อาหารสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการหรือโรคที่นำมาเสนอนี้ เป็นการศึกษาของประเทศจีน หากท่านผู้อ่านท่านใดเคยใช้ในการรักษาอาการหรือโรคใดและได้ผล กรุณาแจ้งมายัง หมอชาวบ้าน เพื่อรวบรวมไว้เป็นข้อมูลศึกษา และเผยแพร่เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป
คงจะไม่มีใครที่ไม่เคยกินไข่เลยในชีวิต ไข่อาหารสำหรับทุกครอบครัว และทุกชนชั้น ดูเหมือนว่าอาหารชนิดนี้จะไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะเอาเสียเลย และเป็นอาหารชนิดเดียวที่คนทำกับข้าวไม่เป็น ก็สามารถทำได้ง่ายที่สุด ก็ไข่ต้ม
เคยมีนิทานเล่ากันว่า ชายยากจนผู้หนึ่ง บังเอิญเก็บไข่ไก่ได้ 2 ฟอง เขารู้สึกดีใจมาก และได้บอกกับภรรยาว่าคราวนี้ตั้งตัวได้แล้วล่ะ ฉันจะเอาไข่ 2 ฟองนี้ไปฟักเป็นแม่ไก่ หลังจากนั้น 2 ปี แม่ไก่ก็จะออกไข่ ฉันก็จะเก็บเงินไปซื้อวัว วัวก็จะออกลูกวัวหลังจากนั้น 3 ปี ก็จะเงินทองมากมาย ฉันก็จะตั้งตัวได้ ฉันจะหาอีหนูสักคน พอพูดถึงตอนนี้ ภรรยาก็เกิดโมโหขึ้นมาทุบไข่ทั้งสองแตก ความฝันของชายผู้นั้นก็สลายไป นิทานเรื่องนี้ให้คติหลายอย่างแต่ผู้เขียนจะไม่ขอวิจารณ์อะไร ผู้อ่านเอาไปคิดกันเองก็แล้วกัน แต่จะขอเขียนถึงไข่ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอาหารสมุนไพร
⇒ไข่อาหารที่มีคุณค่ามากมาย ภายใต้เงื่อนไขของอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม ไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว จะถูกฟักเป็นลูกไก่ได้โดย ไม่ต้องอาศัยอาหารจากภายนอกเลย จุดนี้แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ในทางโภชนาการของไข่ได้เป็นอย่างดี
⇒ สรรพคุณ (ในทรรศนะจีน)
ไข่ขาว : มีคุณสมบัติเย็น (เป็นยิน) รสหวาน ดับร้อนถอนพิษ แก้อักเสบ รักษาอาการเจ็บคอ ตาแดง ไอ ท้องเสีย ไข้มาเลเรีย แผลไฟไหม้ แผลเป็นหนอง แก้อาหารเป็นพิษ
ไข่แดง: คุณสมบัติเป็นกลาง รสหวาน รักษาอาการกระวนกระวาย นอนไม่หลับ อาเจียนเป็นเลือด อาเจียนเป็นบิด ประจำเดือนมามากกว่าปกติ ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ตับอักเสบ เด็กอาหารไม่ย่อย
เปลือกไข่ : ใช้ภายใน รักษากระเพาะอาหารเป็นแผล กระเพาะอาหารอักเสบและปวด โรคกระดูกอ่อนในเด็ก และยังเป็นยาเสริมสำหรับรักษาวัณโรคปอด ใช้ภายนอก รักษาบาดแผลไม่ให้เน่าเปื่อย ทำให้บาดแผลหายเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นยาห้ามเลือดอีกด้วย (เวลาใช้ทั้งสองกรณี ให้บดเป็นผง)
เยื่อหุ้มเปลือกไข่ : ทำให้ปอดชุ่ม แก้ไอ ห้ามเลือด ไอเรื้อรัง เสียงแห้ง บาดแผล และเลือดออกที่ลิ้น
⇒ตำรับยา (ในทรรศนะจีน)
1.ไอเรื้อรัง ไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาเปลือกทิ้ง) คนให้แตก เตรียมน้ำประมาณครึ่งแก้ว ใส่หม้อต้มแล้วเติมน้ำตาลทรายขาว 1-2 ช้อน ต้มให้เดือดแล้วเทลงไปในชามที่ใส่ไข่ไว้ คนให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำขิงสดประมาณ 1-2 ช้อนชา กินวันละ 2 ครั้ง กินเช้ากลางคืน
