space
space
space
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
space
space
10 พฤศจิกายน 2555
space
space
space

ยารักษารอยแผลเป็น
เรื่อง “แผลเป็น”มีคนจำนวนมากถามหาผลิตภัณฑ์หรือยาที่จะช่วยให้แผลเป็นมีสีจางลง และแบนราบไม่เป็นสีเข้มหรือนูนเด่น จนมีผลต่อความสวยความงามของร่างกาย

รอยแผลเป็น เกิดได้อย่างไร
แผลเป็นเกิดจากกระบวนการรักษาแผลที่เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อมีการสร้างเนื้อเยื่อซึ่งเป็นคอลลาเจน (collagen)มาทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป เป็นกระบวนการสมานรักษาแผลตามธรรมชาติและเมื่อแผลหายดีแล้ว ก็ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เป็นหลักฐาน ณ บริเวณที่เกิดแผล
แผลที่มักทำให้เกิดรอยแผลเป็น ได้แก่ แผลผ่าตัด แผลจากอุบัติเหตุ แผลไฟไหม้ แผลสิว แผลจากโรคสุกใส เป็นต้น 
รอยแผลเป็นที่เห็นกันทั่วไปจะเป็นรอยแผลเป็นที่ผิวหนังภายนอกเท่านั้นแต่ในความเป็นจริงรอยแผลเป็นเกิดขึ้นได้กับอวัยวะภายในได้ด้วยเช่นกัน

ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดแผลเป็น
โอกาสเกิดรอยแผลเป็นในแต่ละคนได้มากน้อยขึ้นอยู่กับ ๒ ขั้นตอน 
๑. ขั้นตอนการเกิดแผลเป็น  มีความรุนแรงของแผลหรือการฉีกขาดของเนื้อเยื่อว่า ตื้นลึกเพียงใด
๒. ขั้นตอนการรักษาแผลให้หาย มีการดูแลรักษาแผลอย่างไร 
ถ้าเกิดบาดแผลเพียงผิวๆ เล็กๆ น้อยๆ เช่น ในระดับของหนังกำพร้าซึ่งเป็นผิวหนังชั้นบางๆ ชั้นนอกสุดเมื่อแผลหายดีแล้วก็อาจทำให้เกิดแผลเป็นเล็กๆ น้อยๆซึ่งเมื่อทิ้งไว้สักระยะหนึ่งรอยแผลเป็นก็จะจางหายไปได้เองหรืออาจจะไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นเลยก็เป็นได้ 
แต่ถ้าบาดแผลหรือการฉีกขาดเจาะลึกลงถึงชั้นหนังแท้หรือลึกกว่านั้น เช่นบาดแผลลึกจนถึงชั้นของกล้ามเนื้อ กระดูก เป็นต้นแผลเหล่านี้เมื่อหายดีแล้ว ก็อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้เป็นที่ระลึกได้ 
อีกประเด็นหนึ่ง คือการดูแลรักษาแผล ถ้ามีการดูแลรักษาที่ดีและทำให้แผลหายเร็ว รอยแผลเป็นก็จะลดน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลรักษาที่ไม่ดี มีความสกปรก และแผลหายช้า

ธรรมชาติของรอยแผลเป็น
เมื่อแผลหายเป็นปกติแล้วมักจะทิ้งรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นสีแดงหรือสีน้ำตาลและนูนขึ้นแต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้กระบวนการตามธรรมชาติจะช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงพร้อมทั้งแบนราบลงได้เอง หลังจากนั้นประมาณ ๑-๒ ปีเป็นต้นไปยกเว้นในบางกรณีที่รอยแผลเป็นอาจมีอาการคันและเจ็บปวดได้
นอกจากนี้ยังพบว่าในเด็กโอกาสที่จะเกิดแผลเป็นได้น้อยกว่าในผู้ใหญ่โดยพบว่าในวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์จะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้บ่อยกว่าในวัยอื่นๆ ในเพศหญิงจะมีโอกาสการเกิดแผลเป็นได้บ่อยและมากกว่าในเพศชายในคนผิวคล้ำจะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้บ่อยและรุนแรงกว่าคนผิวขาวและผู้ที่มีประวัติเคยเกิดแผลเป็นและมีประวัติของครอบครัวเกิดแผลเป็นจะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้มากกว่าผู้ที่ไม่เคยมีประวัติดังกล่าว

