|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
ひきこもり
กลับมาแล้ว...หลังจากหายไปพักใหญ่ :)
เมื่อวานได้หนังสือมาเล่มนึงชื่อ ฮิคิโคโมริ จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไงไม่รู้แต่จู่ๆก็ได้โบรชัวร์ โปรโมตละครเรื่อง ฮิคิโคโมริ จากโรงละครในนิวยอร์กมาในวันเดียวกัน เอ๊ะ...พระเจ้ากำลังส่ง message อะไรให้กับเรารึเปล่านี่
ฮิคิโคโมริ (ひきこもり) เป็นชื่อเรียกอาการป่วยทางจิตที่พบในหมู่วัยรุ่นญี่ปุ่น คนที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่จะเป็นชายอายุประมาณ 15-35 ปี พวกเค้าจะใช้ชีวิตอยู่ในห้องโดยไม่ยอมออกไปนอกบ้านเป็นเวลานาน อาจจะตั้งแต่หกเดือนจนถึงเป็นสิบๆปีขึ้นไป
จากการศึกษาผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้แล้วพบว่า หลายรายมีสาเหตุเริ่มต้นจากการไม่อยากไปโรงเรียน อาจจะเนื่องมาจากความกดดันจากสังคม การไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนที่โรงเรียน ทำให้คนพวกนี้หาทางออกโดยการตัดตัวเองออกจากสังคมโดยสิ้นเชิง และใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆที่เป็นเสมือนโลกส่วนตัวของตน จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี ทำให้การกลับออกมาสู่สังคมทำได้ยากมากขึ้นทุกที
หนังสือเล่มนี้จัดประเภทคนที่มีอาการฮิคิโคโมริว่าเป็น "คนนอกสังคม" ซึ่งนอกจากฮิคิโคโมริแล้วก็ยังมีประเภทอื่นด้วย อย่าง พวกโอตากุ หรือคนที่คลั่งไคล้เรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมากจนเกินระดับที่พอดี เรื่องที่สนใจก็มีตั้งแต่ เกม การ์ตูน ละคร ดารา นักร้อง ฯลฯ โอตากุจะอุทิศเวลาในการหาข้อมูลในเรื่องที่ตัวเองสนใจและแชร์กับเพื่อนโอตากุที่มีความสนใจร่วมกันผ่านทางอินเตอร์เนท พวกโอตากุจะต่างจากพวกฮิคิโคโมริตรงที่ยังคงออกจากบ้านไปทำกิจกรรมตามปกติ (ในความเข้าใจของเราพวกโอตากุก็คงคล้ายๆกับพวก Nerd ในความรู้สึกของคนปกติทั่วไปนั่นเอง)
อ่านๆเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงหลายเรื่อง นึกถึงตัวเองอย่างนึง ในอารมณ์ที่อยากนั่งอืดนอนอืดอยู่ในห้องดูทีวีจนรากงอก หัวฟูไม่อยากขยับไปไหน หรืออารมณ์ที่เจอเรื่องที่น่าสนใจมากๆแล้วนั่ง search หาข้อมูลได้เป็นวันๆ อย่างงี้จะถือว่าเราเป็นฮิคิโคโมริ+โอตากุรึป่าววา... หรือคนเราทุกคนจะมี a little bit of ฮิคิโคโมริ and a little bit of โอตากุในตัวแต่อาจจะเป็นในระดับที่ยังยอมรับได้?
อีกประเด็นที่นึกถึงก็คือ ที่หนังสือเล่มนี้พูดว่าไม่แน่ใจว่าคนนอกสังคมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของสังคม (ที่ทำให้คนที่ยอมรับไม่ได้ต้องหนีออกไป) หรือเป็นความล้มเหลวของคนเหล่านี้เองกันแน่ (ที่ไม่มีความสามารถในการอยู่ในสังคม)
เราคิดว่าน่าจะมาจากทั้งสองอย่าง สังคมเองก็มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามกาลเวลา มนุษย์ในฐานะสมาชิกของสังคมก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปให้ได้ คนที่เข้มแข็งและปรับตัวให้เข้าสภาพแวดล้อมได้ก็จะมีชีวิตรอด ส่วนคนที่อ่อนแอก็อาจจะล้มหายตายจากไปตามกฏ survival of the fittest เข้าข่ายถ้าคุณไม่ช่วยตัวเองก็ไม่มีใครช่วยคุณ
แต่ยังไงสังคมแบบที่พูดมานี้ก็ฟังดูน่ากลัวนะ เคยฟังจากเพื่อนว่าที่ญี่ปุ่นจะมีปัญหาสังคมแบบที่แตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ หรือที่ประเทศอื่นๆยังไม่มีเพราะสังคมญี่ปุ่นค่อนข้าง mature เต็มที่แล้ว ถ้าเปรียบกับคนก็เหมือนคนที่มีทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว อาจไม่สามารถมีความสุขได้จากเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ทำให้คนที่ยังไม่มีทุกอย่างพร้อมมีความสุขได้ คนพวกนี้เลยต้องพยายามหาวิธีใหม่ๆที่ทำให้ตัวเองรู้สึกทุกข์ สุข ฯลฯ
ถ้าคิดในแง่นี้ ก็รู้สึกว่าสังคมไทยยังเป็นสังคมที่ดี มีความโอบอ้อมอารีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ได้เป็นแบบ every man for himself ถ้าความก้าวหน้าทางวัตถุในอนาคตสามารถเกิดขึ้นไปพร้อมๆกับความก้าวหน้าทางจิตใจของคนในสังคมได้ก็คงจะดี...
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2550 |
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2550 1:42:33 น. |
|
6 comments
|
Counter : 817 Pageviews. |
|
|
|
โดย: MaRiMeKKo วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:04:30 น. |
|
|
|
โดย: Bumu_Chan วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:45:26 น. |
|
|
|
โดย: MaRiMeKKo วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:2:09:30 น. |
|
|
|
โดย: Bumu_Chan วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:4:03:33 น. |
|
|
|
โดย: Rive Gauche วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:6:47:32 น. |
|
|
|
โดย: Bumu_Chan วันที่: 18 มีนาคม 2550 เวลา:4:59:05 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เคยได้ยินเรื่องฮิคิโคโมริ/โอตากุ/etc. เหมือนกัน ทั้งจากการ์ตูนที่เคยอ่านหรือหนังที่เคยดู คงเพราะตัวคน และคงเพราะสภาพสังคมของญี่ปุ่นที่ไม่เหมือนประเทศไหนในโลกด้วยจริงๆ ทำให้ปัญหาของเค้าจะออกแนวแปลกๆ ดูซับซ้อนในความคิดเรา