หลวงปู่เกษมสอนว่า
ลำดับของศาสนาพุทธ (่พระพุทธองค์สอนไว้)
1. มีไตรสรณะ คือ มีพระพุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นที่พึ่งที่คิดถึง
2. รู้จักให้ทานอุทิศ
3. ให้ทานอย่างบริสุทธิ์
4. ให้ทานอย่างบริบูรณ์
5. รู้จักรักษาศีล
6. รักษาศีลให้บริสุทธิ์
7. รักษาศีลให้บริบูรณ์
8. เรียนกรรมฐาน
9. เรียนจนเข้าใจชัด
10. ฝึกกรรมฐาน
11. ทำกรรมฐาน
12. เร่งทำกรรมฐาน
อธิบายเนื้อความโดยละเอียดว่า
1. มีพุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นที่พึ่งของจิตใจ เมื่อเกิดมีอันตรายขึ้นจิตจะยึดเอาพุทธ ธรรม สงฆ์ คิดขึ้นมาโดยไม่ได้ทำการตั้งใจเลย (อัตโนมัติ) เป็นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีอันตรายแล้วจะคิดถึงเหรียญ รูป พุทธรูป - ตะกรุด - ปะคำ - ปลัดขิก - กุมารทอง ฯลฯ หรือวัตถุใดๆที่เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ แบบนี้ไม่ถูกต้องเลยสำหรับชาวพุทธ แต่ให้คิดถึงพุทธองค์โดยคุณหรือโดยธรรมหรือโดยสงฆ์ นี่แล จึงเป็นการพึ่งพุทธ ธรรม สงฆ์ หรือ รัตนไตร แปลเป็นไทยว่า แก้ววิเศษ 3 ประการ
2. รู้จักให้ทานและอุทิศคือขณะที่ให้ทานยังไม่เสร็จหรือเสร็จพอดีก็ตาม ก่อนให้และกำลังให้และหลังจากให้ จงคิดอุทิศ (โอนไปไกลๆก็ได้) ว่า บุญนี้ให้ ญาติ เทพที่รักษา นายเวร เชื้อโรค ของข้า หรือของใครอื่นก็ได้ ที่เราต้องการช่วยแก้ความทุกข์เข็ญของเขา
หรือจะแก้ความทุกข์เข็ญของเราเอง ก็ได้ทั้งนั้น
3. ทานอย่างบริสุทธิ์คือ สิ่งของที่จะให้ทานนั้น ไม่ได้มาโดยการผิดศีลผิดธรรม จะต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์ และรู้จักเลือกที่ให้ทานในที่บริสุทธิ์เช่น พระ เณร - สมณผู้ทรงศีลหรือทรงธรรม หรือทรงทั้งศีลทั้งธรรม หรือให้แก่ผู้ที่ทรงธรรมทรงศีลที่เป็นโยมก็ได้เหมือนกัน
แต่จะต้องไม่ลืมอุทิศ เพราะถ้าไม่อุทิศก็เป็นตระหนี่บุญที่เป็นนามบุญ (บุญทิพย์) ก็จะมีแต่บุญที่ทำได้เอง บุญที่เกิดจากการอุทิศจะไม่มี
4. ให้ทานอย่างบริบูรณ์ สิ่งของที่จะให้ทานก็เป็นของที่บริสุทธิ์ และเหลือเอาไว้กับตนแต่พอใช้เท่านั้น นอกนั้นจะมีน้อยหรือมากก็ตาม ให้ออกไป ทานออกไป อุทิศ (โอนไปทั้งไกลด้วยใกล้ด้วย) หมายถึงให้ทานด้วยสิ่งของในโลกมนุษย์ แล้วจะต้องให้ของที่มีอยู่ในโลกทิพย์ออกไปอีก ด้วยวิธีเบิกบุญแล้วโอนออกไป โดยการพึ่งพุทธ ธรรม สงฆ์ คือ "ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้ญาติ ให้เทพที่รักษา ให้นายเวร ให้เชื้อโรค " (จนถึงพวกสัตว์ที่เป็นจุล คือเล็กสุดของตัวสัตว์ จนถึงจุลใจหรือจุลจิต ดวงใจที่รับบุญได้มีอยู่) และถ้าผู้ใดทำความรู้ รับรู้ได้ไกล คือคิดพรึบเดียวไปหลายๆจักรวาล หาที่สุดไม่ได้ ผู้นั้นจะอุทิศแบบรวบรวมเลยก็ได้ คือ "ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้สัตว์ทั้งหลาย" แต่ต้องดูพลังความคิดของตนให้ดี คิดพรึบเดียวไปไกลรอบปานนั้นได้หรือไม่ ถ้าได้ก็ให้คิดโอนไปแบบนั้น ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ ควรคิดโอนบุญออกไปตามกำลังความคิดของตนเอง คือให้เป็นที่เป็นที่ไปเช่น โอนให้ญาติ (จะเป็น เปรต ผี ปีศาจ เทวดา ยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค ครุฑ อสูร มาร พรหม สัตว์ที่เป็นจุล (ฝุ่นของฝุ่น) ที่เป็นสัตว์รับเอาบุญได้มีอยู่) เมื่อโอนให้ญาติแล้วต่อไปก็ให้เทพที่รักษา (จะเป็นเปรต ผี ปีศาจ ฯ ที่เปลี่ยนภูมิดีขึ้นแล้วมารักษาเราก็มีอยู่ หรือเทพผู้ที่มีหน้าที่รักษาคน สัตว์ที่จัดกันมาเฝ้ารักษาคนก็มีอยู่) เขาเหล่านั้นรับบุญได้มีอยู่ ให้เทพที่รักษาแล้วต่อมาก็ให้นายเวร (นายเวรก็มีทุกภพทุกภูมิเหมือนกันกับญาตินั้นแหละ) เมื่อให้นายเวรแล้วก็ควรให้เชื้อโรคด้วย ถึงแม้จะตัวเล็กแต่ก็มีจิต มีความคิดอาฆาต มีความคิดผูกมิตรกันได้ ผู้ที่จะผูกมิตรควรผูกมิตรด้วยบุญ (ด้วยความสุข) เมื่อให้ของในมนุษย์เช่นนี้คือความบริบูรณ์ของมนุษย์และเบิกบุญในโลกทิพย์โอนออกให้...อย่างที่ว่ามา เป็นการให้ทานของในโลกทิพย์
5 6 7 เมื่อได้ให้ทานแล้วอุทิศ (โอน) อย่างข้อ 1 4 การคิดที่จะรักษาศีล ก็คิดหาวิธีทางทำได้ง่าย เมื่อจะรักษาศีลควรเรียนรู้เรื่องของศีลให้ดีให้เข้าใจเสียก่อน ดูในพระไตรปิฎก คำที่พุทธองค์สอนไว้มีอยู่ เมื่อดูเข้าใจดีแล้วจึงเริ่มรักษาศีล ถ้าเรารักษาศีลในปัจจุบันได้ดีขึ้น อานุภาพศีลเดิมแต่เก่าก่อนของเราที่เคยได้รักษาไว้ก็จะเข้าสัญญาณกันได้ เมื่ออานุภาพของศีลเก่ากับศีลปัจจุบันเข้ากันได้ การรักษาศีลก็จะไม่ยากเลย เมื่อรักษาไม่ยาก ศีลก็จะบริสุทธิ์ได้ง่าย เมื่อศีลบริสุทธิ์อยู่นานจนพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเป็นศีลบริบูรณ์ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องศีลก็ศึกษาเพิ่มขึ้น จนเป็นศีลที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ เมื่อศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ จิตใจก็จะไม่ว้าวุ่น ไม่กังวลหมกมุ่น เมื่อมีความกังวลขึ้นมาก็จะมีแค่ว็อบๆ แว็มๆ ไม่ถึงกับหมกมุ่นอยู่กับความกังวลนั้นๆ
8 9 10. เรียนกรรมฐานเช่น คิดดูอาการ 32 ในร่างกายตน คือผมเป็นเส้นๆบนศรีษะคิดทั้งวันหรือจะคิดแบบดูไปเรื่อยๆ คิดดูเรื่องผมพอให้มีมโนภาพ (ภาพในความคิด) มีพอแว็บๆว่าเป็นผม ก็ย้ายไปดูขน ต่อไปก็ดูเล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ฯลฯ ไปจนถึงน้ำเยี่ยว หลักกรรมฐานแบบนี้และหลักกรรมฐานแบบอื่นๆ มีอยู่มากมายหลายอย่าง ถ้ายังไม่เข้าใจดีก็อย่าเพิ่งไปทำกรรมฐาน ให้เรียนรู้ดูตำรากรรมฐานจนเข้าใจเสียก่อนจึงควรไปทำกรรมฐาน เมื่อทำกรรมฐานก็ฝึกทำไปเรื่อยๆ จนจับหลักกรรมฐานของตัวเองได้
11 12. เมื่อรู้ว่าตนเองจับหลักกรรมฐานได้ด้วยประการใด ตรงใหน ให้เร่งทำกรรมฐานนั้นอย่างไม่หยุดยั้ง เร่งคำนวณ เร่งคิด - เร่งพิจารณา ในกรรมฐานที่ตัวเองจับจ้องอยู่ อย่างไม่ลดละ ไม่ท้อถอย แบบนี้มีวันที่จะชนะแน่ ที่ว่าไม่ลดละคือไม่ลดละกรรมฐาน
อยู่ กิน ไป มา พักผ่อน ทุกอย่างเป็นปรกติหมด แต่งานที่จับจ้องกรรมฐานได้นั้นไม่ควรวาง ไม่ควรลืมระลึก ให้นึกคิดอยู่กับกรรมฐานนั้น แบบนี้ถูกต้อง
ถ้านึกคิดหนีไปจากกรรมฐานที่จับจ้องได้แล้ว ที่เห็นนั้น ไม่แน่นะกว่าที่จะจับจ้องกรรมฐานได้ใหม่ยากอยู่นะ บางคนต้องบอกว่าบางคน ถึงแม้จะไม่ยากในการจับหลักกรรมฐานใหม่ แต่ว่าการย้ายกรรมฐานก็ทำให้เสียเวลา
(แผนผัง) ทางดำเนินไปสู่นิพพานอย่างถูกต้อง
ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องภาวนากรรมฐานได้ที่นี่
ศึกษาเรื่องนิพพานที่ถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก
เวบวัดสามแยก