ชนิดของแผลเป็น
รอยแผลเป็นมีมากมายหลายชนิด แต่ที่เป็นปัญหาหลักๆ จะมี ๒ ชนิดใหญ่ ดังนี้
๑. รอยแผลเป็นนูนหนา (Hypertrophic scar) คือแผลเป็นที่มีสีแดงและนูนขึ้นมาจากผิวหนังปกติแต่ยังอยู่ในขอบเขตของรอยแผลที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือฉีกขาดของแผลเดิมแผลเป็นชนิดนี้เกิดจาการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปและมักไม่ขยายกว้างขึ้นเกิดจากรอยโรคเดิม
๒. คีลอยด์ (Keloid)คือ แผลเป็นที่มีอาการนูนและแดงคล้ายกับรอยแผลเป็นนูนหนาแต่มีความผิดปกติทำให้เกิดการขยายตัวกว้างขึ้นเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบๆรอยโรคของแผลตอนแรกเริ่ม

การป้องกันแผลเป็น
สิ่งสำคัญอย่างแรกในการลดแผลเป็นคือควรลดสาเหตุและระดับความรุนแรงของการเกิดแผล แต่ในกรณีที่เกิดแผลขึ้นแล้วควรดูแลรักษาทำความสะอาดแผลอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกันทั้งนี้เพื่อให้แผลหายเร็วที่สุดยิ่งแผลหายเร็วเท่าใดโอกาสการเกิดแผลเป็นก็จะน้อยหรือเบาบางลงเท่านั้น
ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการหายของแผล ได้แก่ อายุ ยาคอร์ติโคสตีรอยด์ การขาดอาหารการสูบบุหรี่ อุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรดด่าง และออกซิเจนโดยพบว่าแผลจะหายได้ดีขึ้นในสภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิที่อบอุ่นได้ดีกว่าอากาศเย็น ความชื้น ความเป็นกรดด่าง ๗.๔และออกซิเจนจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นเช่นกัน

ทำอย่างไรให้แผลหายเร็ว
ดังนั้น ในการรักษาแผลจึงควรรักษาสภาวะแวดล้อมและความสะอาดของแผลให้เหมาะสมมีอุณหภูมิที่อบอุ่น มีความชื้นเพียงพอ ความเป็นกรดด่าง และออกซิเจนเหมาะสมและเพียงพอ เพื่อช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น
สำหรับการดูแลแผลเล็กๆน้อยๆ เบื้องต้น เริ่มต้นการล้างหรือเช็ดทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดตามด้วยการปิดทำแผลโดยปราศจากเชื้อ ไม่แนะนำให้ใช้แอลกอฮอล์หรือยาฆ่าเชื้อเช่น โพรวิโดนไอโอดีน เพราะส่งผลเสียต่อการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายช้า
ส่วนชนิดของแผลที่ควรแนะนำไปพบแพทย์ ได้แก่ แผลที่เลือดไหลไม่หยุดแผลขนาดใหญ่หรือแผลลึกมาก แผลที่เกิดจากแมลงพิษกัดแผลบริเวณข้อต่อหรือข้อพับ และแผลที่แดง อักเสบ และปวดรุนแรงหรือเป็นหนองเป็นต้น ซึ่งมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้ 
ปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลร้ายต่อการหายของแผลคือ การสูบบุหรี่ การขาดวิตามินซีและธาตุสังกะสี ซึ่งควรรักษาระดับวิตามินซี และสังกะสีให้อยู่ในระดับปกติในทางตรงกันข้ามการได้รับวิตามินซีและสังกะสีในขนาดสูงหรือปริมาณมากเกินกว่าความต้องการของร่างกายก็ไม่ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น 
นอกจากนี้ การเกิดแผลเป็นอาจลดลง ถ้าให้ปากแผลแนบสนิทกันพร้อมทั้งลดแรงตึงต่อแผลลง

