเคยให้นิยามไว้ว่า.."ทริปซกมก"..
เนื่องจากขาดแคลนน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวก
แต่ถึงร่างกายจะซกมกและสกปรก..
แต่จิตใจของเพื่อนๆร่วมทริปไม่ซกมกอย่างร่างกายเลย

ชอบค่ะ..เอามาลงอีก ก้อจะตามมาเที่ยวด้วยอีก


โดย: ดาวทะเล วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:56:46 น.  

 
น่าเที่ยวมากครับ

ดอกไม้สวยๆ อย่างนี้น่าไปโพสต์ให้คนรักดอกไม้ที่ห้องต้นไม้จัตุจักรชมบ้างนะครับ


โดย: กะได วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:58:05 น.  

 
โอ้....มันน่าอิจฉามากเลยค่ะ ใฝ่ฝันว่าจะไปกับเพื่อนเยอะ ๆ แบบนี้บ้าง ไม่ได้ออนทัวร์แบบลุยป่าลุยเขาแบบนี้นานแล้วค่ะ คิดถึงจังเลย เคยผ่านแถวนี้นะคะ แต่ไม่คิดว่าเข้าไปแล้วมันจะสวยมากขนาดนี้ คงต้องแวะไปดูให้เห็นกับตาตัวเองซะแล้ว


โดย: umi_chan (umi_chan_2 ) วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:34:51 น.  

 
เห็นภาพทุ่งหญ้า และดอกไม้เล็กๆ แล้วอยากไปบ้างจัง
เห็นด้วยค่ะว่า... ไปเขาทีไรมักมีเหตุการณ์โหดๆ เจ็บๆ ประจำ
แต่พอลงมากแล้ว... กลับคิดถึงและอยากกลับไปทุกทีเลย ^_^


ขอบคุณนะคะที่ไปอวยพรวันเกิด


โดย: กาน้ำชากะเชี่ยนหมาก วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:20:21:46 น.  

 
เคยดูในรายการท่องเที่ยวนะคะ ดูว่าทางขึ้นไปจะต้องสมบุกสมบันกันน่าดู แต่สวยก็คุ้มที่เหนื่อยเนอะ


โดย: เนียนอ๋อง วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:19:22:02 น.  

 
อึ้งกับรูปแรก สวยมากๆครับ


เต็มอิ่มมากๆครับกับรูปสวยๆ


อยากไปบ้าง แม้จะไม่ค่อยชอบเที่ยวภูเขาเท่าไหร่ แต่เห็นความชุ่มชื้นแบบนี้แล้วชักจะอดใจไม่ไหวครับ


โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:0:21:17 น.  

 
มีแต่ภาพสวยนะครับ


โดย: ตะวันออกไม่แพ้ วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:02:27 น.  

 
สวยอ่า

ชาตินี้จะได้ไปไหมเนี่ย


โดย: สตอเบอร์รี่นมเขย่า (<Strawberry Milk Shake> ) วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:14:24:20 น.  

 
สวยจริงๆค่ะ

ไม่ได้แวะมาเยี่ยมนานเลย คงสบายดีนะคะ


โดย: โม IP: 58.9.2.192 วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:20:31:55 น.  

 
ภาพสวย ดูอากาศดีจัง ไปเที่ยวเขานึกถึงตอนนอนเต้นท์ หนาวจนตื่นมากลางดึก ไม่ได้ไปแบบนี้นานมั่กๆเลย ครั้งสุดท้ายสมัยเรียนอ่ะค่ะ

ขอ ADD บล็อกด้วยคนน้า...


โดย: SR (September rain ) วันที่: 3 มิถุนายน 2550 เวลา:8:40:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Carlziess Lens
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"a man is not where he lives,bus where he loves.. ...."

Friends' blogs
[Add Carlziess Lens's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.