Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
18 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

Grace is gone : แม่ตายแล้ว



Grace is gone : แม่ตายแล้ว


ผมเคยคุยกับพี่ที่ทำงานคนหนึ่งซึ่งคุณแม่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีที่แล้ว แกเป็นลูกคนเดียวที่มีโอกาสได้อยู่กับแม่ที่โรงพยาบาลในขณะที่ลูกคนอื่นๆยังคงทำงานอยู่ในต่างจังหวัด และหลังจากที่แม่เสียก็เป็นหน้าที่ของแกที่ต้องโทรไปบอกพี่ๆน้องๆว่าแม่เสีย ขอให้ทุกคนกลับบ้าน
ผมถามแกกลับไปว่าบอกกับพี่สาวน้องสาวยังไง ใช้คำพูดประมาณ “แม่ป่วยหนัก กลับบ้านด่วน” อะไรแบบนี้รึเปล่า แต่แกบอกว่าแกโกหกไม่เก่ง และถ้าใช้คำพูดแบบนั้นเชื่อว่าทุกคนก็คงเดาได้ เลยบอกไปตามตรง...ว่าแม่เสียแล้ว

แกบอกผมว่า สิ่งที่ทรมานหัวใจแกมากที่สุดนอกจากจะเป็นการสูญเสียแม่แล้ว การที่แกต้องโทรไปบอกทุกคน เริ่มต้นพูดประโยคเดิมๆ ตอบคำถามเดิมๆ ฟังเสียงร้องโวยวายจากปลายสาย นั่นก็ทรมานไม่แพ้กัน เหมือนกับว่าทุกครั้งที่เป็นแบบนี้...แกจะรู้สึกเหมือนกับว่าแม่เพิ่งตายใหม่อีกรอบ
.
.
.
ผมคิดถึงเรื่องเล่าดังกล่าวเมื่อดู grace is goneจบลง หนังเล็กๆที่กล่าวถึงช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย ช่วงเวลาที่ผู้เป็นพ่อต้องรวบรวมพลังใจที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อเอ่ยปากบอกลูกสาวทั้งสองว่า “แม่ตายแล้ว”

หนังมีเนื้อเรื่องที่หากจะเล่าย่อๆก็คงสามารถเล่าให้จบได้เพียงสองสามบรรทัด สามีผู้ซึ่งเช้าวันหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ดีๆต้องวิ่งตัวเปียกปอนออกมาจากห้องน้ำ เปิดประตูรับทหารสองคนเข้ามาในบ้าน เพื่อนั่งฟังประโยคประเภท “ภรรยาของคุณ (Grace)เสียชีวิตจากการปะทะกันที่อิรัก ทางกองทัพเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสียสละของเธอ และเราหวังว่า บลา บลา บลา...”

ผมชอบการแสดงของจอห์น คูแซ็ค ซึ่งรับบทเป็น Phillips ในจังหวะนี้มากๆ ไม่มีการตีอกชกตัว ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงสีหน้าที่งุนงงสุดขีดกับเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมกับประโยคที่หลุดออกมาจากปากอย่าง “ผมกำลังอาบน้ำอยู่” ราวกับว่ามันจะทำให้เขาย้อนเวลากลับเข้าไปในห้องน้ำใหม่อีกครั้ง แต่งตัว ขับรถไปทำงานในsuper store ใช้ชีวิตเหมือนปกติทุกวันและเรื่องบ้าบอเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น...แต่ความจริงคือมันเกิดขึ้น...ภรรยาของเขาถูกยิงตายที่อิรัก และเขาจะต้องบอกเรื่องนี้ต่อลูกๆเมื่อพวกเธอกลับจากโรงเรียน

เวลาที่เหลือ คือช่วงเวลาที่ Phillips ใช้เวลาอยู่กับลูกสาวทั้งสองคน(เดินทางไปสวนสนุก พาไปเยี่ยมคุณย่า คุณอา) เพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมสำหรับบอก “ความจริง”ดังกล่าว ทั้งที่จริงแล้วยิ่งยื้อไว้นานเท่าไหร่ คนที่แบกความรับผิดชอบนี้ไว้ก็ยิ่งทรมาน และเด็กๆก็เริ่มจับความผิดปกติได้มากขึ้นทุกที แต่สิ่งที่นอกเหนือจากนี้คือการที่ Phillips เองก็ได้ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับลูกๆของตนในมุมมองที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน (เช่น เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าทำไมลูกถึงนั่งหลับในห้องเรียนทั้งที่เข้านอนแต่หัวค่ำทุกวัน) เขาได้เรียนรู้ความคิดของเด็ก และได้ทบทวนทัศนคติของตัวเองที่มีต่อสงคราม ก่อนที่วินาทีแห่งการเปิดเผยความจริงจะมาเยือน
.

