space
space
space
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
space
space
24 ตุลาคม 2551
space
space
space

มะเขือเทศ...อาหารมากคุณค่า







คุณรู้จักมะเขือเทศมากน้อยแค่ไหนคะ ?
เพราะมะเขือเทศมีสีแดงสวย จึงมักถูกหยิบฉวยให้กลายเป็นเครื่องประดับจานอาหาร จัดวางเคียงคู่กับผักใบเขียวฉ่ำ เช่น ผักกาดหอม หรือแตงกวา ตกแต่งอาหารจานต่างๆ ให้ดูน่ารับประทานมากขึ้น แต่ก็เห็นบ่อยครั้งที่พออาหารถูกยกมาเสิร์ฟปุ๊บ หลายคนก็ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารหลักในจาน แถมเขี่ยเครื่องประดับผักข้างจานออกไปอย่างไม่ค่อยใยดีกันเลย

แหม อย่างนี้มะเขือเทศก็น้อยใจแย่ซี !

แท้ที่จริงการเขี่ยมะเขือเทศออกไปเสียอย่างนั้น เท่ากับว่าคุณกำลังตัดตอนตัวเองออกจากอาหารคุณค่าเลิศอย่างน่าเสียดายเชียว นะคะ มาดูกันว่ามะเขือเทศนั้นมีอะไรดีบ้าง เชื่อว่าพออ่านจบแล้วคุณจะรักและอยากรับประทานมะเขือเทศมากขึ้นอีกเยอะเลย
มะเขือเทศนั้นโดยตัวมันเองเป็นผลไม้ ที่มักจะถูกจัดใหม่ให้มาอยู่ในกลุ่มเดียวกับผัก นักพฤกษศาสตร์ฝรั่งเขาจัดมะเขือเทศอยู่ในกลุ่มผลไม้ประเภทเบอร์รี่ เพราะเห็นว่ามันเป็นลูกกลมๆ ที่มีเนื้อในเหลว แถมยังมีเมล็ดที่กินได้อีกต่างหาก มะเขือเทศช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารเพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อว่ากลูตามิกสูง อันเป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่มีในผงชูรสนั่นเองค่ะ จึงไม่แปลกที่อาหารที่ปรุงด้วยมะเขือเทศมักจะอร่อย คนแถบเมดิเตอร์เรเนียนอย่างอิตาลี หรือกรีกล้วนกินมะเขือเทศกันเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นพาสต้า พิซซ่า ทาโก้ หรือสลัดใดๆ เขาว่ากันว่าหากไร้ซึ่งมะเขือเทศก็เหมือนชีวิตที่ขาดวิญญาณเชียวนั่น
แต่ที่สำคัญที่ทำให้มะเขือเทศกลายเป็นพระเอกสำหรับข้อเขียนคราวนี้เลยก็คือ คุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้หลายอย่าง อย่างที่มีหลักฐานยืนยันค่ะ

ไลโคปีน พระเอกประจำตัวของมะเขือเทศ

เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคปีน ซึ่งจัดเป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง แคโรทีนอยด์นี้เป็นเม็ดสีธรรมชาติที่ละลายในไขมันซึ่งให้สีเหลืองสด ส้ม แดง และเขียวสดกับผัก ผลไม้ อย่างเช่น แครอท ฟักทอง บร็อคโคลี่ ฯลฯ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ทำให้อนุมูลของเซลล์ในร่างกายมีอนุภาคเป็นกลาง ช่วยหยุดยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งเจ้าไลโคปีนนี้จัดว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังที่สุด และช่างบังเอิญเสียจริงที่มะเขือเทศนั้นมีไลโคปีนอยู่มากเหนือกว่าแตงโม เกือบสองเท่า นั่นเท่ากับว่าหากเรากินมะเขือเทศเป็นประจำ ก็จะช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระได้ไม่น้อยเลยทีเดียว มันจะช่วยชะลอความแก่ชรา และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างเช่น มะเร็ง หรือโรคหัวใจได้มาก

มะเขือเทศกับงานวิจัย

เคยมีคนทำวิจัยเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของมะเขือเทศเอาไว้มากมาย อย่างเช่น พบว่าการกินอาหาร เช่น พาสต้าราดซอสมะเขือเทศทุกวันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ จะช่วยลดอาการของมะเร็งต่อมลูกหมากลงได้ ส่วนในผู้หญิงสูงอายุหลังวัยหมดประจำเดือน การกินอาหารที่มีแคโรทีนอยด์และไลปีนสูง เช่น แครอท หรือมะเขือเทศ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งรังไข่ แถมไลโคปีนปริมาณสูงๆ ยังช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลส่วนไม่ดี หรือ LDL ซึ่งช่วยให้โอกาสเกิดโรคหัวใจลดน้อยลงด้วย
มีการศึกษาในประเทศฟินแลนด์ พบว่าผู้ชายวัยกลางคนที่มีระดับไลโคปีนในเลือดต่ำจะมีความเสี่ยงต่อการเกิด หัวใจวาย อัมพาต และโรคหลอดเลือดตีบมากขึ้น ส่วนในเนเธอร์แลนด์ก็เคยมีการศึกษาคล้ายๆ กัน พบว่าคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำหากได้รับไลโคปีนในปริมาณสูง จะช่วยลดอัตราการเกิดเส้นเลือดตีบ และการเกิดหัวใจวายได้
ไม่เพียงแต่มะเขือเทศจะมีไลโคปีนเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ อี และซี ซึ่งในวารสารสมาคมแพทย์แห่งสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่า วิตามินอีและซีทั้งสองตัวนี้จะช่วยต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันโรคสมอง เสื่อม หรืออัลไซเมอร์ได้ ส่วนวิตามินเอ ก็จะช่วยบำรุงสายตา และดีต่อสุขภาพผิว ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งสดใส โดยเฉพาะผิวหน้า ในขณะที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งเทล อะวิฟก็ศึกษาพบว่า ผู้ชายที่รับประทานซอสมะเขือเทศประมาณ 3 ใน 4 ถ้วยต่อวัน จะช่วยพัฒนาความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับโรคหืดหอบได้ถึง 45% ด้วย