การรักษารอยแผลเป็น
ในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่นำมาเพื่อใช้รักษาหรือลดขนาดของแผลเป็นให้ลดน้อยลง เช่น การผ่าตัด การฉีดยาคอร์ติโคสตีรอยด์ การฉายรังสีการใช้ความเย็น การรักษาด้วยเจลซิลิโคน (silicone gel) ครีมวิตามินอียาครีมบางชนิด การปล่อยให้ดีขึ้นเอง เป็นต้น 
อย่างไรก็ดี วิธีการรักษาแผลเป็นส่วนใหญ่มักไม่มีเอกสารทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือเพียงพอว่าได้ผลดี 
ตามแนวทางการดูแลรอยแผลเป็น ของ The International Clinical Guidelines forScar Management 2002 ได้สรุปไว้ว่าการรักษาแผลเป็นที่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือเพียงพอ มีเพียง ๒วิธี เท่านั้น ได้แก่ แผ่นเจลซิลิโคน (silicone gel sheet)และการฉีดคอร์ติโคสตีรอยด์ (intralesional steroid injection) 
๑. แผ่นเจลซิลิโคน (silicone gel sheet) 
เป็นแผ่นซิลิโคนใสที่เหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีสีแดงหรือสีคล้ำหรือนูนซึ่งมีรายงานว่าเมื่อใช้แผ่นเจลซิลิโคนแล้วจะช่วยให้สีของแผลจางลงและแผลแบนราบลงได้
ในการใช้แผ่นเจลซิลิโคนนี้ไม่ควรจะใช้ในขณะแผลเปิดควรเริ่มใช้ทันทีที่แผลปิดสนิทหรือหลังตัดไหมสำหรับแผลเย็บโดยปิดแผ่นเจลซิลิโคนนี้ทับแผลเป็นหรือคีลอยด์เป็นระยะเวลานานมากกว่า ๑๒ชั่วโมงต่อวัน (อาจเริ่มต้นด้วยระยะเวลาน้อยๆ และเพิ่มขึ้นจนมากกว่า ๑๒ชั่วโมงต่อวัน) จะช่วยให้แผลเป็นนี้ยุบลงได้ โดยที่ไม่เจ็บแต่ใช้เวลาอาจจะประมาณ ๔-๖ เดือน 
แผ่นซิลิโคนใสนี้สามารถนำมาล้างทำความสะอาด ใช้สบู่ฟอก ใช้น้ำสะอาดล้าง แล้วผึ่งให้แห้งนำมาใช้ปิดแผลเป็นได้จนกว่าจะปิดไม่อยู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะสามารถใช้ได้นาน๑๔-๒๘ วัน
๒. การฉีดยาคอร์ติโคสตีรอยด์ (Intra lesional corticosteroid) 
การฉีดยาสตีรอยด์ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะศัลยแพทย์ตกแต่ง (plasticsurgeon) จะฉีดยาสตีรอยด์นี้เข้าใต้ตำแหน่งของแผลเป็นซึ่งจะช่วยให้แผลเป็นนั้นนุ่มลงและแบนราบลงได้ 
ยานี้ควรใช้เมื่อใช้แผ่นซิลิโคนใสแล้วยังไม่หายดี ขนาดของยาที่ใช้อยู่ระหว่าง ๑๐-๑๒๐มิลลิกรัมต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแผลเป็น ควรให้ทุก ๔-๖สัปดาห์ ซึ่งได้ผลพอใช้ได้ แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บขณะที่ฉีดยาและต้องมาฉีดเป็นระยะตามที่แพทย์นัด นอกจากนี้ในบางรายอาจทำให้แผลยุบตัวและสีผิวเปลี่ยนได้ 
การใช้ทายาสตีรอยด์ทาบริเวณแผลเป็น จะช่วยบรรเทาอาการคัน ตึง ปวด เพื่อไม่ให้ลุกลามขึ้น แต่ไม่ช่วยให้แผลเป็นหรือคีลอยด์ยุบลงได้
๓. การผ่าตัด
การผ่าตัดจะช่วยจัดตำแหน่งร่องรอยแผลเป็นให้ดูดีขึ้นได้แต่ทุกครั้งที่มีการผ่าตัดก็จะเกิดแผลเป็นใหม่แทนที่แผลเป็นเก่าเสมอการผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ได้ผลดีพอสมควรแต่ยังขึ้นอยู่กับขนาดของแผลเป็นด้วย
๔. การทาด้วยครีมวิตามินอี 
 มีบางรายงานที่อ้างว่า วิตามินอี ช่วยเร่งให้แผลหายเร็วขึ้นซึ่งแพทย์บางคนแนะนำให้ใช้แต่มีรายงานการศึกษาเปรียบเทียบขี้ผึ้งวิตามินอีกับยาหลอกพบว่าขี้ผึ้งวิตามินอีไม่ช่วยให้แผลเป็นดีขึ้นแตกต่างจากยาหลอกอีกทั้งมีรายงานการเกิดผื่นแพ้สัมผัสจากขี้ผึ้งวิตามินอี ถึง ๑ ใน ๓ของผู้ที่ใช้ขี้ผึ้งวิตามินอีอีกด้วย 