2.แผลไฟไหม้ ฆ่าเชื้อโดยวิธีเอาไข่ไก่แช่ในแอลกอฮอล์ 75% นาน 15 นาที แล้วเจาะรูเล็ก ๆ ตรงหัวและท้ายของไข่ขาวให้ไข่ขาวไหลออกมาในชามที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว หลังจากทำความสะอาดบริเวณแผลไฟไหม้แล้ว (ถ้ามีแผลพุพองมีน้ำให้ตัดหนังออก) ใช้ไม้พันสำลีที่ฆ่าเชื้อแล้วชุบไข่ขาวป้ายลงบนผ้ากอซที่สะอาดหมาด ๆ แล้วปิดลงบนแผล เปลี่ยนวันละ 2-3 ครั้ง โดยทั่วไปประมาณ 6-15 ชั่วโมง แผลก็จะเริ่มมีสะเก็ดแห้งสีเหลือง อาการเจ็บปวดก็จะลดลง ให้ทำต่อไปจนกระทั่งสะเก็ดแห้งเต็มบริเวณแผล ถ้ามีหนองให้เช็ดหนองออก แล้วค่อยปิดไข่ขาว
3. มีกรดในกระเพาะอาหารมาก กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้นเป็นแผล ใช้เปลือกไข่ผิงไฟให้แห้งแล้วบดเป็นผง กินครั้งละ 3 กรัม วันละ 2-3 ครั้งให้กินก่อนอาหารับน้ำอุ่นๆ
⇒ หมายเหตุ : กินไข่ไก่สุกหรือดิบดี บางคนชอบกินไข่ดิบ เพราะคิดว่าบำรุงร่างกายและย่อยง่าย แต่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้ามเพราะ
ประการแรก ไข่ดิบมี antibiotin albumen และ antipancreas protease สำหรับ สำหรับ antibiotin albumen สามารถรวมเข้ากับ biotin ไม่เพียงแต่ทำให้ biotin กลายเป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้แล้ว ยังทำให้วิตามินบีในอาหารที่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเสื่อมหายไป หากร่างกายขาด biotin จะทำให้ไม่อยากกินอาหาร อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ผิวหนังอักเสบ ขนคิ้วร่วง เป็นต้น สำหรับ antipancreas protease นั้น จะทำให้โปรตีนสลายตัวยาก และทำให้การย่อยอาหารผิดปกติ
ประการที่สอง โปรตีนในไข่ดิบมีโครงสร้างที่หนาแน่น ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้สามารถดูดซึมเพียงผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ แล้วก็ถ่ายมา เนื่องจากโปรตีนประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายชนิดรวมกัน จะต้องผ่านการแยกสลายในลำไส้ ทำให้มีขนาดเล็กลง ร่างกายจึงสามารถดึงดูด แล้วนำไปใช้ประโยชน์ได้
ประการที่สาม ไข่ดิบมีกลิ่นคาวสามารถยับยั้งการทำงานของประสาทส่วนกลาง ทำให้น้ำลาย น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และในลำไส้ถูกขับออกมาน้อย เป็นผลให้ไม่อยากกินอาหาร อาหารไม่ย่อย
ดังนั้นสรุป แล้ววิธีกินไข่ที่ดีและถูกต้องจึงควรกินไข่ที่สุกแล้ว นอกจากนี้ต้องระวังการเก็บรักษาไข่ให้ดี ไข่เสียไม่ควรกิน ไม่ควรเก็บไว้ในที่อุณหภูมิร้อน เพราะจะทำให้ไข่เสียหรือเก็บไว้ในที่ชื้น เพราะเป็นอุณหภูมิที่แบคทีเรีย เจริญได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ไข่เสียได้เช่นกัน ในไข่เสีย (เน่า) ส่วนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายถูกสลายกลายเป็นสารพิษ แม้จะทำให้สุกก็ไม่ควรกิน เพราะจะทำให้เกิดพิษกับร่างกายได้
ขอบคุณ หมอชาวบ้าน
Create Date : 24 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 24 พฤษภาคม 2552 7:34:38 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1080 Pageviews. |
|
|
|