.
หนังมีรายละเอียดเล็กๆที่จงใจใส่เข้ามาเพื่อทำร้ายหัวใจคนดูอย่างเช่นการให้ลูกสาวตั้งนาฬิกาปลุกที่ข้อมือให้ตรงกับนาฬิกาของแม่ซึ่งอยู่ที่อิรัก เพื่อที่ทั้งสองจะสามารถสื่อถึงกันได้แม้จะอยู่ไกลกันแค่ไหน หรืออารมณ์ขันเล็กๆในช่วงแรกของหนังอย่างการที่ Phillips ต้องไปเข้ากลุ่มบำบัดกับแม่บ้านที่สามีไปเป็นทหารที่อิรัก แต่หัวข้อที่สนทนากันกลับเป็นเรื่องเซ็กส์โฟนซะงั้น รวมทั้งฉากน่ารักๆอย่างตอนที่ Phillips สอนลูกสาวให้สูบบุหรี่แต่ตัวเองกลับสำลักควันเสียเอง


ฉากที่ผมชอบมากที่สุด คือฉากที่ Phillips ขึ้นไปนอนร้องไห้คนเดียวบนเตียงหลังจากที่ให้น้องชายของเขาพาลูกสาวทั้งสองไปหาอะไรทานข้างนอก... Phillips เดินขึ้นข้างบน เข้าไปในห้องนอน ล้มตัวลงบนเตียงและเริ่มต้นร้องไห้...มันเป็นน้ำตาหยดแรกที่ผมนั่งรอมาตลอดเพราะก่อนหน้านี้ Phillips ไม่เคยร้องไห้ให้เราเห็นสักครั้ง และการที่เข้าพยายามทำตัวสดใสร่าเริงต่อหน้าลูกๆก็ยิ่งทำให้ภาพที่เขานอนตัวงอร้องไห้สะอึกสะอื้นบนเตียงนั้นทำให้คนดูอย่างเราๆ หัวใจสลายไปตามๆกัน
.
.

ปีที่แล้วมีหนังที่กล่าวถึงสงครามอิรักออกมาให้เราได้ดูกันหลายเรื่อง grace is gone ถือเป็นหนังที่จับเอาประเด็นของสงครามอิรักมาแค่ผิวเผิน (มีฉากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอยู่บ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น) แต่กลับเล่าถึงผลกระทบต่อสังคมในระดับหน่วยย่อยที่สุดอย่างครอบครัวได้อย่างจับใจ และหนังก็ไม่ถึงขนาดหดหู่สิ้นหวังไปเสียทีเดียว (เหมาะที่จะเอาไว้ดูควบคู่กับ In the valley of Elah ซึ่งเล่าเรื่องหดหู่และสิ้นหวังตั้งแต่นาทีแรกยันนาทีสุดท้าย)

สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างคือ จอห์น คูแซ็ค จากที่เคยมองว่าคูแซ็คเป็นนักแสดงที่แม้จะมีความสามารถแต่มักจะไม่มีบทบาทอะไรให้น่าจดจำเท่าไหร่ เรื่องนี้ทำให้ผมต้องหันมามองเขาใหม่ทันที (แต่ก็อย่าไปโผล่ในหนังอย่าง must love dog หรืออะไรแบบนี้บ่อยนักนะพี่) นักแสดงที่เหลือก็ล้วนแต่ทำหน้าที่ของตนได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเด็กๆทั้งสองคนที่ดูไร้เดียงสาและน่าถนุถนอมมากๆ

ฉากสุดท้ายที่ทั้งสามคนยืนต่อหน้าหลุมศพของ Grace และร่วมกันสวดภาวนาพร้อมๆกัน ทำให้เราเชื่อว่าในที่สุดพวกเขาจะผ่านมันไปได้ จริงอยู่ที่ Grace อาจจะจากไป แต่ตราบใดที่ Phillips ยังอยู่เคียงข้างลูกๆและพร้อมที่จะปกป้องเด็กๆด้วยความรักอย่างที่ทำมาตลอด พวกเขาทั้งสามต้องสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้แน่


ผมเชื่อได้ว่า สุดท้ายแล้ว Grace (ความงดงาม ความดีงาม) คงไม่จากพวกเขาไปไหน หากแต่ยังคงฝังอยู่ในหัวใจของทั้งสามไปตราบนานเท่านาน.




 

Create Date : 18 กันยายน 2551
3 comments
Last Update : 18 กันยายน 2551 14:53:19 น.
Counter : 3308 Pageviews.

 

อ่า อันนี้เขียนดีมาก อ่านแล้วชอบ แม้จะยังไม่ได้ดูหนัง (และคงจะไม่ได้ดูด้วย) เพราะช่วงนี้มีประสบการณ์เกี่ยวกับความตายและงานศพเยอะพอดูเชียวครับ

 

โดย: strawberry machine gun 21 กันยายน 2551 19:27:47 น.  

 


ปฏิกริยาแรกที่รู้ว่าคนที่รักตายคืออะไร ดูหนังบรรยายให้เห็นชัดเจนมาก เขียนจนอยากดูแบบต้องดูให้ได้

คูแซคบางทีก็เลือกหนังแปลก อย่างที่ว่า must love dog พี่แกคิดอะไรอยู่-ไม่เข้าใจ

ในเมนท์ก่อนที่บล็อกบอกว่าอ่าน pride & prejudice อยู่ เป็นไงมั่ง อ่านจบไหม ที่ถามเพราะเราอ่านไม่จบ อ่านหลายครั้ง แต่ไม่จบสักที

 

โดย: อั๊งอังอา 23 กันยายน 2551 8:37:37 น.  

 

^
^
จบมาพักไหญ่ๆแล้วครับ ไว้มีเวลาคงเขียนถึงยาวๆ ผมก็ใช้เวลาหลายวันเหมือนกันกว่าจะอ่านจบ

ชอบในระดับกลางๆครับ มีบางจุดที่อ่านแล้วรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างแต่ก็พยายามเข้าใจนะว่ามันเป็นเรื่องของยุคสมัย จะเอาความคิดของปัจจุบันไปตัดสินพฤติกรรมของตัวละครในวรรณกรรมย้อนยุคมันก็คงไม่ได้

 

โดย: yatiko IP: 118.173.142.168 23 กันยายน 2551 9:50:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


yatiko
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add yatiko's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.