การปล่อยให้แผลเป็นจางลงเองตามธรรมชาติ
 แผลเป็นอาจหดและจางลงได้เองในระดับหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นศัลยแพทย์ตกแต่งจำนวนมากจะแนะนำให้ทิ้งไว้เฉยๆ สัก ๑ ปีจนแผลจางลงเต็มที่ก่อนให้การรักษา
นอกจากนี้ การใช้แสงเลเซอร์ก็ได้ผลปานกลางขึ้นอยู่กับขนาดคีลอยด์ การใช้เครื่องสำอางตกแต่งแผลเป็น เป็นต้น
การรักษารอยแผลเป็นให้จางลงหรือหายสนิทเป็นทั้งความหวังและความสวยงาม ตลอดจนความมั่นใจในชีวิต 

อย่างไรก็ตามในท้องตลาดมักพบผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดที่โฆษณาหรือสื่อความหมายให้เข้าใจว่าได้ผลดีช่วยให้รอยแผลเป็นหายได้ ไม่ว่าจะเป็นครีมต่างๆ หลายชนิดซึ่งแพทย์ผิวหนังหลายท่านยืนยันว่าไม่ได้ช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงเลย   ขอบคุณ  หมอชาวบ้าน




Create Date : 10 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2555 6:27:39 น. 11 comments
Counter : 17182 Pageviews.

 
แวะมาเยี่ยม...สวัสดีครับ

ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆที่นำมาฝากนะครับ


โดย: **mp5** วันที่: 10 พฤศจิกายน 2555 เวลา:8:54:53 น.  

 
แวะมารับข้อมูลค่ะ
แต่วิตามินอีเข้มข้นก็มีผลในการรักษาเเผลเป็นเหมอืนกันนะคะ
อันนี้จากประสบการณ์ตรงค่ะ
ขอบคุณค่ะ ^ ^


โดย: ณ ปลายฉัตร วันที่: 10 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:56:31 น.  

 
ขอบคุนน่ะคะ่


โดย: ning IP: 115.67.164.246 วันที่: 7 กรกฎาคม 2556 เวลา:18:12:39 น.  

 
ขอบคุณค่ะ


โดย: ปลา IP: 1.179.149.85 วันที่: 21 กรกฎาคม 2556 เวลา:5:27:56 น.  

 
ขอบคุณครับ


โดย: เอ๊ะ IP: 118.174.206.198 วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:19:01:15 น.  

 
ลองหาวิตามินอีมาทาดูนะครับ ผมใช้แล้วได้ผล


โดย: Cheab IP: 27.55.173.152 วันที่: 13 กันยายน 2556 เวลา:23:39:54 น.  

 
ขอบคุณคะ


โดย: เม IP: 118.173.173.70 วันที่: 14 กันยายน 2556 เวลา:11:20:27 น.  

 
ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ


โดย: ดาว IP: 115.67.69.89 วันที่: 19 กันยายน 2556 เวลา:10:51:35 น.  

 
สะບາຍດີ ຂ້ອຍມີຄວາມສົນໃຈໃນການຮັກສາຮອຍແຜເປັນຫຼາຍເພາະເມື່ອ10 ທີ່ຜ່ານມາຂ້ອຍຂີ່ລົດແລ້ວເກີດອຸປະຕິເຫດເລີຍເກີດແຜເປັນທີ່ຮີມຝີປາກເລັກນ້ອຍຢາກຮູ້ວ່າຈະຍັງຮັກສາໄດ້ຢູ່ບໍ ແລະ ດ້ວຍວິທີໃດດີ


โดย: kone IP: 202.123.181.66 วันที่: 9 ตุลาคม 2556 เวลา:13:43:05 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดีคะ


โดย: ล่อ IP: 115.67.226.94 วันที่: 15 เมษายน 2557 เวลา:22:53:23 น.  

 
ขอบคุณค่ะ


โดย: et IP: 1.2.231.169 วันที่: 29 มิถุนายน 2557 เวลา:7:17:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

tanas251235
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space