กินมะเขือเทศมากเท่าไหร่จึงเพียงพอ

จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครรายงานว่าการได้รับไลโคปีนจากมะเขือเทศมากไปจะมี ผลเสียอย่างไรหรือเปล่า ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่าหากเราเป็นคนชอบกินอาหารที่มีมะเขือเทศมากๆ แต่ก็เคยมีการศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดบอกว่า การป้องกันมะเร็งให้ได้ผลโดยการกินมะเขือเทศ ควรได้ไลโคปีนในปริมาณอย่างน้อย 6.5 มก.ต่อวัน เทียบเท่ากับการกินอาหารที่มีมะเขือเทศเป็นส่วนผสมหลักประมาณ 10 ครั้งต่อสัปดาห์ คนส่วนใหญ่มักไม่มีปัญหาอะไรกับการกินมะเขือเทศมากๆ เว้นแต่บางคนอาจพบว่าเกิดผื่นแดงบนผิวหนัง หรือในคนที่แพ้สารประเภทซาลิไซเลทในยาบางอย่างก็อาจเกิดอาการหายใจลำบากได้ หากเกิดอาการเช่นนี้ควรปรึกษาแพทย์ขอคำแนะนำที่ถูกต้องจะดีกว่า






กินดิบหรือสุกดีกว่ากัน

ส่วนใหญ่เรามักจะแนะนำให้กินผักผลไม้สดเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่สำหรับมะเขือเทศนี้กินได้ทั้งสดและแบบปรุงสุกตามแต่ความชอบใจค่ะ เคยมีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารการวิจัยทางเคมีด้านอาหารและพืชการเกษตรกล่าว ไว้ว่า การกินมะเขือเทศแบบปรุงสุกจะช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหารและไลโคปีนได้ดีกว่าแบบ ดิบ ถึงแม้ว่าการให้ความร้อนอาจลดปริมาณวิตามินซีลงไป แต่คุณค่าส่วนอื่นๆ ก็ยังดีกว่าอาหารอีกหลายชนิด แถมยังช่วยให้ไลโคปีนอยู่ในสภาพพร้อมถูกดูดซึมโดยร่างกายเราได้ทันทีอีกด้วย ค่ะ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงได้เห็นคุณค่าของมะเขือเทศกันมากขึ้น ใครที่ชอบกินมะเขือเทศคงยิ้มได้ แต่ใครที่ชอบเขี่ยมะเขือเทศข้างจานทิ้ง ครั้งต่อไปลองทำใจชิมใหม่ก็ยังไม่สายนะคะ


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับมะเขือเทศ

* มะเขือเทศผลขนาดกลางๆ จะมีน้ำหนักประมาณ 5.3 ออนซ์ หรือ 148 มก. ให้พลังงานประมาณ 35 แคลอรี และโคเลสเตอรอลระดับ 0 ให้ใยอาหาร ไขมัน และโปรตีนอย่างละประมาณ 1 กรัม และคาร์โบไฮเดรตประมาณ 6 กรัม มีวิตามินเอ 20% วิตามินซี 40% โปแตสเซียม 10% และเหล็ก 2% (อ้างอิงโดย RDA (Recommended Daily Allowance) ในสหรัฐอเมริกา)

* มะเขือ เทศแช่เย็นจะมีรสชาติและสีผิวที่ซีดจางลง หากต้องการกินมะเขือเทศ ควรนำออกจากตู้เย็นวางทิ้งไว้ก่อนสักชั่วโมงหนึ่งเพื่อให้รสชาติที่ถูกกัก จากความเย็นกลับคืนมา


ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2551
3 comments
Last Update : 24 ตุลาคม 2551 5:58:32 น.
Counter : 1665 Pageviews.

 

อ่านแล้ว รักมะเขือเทศ ขึ้นอีกหลายกองเชียว

 

โดย: Shallow Grave 24 ตุลาคม 2551 15:52:18 น.  

 

มีสาระและประโยชน์มากค่ะ และเห็นด้วยมากๆ ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ

 

โดย: ...ใบพ้อ... IP: 118.174.223.37 25 ตุลาคม 2551 7:02:15 น.  

 

ชอบกินมะเขือเทศมักๆๆๆค่ะ

 

โดย: isumijang IP: unknown, unknown, 202.219.81.131 1 ธันวาคม 2554 13:08:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

space

tanas251235
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space